หลังจากที่เขาพบรองเท้าสีแดงของควินน์ เขาก็ช่วยสวมรองเท้าให้เธอ หลังจากนั้นภาพเหตุการณ์ก็เปลี่ยนเป็นภาพบรรยากาศงานแต่งงานทันทีงานแต่งงานในฝันนั้นมีความยิ่งใหญ่มากพ่อแม่ของชาร์ลีก็อยู่ที่นั่นด้วย ใบหน้าของพวกเขาดูมีความสุขมากและยิ้มแย้มอย่างคนใจดีเมื่อเพลงงานแต่งงานดังขึ้น ยูลก็จับมือควินน์เดินเข้าไปหาชาร์ลี หลังจากนั้นยูลก็ยิ้มก่อนจะยื่นมือของควินน์มาให้เขาทั้งคู่กล่าวคำสาบานแต่งงานและแลกแหวนแต่งงานกันก่อนจะจุมพิตกันและกันหลังจากนั้นพิธีกรขอให้ควินน์ยืนหันหลัง เพื่อโยนช่อดอกไม้แต่งงานให้กับเพื่อนเจ้าสาวแต่แคลร์… เป็นคนที่ได้รับช่อดอกไม้ช่อนั้น!หลังจากที่แคลร์รับช่อดอกไม้ได้ เธอก็ดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย ในทางตรงกันข้ามเธอมีสีหน้าเศร้าโศกและดูอารมณ์เสียอย่างมาก… ชาร์ลีอดที่จะตัวสั่นไม่ได้เมื่อเขาสบตากับแคลร์ ในเวลานี้จู่ ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นเพียงเพื่อจะรู้ตัวว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความฝันเขารู้สึกตกใจกับความฝันอันไร้สาระของเขา เขานิ่งอึ้งไปสองสามนาทีก่อนจะค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลงและฟื้นคืนสติเมื่อเห็นว่าท้องฟ้านอกหน้าต่างห้องนอนเริ่มสว่างขึ้นแล้ว ชาร์ลีก็ถอนหายใจในขณะที่ลุกข
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของยูลแล้ว ในที่สุดชาร์ลีก็เข้าใจถึงจุดประสงค์และเหตุผลอันแท้จริงของลูกชายคนที่สองและคนที่สามของตระกูลโกลดิ้งที่จะใช้สื่อในการเผยแพร่ข่าวแบบนี้นอกจากนี้เขายังตั้งหน้าตั้งตารอการเผชิญหน้าในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เขาทนรอแทบไม่ไหวที่จะได้เห็นสีหน้าขันทีสองคน เมื่อพวกเขามาถึงยังโกลดิ้งกรุ๊ปหลังจากนี้อีกไม่นานในตอนนี้ควินน์เดินลงมายังชั้นล่าง เมื่อเธอเห็นชาร์ลีและพ่อของเธออ่านหนังสือพิมพ์ด้วยกัน เธอก็ถามด้วยความสงสัยว่า “พ่อกับพี่ชาร์ลีกำลังดูข่าวอะไรอยู่คะ? ทำไมทั้งสองคนถึงดูจดจ่อกับข่าวนี้จัง?”ยูลยิ้มในขณะที่พูดว่า “มีพาดหัวข่าวเกี่ยวกับพ่อของลูกในวันนี้น่ะ”“อย่างนั้นเหรอคะ?” ควินน์รีบเดินเข้าไปหาทั้งสองคน หลังจากเหลือบดูข้อความแล้ว เธอก็ตอบอย่างโกรธ ๆ ว่า “นี่มันมากเกินไปไม่ใช่เหรอคะ?” ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้อาการของพ่อจะแย่ลงเล็กน้อยและต้องเข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาล แต่อาการของพ่อก็ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ! สื่อเสนอข่าวแบบไร้ความผิดชอบแบบนี้ได้ยังไง?”ยูลหัวเราะก่อนจะพูดว่า “ลูกก็ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงเหมือนกัน ยังไม่เข้าใจในคุณงามความดีของสื่ออีกเหรอ? นี่เป็นการก
พื้นที่นี้มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณหนึ่งพันตารางเมตร ซึ่งรวมถึงห้องทำงานของประธานบริษัท ห้องรับรอง ห้องประชุมส่วนตัว ตลอดจนห้องฟิตเนส และห้องสันทนาการด้วยไม่มีคนธรรมดาทั่วไปที่จะเข้าไปอยู่ในพื้นที่นี้ได้เลยพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ… นับจากช่วงเวลาที่ยูลเข้าไปในโรงจอดรถที่ปิดสนิทในบริเวณลานจอดรถใต้ดิน เขาก็ได้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่มีใครสามารถรบกวนเขาได้เลย ผู้คนที่สามารถเข้าไปในสถานที่แห่งนี้กับเขาได้ มีเพียงเหล่าคนสนิทของเขาเท่านั้นหลังจากยูลพาชาร์ลีและกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาที่ห้องทำงานแล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทันทีก่อนจะพูดว่า “บอกให้ลูเซียสมาที่นี่หน่อย”ในไม่ช้าชายวัยกลางคนที่มีอายุสี่สิบกว่า ๆ ก็เคาะประตู ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องทำงานเมื่อผู้ชายคนนั้นเห็นยูลก็ตกตะลึงและต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่ชายคนนั้นจะได้สติ แล้วโพล่งออกมาว่า “ท่านประธาน ท่านดูดีกว่าที่ผ่านมามากเลยครับ! แถมผมยังรู้สึกว่าท่านดูดีกว่าช่วงก่อนเจ็บไข้ได้ป่วยซะอีกด้วยนะครับ…”ยูลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “หมอบอกว่าเนื้องอกในร่างกายของฉันหายไปหมดแล้ว”ลูเซียสถามด้วยควา
ในขณะที่เอเดรียนกำลังปล่อยใจไปกับความคิดที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง ประตูห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรงทันใดนั้นยูลก็เดินก้าวเท้ายาว ๆ เข้ามาในห้องประชุม เขาดูเปล่งปลั่งแบบคนมีสุขภาพดี ส่วนแก้มก็ดูแดงระเรื่อแบบคนมีเลือดฝาด เขามีออร่าที่ดูน่าเกรงขามเปล่งประกายอยู่รอบตัวชาร์ลีเดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิด ในขณะที่เดินเข้าห้องประชุมไปพร้อมกับยูลทุกคนในห้องประชุมรวมทั้งเอเดรียนและโรแกนต่างก็ตกตะลึงและนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นยูลผู้มีท่าทีฮึกเหิมและดูมีสุขภาพดีเอเดรียนสบตากับโรแกนทันที ถึงแม้ว่าโดยปกติพี่น้องสองคนนี้จะไม่ค่อยได้สื่อสารอะไรกันมากนัก แต่ในเวลานี้คนทั้งสองกำลังคิดในเรื่องเดียวกัน ‘เมื่อวานนี้พี่ชายคนโตของเราป่วยหนักมาก แล้วทำไมวันนี้เขาถึงได้ดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีถึงขนาดนี้? แค่คืนเดียวเองนะ ทำไมถึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ล่ะ?’นอกจากนี้สมาชิกคณะกรรมการคนอื่น ๆ ไม่ได้เห็นยูลมาเป็นเวลานาน หลังจากดูรายงานข่าวในวันนี้แล้ว พวกเขาต่างคิดว่ายูลคงอยู่ในสภาพป่วยหนักและใกล้จะตายแล้วพวกเขาถึงขั้นเตรียมใจเอาไว้แล้ว เพราะรู้สึกว่ามีโอกาสสูงมากที่ยูลจะถูกเข็นเข้ามาในห้องประชุมโดยนั่งอย
ชาร์ลีซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ยูลอดที่จะรู้สึกชื่นชมและให้ความเคารพเขาอย่างมากไม่ได้หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นคำพูดของยูลอาจดูเหมือนแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเขา แต่จริง ๆ แล้วนั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงอำนาจของเขาต่อหน้าคณะกรรมการเขาจงใจพูดถึงวิธีที่เขานำพาบริษัทให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างก้าวกระโดดตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ฟังผิวเผินอาจดูเหมือนเขาต้องการให้ทุกคนหวนนึกถึงอดีตและความรู้สึกเก่า ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขาแค่เตือนคนกลุ่มนี้ว่า… เขาคือคนที่นำพาบริษัทให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดดในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา นอกจากนี้เขายังจะเป็นผู้ที่ช่วยให้บริษัทนี้เติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วต่อไปอีกยี่สิบปีข้างหน้าด้วยถ้าคนกลุ่มนี้ต้องการกีดกันเขาและถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง พวกเขาก็จะต้องพิจารณาการพัฒนาที่แท้จริงของบริษัทในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เพื่อที่พวกเขาจะคิดหาคนที่สามารถทำงานได้ดีกว่ายูลซึ่งพวกเขาก็ตระหนักได้ในทันทีเดิมทีพวกเขาวางแผนจะให้การสนับสนุนเพื่อช่วยให้เอเดรียนผู้เป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลโกลดิ้งได้รับเลือกให้เป็นประธานบริษัทแต่หลังจากได้ยินคำเตือนของยูลแล้ว พวกเขาก็อดที่จะทบทวนแผนใหม
เมื่อยูลพูดด้วยความรู้สึกฮึกเหิมและเต็มไปด้วยความกล้าหาญจบ คนอื่น ๆ ก็รู้สึกมั่นอกมั่นใจขึ้นมาทันที พวกเขาไม่เพียงแต่รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่ยังมีรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนในหน้าด้วยบางคนถึงกับปรบมือให้โดยไม่ได้ตั้งใจดังนั้นคนอื่น ๆ ก็มีความรู้สึกกระตือรือร้นอย่างมากเช่นกัน แล้วพวกเขาก็เริ่มตบมือตาม ๆ กันอันที่จริง… เหตุผลที่ใคร ๆ มาเข้าร่วมกับโกลดิ้งกรุ๊ปก็เพียงเพื่อสร้างรายได้เท่านั้น พวกเขาไม่ได้ต้องการมีส่วนร่วมในการตั้งแก๊งหรือกลุ่มส่วนตัว พวกเขาแค่ต้องการทำตามคำแนะนำของบุคคลที่สามารถนำพาพวกเขาไปสู่การทำเงินให้ได้มากขึ้นเท่านั้นเองในเมื่อมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับยูลและอาการเจ็บป่วยของเขาก็หายแล้ว พวกเขาจะไม่สนับสนุนยูลต่อไปได้อย่างไรล่ะ? พวกเขาจะไม่ยืนเคียงข้างเขาต่อไปได้อย่างไร? เพื่อให้เขาช่วยนำพาไปสู่การทำเงินให้ได้มากขึ้น! นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำหรอกเหรอ?สีหน้าของเอเดรียนและโรแกนช่างดูน่าเกลียดเป็นอย่างมากในตอนนี้หลังจากเตรียมการมาอย่างดีและคิดวางแผนนี้มาอย่างยาวนาน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จบลงแบบนี้น่ะเหรอ?!พวกเขาอดที่จะรู้สึกอึดอัดอย่าง
เมื่อเอเดรียนเห็นพี่ชายคนโตของเขายอมรับข้อเสนออย่างง่ายดาย เขาก็ไม่สามารถหาเหตุผลอื่นมาสร้างปัญหากับยูลได้อีก เขาจึงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ได้! เราจะรอฟังผลการตรวจร่างกายของพี่! ถ้าพี่ยังไม่หายดี ฉันก็คิดว่าพี่คงไม่เหมาะที่จะดำรงตำแหน่งประธานบริษัทต่อไป ด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพและสภาพร่างกายของพี่ ดังนั้นพี่ควรสละตำแหน่งประธานบริษัทให้กับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ทำหน้าที่นี้แทน!”ชาร์ลีซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าต้องหาคนที่มีสุขภาพแข็งแรงมารับรับตำแหน่งประธานบริษัท ผมก็เชื่อว่าทั้งคุณและน้องชายของคุณก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่งนี้ได้”เอเดรียนตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า “ให้ตายสิ! หยุดพูดเรื่องไร้สาระที่นี่ได้แล้ว! สุขภาพฉันยังดีมาก!”“อย่างนั้นเหรอ?” ชาร์ลีทำเสียงเย้ยหยันในขณะที่พูดว่า “ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณจะต้องเป็นคนไร้สมรรถภาพไปแล้วนี่… ใช่ไหม? คุณไม่สามารถมีลูกได้แล้วยังมีหน้ามาบอกว่ามีสุขภาพดีมากอีกเหรอ? นั่นหมายความว่าการเป็นคนไร้สมรรถภาพนั้นไม่มีความสำคัญอะไรกับคุณเลยหรือไง?”เอเดรียนระงับความโกรธและความคับข้องใจในเรื่องที่จู่ ๆ เขาก็กลายเป็นคนไร
"รู้จักตัวตนของแกก่อนเหรอ?!”ถึงแม้ว่าเอเดรียนจะขี้ขลาดเล็กน้อยเพราะเขากลัวความแข็งแกร่งของชาร์ลี แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของชาร์ลี เขาก็แสดงสีหน้ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัดเขามองชาร์ลีก่อนจะพูดจาเหน็บแนมว่า “ฉันบอกแกแล้วไงว่าฉันได้สืบและตรวจสอบภูมิหลังของแกมาแล้ว แกไม่ใช่ลูกเขยกระจอก ๆ ของตระกูลวิลสันในโอลรัสฮิลล์หรอกหรือไง? แต่ถึงยังไงก็เป็นแค่ตระกูลชั้นต่ำในเมืองเล็ก ๆ อยู่ดี แล้วทำไมแกต้องมาอวดอ้างอะไรต่อหน้าฉันด้วยล่ะ?”“ถูกต้อง!” โรแกนก็ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาด้วย “แกต้องเข้าใจอะไรซะหน่อยนะ ถึงแม้แกจะรวบรวมตระกูลใหญ่และมีอำนาจทั้งหมดในโอลรัสฮิลล์มาเผชิญหน้ากับพวกเรา คนพวกนั้นก็ยังไม่ได้ครึ่งนึงของตระกูลโกลดิ้งหรอก!”คำพูดของโรแกนฟังดูหยิ่งผยองและเกินจริง แต่ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้ว…เขาไม่ได้พูดอะไรผิดเลยโอลรัสฮิลล์เป็นเมืองเล็กมากเมื่อเทียบกับอีสต์คลิฟฟ์ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลมัวร์ซึ่งเป็นตระกูลชั้นนำในโอลรัสฮิลล์ก็มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งล้านล้านบาทเท่านั้น ยังห่างไกลกับตระกูลโกลดิ้งอยู่มากนี่คือเหตุผลว่าทำไมโรแกนถึงได้มั่นอกมั่นใจกับคำพูดที่ฟังดูเย่อหยิ่งเช่นนั้นในเวลา