คำพูดของเธอทำให้โจวชวงชวงสงบลงเล็กน้อย พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีแล้ว และชวงชวงก็รู้จักเสิ่นหยินอู้เป็นอย่างดี เธอรู้ดีว่าหยินอู้เป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรและไม่ควรมาโดยตลอด ผลลัพธ์เช่นนี้เธอคงจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังรู้สึกเจ็บใจแทนเพื่อนสนิทของเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างแล้วถามว่า "แต่...เธอเต็มใจจริงๆเหรอ?" เสิ่นหยินอู้ตอบอย่างใจเย็น "ถึงไม่เต็มใจแล้วทำจะอะไรได้หละ?" เธอไม่เต็มใจจริงๆ และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงดูแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับตบเธอและบอกเธอว่าคิดไปเอง “พรุ่งนี้เธอว่างรึเปล่า สนใจไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันไหม?” เสิ่นหยินอู้หยุดไปชั่วคราวและหัวเราะเบาๆว่า “ฉันไม่อยากไปคนเดียว” โจวชวงชวงพยักหน้า "โถ่ ฉันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดเพียงคนเดียวของเธอนะ ต่อให้ไม่ว่าง ก็ต้องว่างให้ได้แหละถูกไหม? เธอไม่จำเป็นต้องถามฉันด้วยซ้ำ แค่บอกให้ฉันไปกับเธอก็พอแล้ว " เสิ่นหยินอู้ยิ้มและพูดว่า "กินข้าวเถอะ กินเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนไวๆ" การแสดงออกของเธอนั้นสงบมากและไม่มีท่าทีว่าจะไม่มีความสุขเลยสักนิด โจวชวงชวงมองเสิ่นหยินอู้
เธอต้องใช้แรงอย่างมากในการช่วยพยุงเขากลับห้อง แต่สุดท้ายก็ล้มลงโดยไม่ระมัดระวังและตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไม่รู้ว่าอะไรกันที่ปลุกอารมณ์ในตัวของฉินเย่ขึ้นมา จู่ๆฝ่ามือใหญ่ๆของเขาก็ย้ายไปจับที่เอวเรียวเล็กของเธอและพลิกตัวเธอเพื่อกดเธอไว้ เขามีรูปร่างที่ผอมเพรียวแต่กลับแข็งแรงกำยำ น้ำหนักทั้งหมดของเขาอยู่บนตัวเธอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเปล่า แต่จู่ๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกราวกับว่าใบหน้าของเธอกำลังเดือดพล่านขึ้นมาในทันที เธอต้องการผลักเขาออกไป อย่างไรก็ตาม วินาทีที่เธอจะผลักเขาออกไป ริมฝีปากบางอุ่นๆของชายคนนั้นก็ประกบไปที่ริมฝีปากของเธอ เสิ่นหยินอู้ตกตะลึง เมื่อเธอต้องการผลักเขาออกไป เธอก็กลับรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆเข้ามาในปากของเธอ ทันใดนั้น สมองของเธอก็ดูเหมือนจะตกใจกับอะไรบางอย่าง และเธอก็ขยับตัวไม่ได้ เมื่อเธอตอบสนอง เธอก็ได้จูบเขากลับไปเสียแล้ว แต่ฉินเย่ที่ถูกเธอจูบตอบก็กอดเธอไว้แน่นราวกับปลาที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานาน ในคืนนั้นเธอได้ปล่อยตัวปล่อยใจของตัวเองไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของฉินเย่ เธอก็เห็นคิ้วที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นของฉินเย่ เมื่อ
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล โจวชวงชวงมองไปรอบๆด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็ถามเธอด้วยเสียงเบาๆ "ทำไมเราไม่ไปโรงพยาบาลใหญ่หละ? โรงพยาบาลเล็กๆจะไม่ทำให้ร่างกายเธอแย่ลงเหรอ?" เสิ่นหยินอู้พูดอย่างใจเย็นว่า "มันไม่สะดวก" ที่โรงพยาบาลใหญ่มีคนที่รู้จักคุณย่าฉินทำงานอยู่ เธอไม่คิดว่าวันนั้นเธอจะท้อง เธอจึงไปตรวจที่นั่น ตอนนี้เธอต้องจัดการกับมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถไปโรงพยาบาลแห่งนั้นได้อีก หากถูกจับได้... แล้วมีคนไปบอกคุณย่าฉินหละก็ ดังนั้นเพื่อความแน่นอน เสิ่นหยินอู้จึงตัดสินใจที่จะมาจัดการที่โรงพยาบาลเล็กๆแห่งนี้ โจวชวงชวงไปทะเบียนและจ่ายเงินให้เธอ และเธอต้องได้รับการตรวจก่อน ระหว่างรอตรวจ ทั้งสองก็นั่งรอบนเก้าอี้ โจวชวงชวงหันไปมองเสิ่นหยินอู้อยู่หลายครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มองเธออีกครั้ง ภายในไม่กี่นาที เธอก็มองหยินอู้ไปมากกว่าสิบครั้ง เสิ่นหยินอู้ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เธอมองฉันทำไมนักหนาเนี่ย?” ชวงชวงตาแดงเล็กน้อย “ฉันสงสัยว่าเธอกลายเป็นคนเย็นชาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตกใจไปชั่วขณะ เธอกลายเป็นคนเย็นชาไปแล้วงั้นเหรอ? “เด็ก
เสิ่นหยินอู้กล่าวว่า "น่าจะเป็นอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ" “งั้นฉันจะไปซื้อของกินมาให้เธอ เธอรอที่นี่นะ เดี๋ยวฉันกลับมา” โจวชวงชวงออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เธอจากไป เสิ่นหยินอู้ก็เอนกายบนเบาะเก้าอี้และหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เสียงทั้งสองในหัวเริ่มขัดแย้งกันอีกครั้ง “เธอกำลังคิดอะไรอยู่หนะ? เห็นได้ชัดว่าเธอได้ตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่หรอ? แล้วเธอก็ได้มาถึงโรงพยาบาลแล้ว ทำไมเธอยังลังเลอยู่? ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ซะ เธอจะต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต อย่าลืมว่าเขาบอกเธอมาแล้วเรื่องที่จะหย่า” “ฟ้องหย่าแล้วมันทำไมหละ? เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ หรือว่าเธอไม่มีความสามารถแม้แต่จะเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ?” “เธอคิดว่าแค่มีความสามารถทางการเงินเพียงอย่างเดียวก็เลี้ยงลูกได้แล้วรึไง? แล้วด้านจิตใจหละ?” “ถ้าห่วงว่าลูกจะไม่มีพ่อ เธอก็หาใหม่สิ เธอยังเด็กขนาดนี้ หรือกลัวว่าจะหาสามีไม่ได้เหรอ?” อาการน้ำตาลในเลือดต่ำบวกกับเสียงทั้งสองนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ปวดหัวจนแทบจะทนไม่ไหว จนกระทั่งมีเสียงประหลาดใจดังขึ้น “หยินอู้?” “หยินอู้ นั่นเธอใช่ไหม?” ในตอนแรก เสียงนั้นด
ก่อนที่หลินเหม่ยหลินจะพูดจบ คนที่คุ้นเคยของเธอก็เดินออกมาจากห้องให้คำปรึกษาที่อยู่ด้านหลังเธอ "แม่" เมื่อเสียงที่นุ่มอ่อนเยาว์ของเด็กสาวดังขึ้น ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและร้ายกาจของหลินเหม่ยหลานก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เสิ่นหยินอู้มองไปยังที่มาของเสียง เธอจำได้ทันทีว่าเป็นจ้าวเป่าเอ๋อ ลูกสาวของหลินเหม่ยหลาน เธอถือใบรายการตรวจอยู่ในมือ สีหน้าและสีปากของเธอซีดมาก สภาพของเธอดูไม่ค่อยดีนัก ก่อนที่เธอจะได้ตอบอะไรกลับไป หลินเหม่ยหลานซึ่งยังคงเยาะเย้ยเสิ่นหยินอู้อยู่ก็หันกลับไปทันที จากนั้นก็เดินไปดึงจ้าวเป่าเอ๋อและเดินออกไป เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของเธอทำให้เสิ่นหยินอู้เดาผลลัพธ์ได้ อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ไม่เคยอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เธอก็เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก จากนั้นไม่นาน หลินเหม่ยหลานก็กลับมา และไม่ได้พาใครมากับเธอ คงจะพาลูกสาวของเธอไปไว้ที่อื่น เธอเดินกลับไปหาเสิ่นหยินอู้อีกครั้ง ท่าทางของเธอแสดงให้เห็นถึงความใจร้ายที่ไม่เหมาะกับใบหน้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเธอ “เสิ่นหยินอู้ ฉันรู้ว่าถ้าเธอเป็นคนฉลาด เธอคงจะเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรเอา
พวกเธอได้รับความทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จะไม่ทำร้ายพวกเธอเป็นครั้งที่สอง สองนาทีต่อมา โจวชวงชวงก็กลับมา “ฉันซื้อแซนด์วิช นมข้าวโอ๊ต แล้วก็ลูกอมมา ในร้านมีของน้อยมาก เธอกินของพวกนี้รองท้องไปก่อนนะ” ขณะที่โจวชวงชวงพูด เธอก็แกะห่อขนมให้ จากนั้นก็ยื่นให้เธอ “กินซะสิ เดี๋ยวก็หิวแย่” เสิ่นหยินอู้มองดูโจวชวงชวงด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นในดวงตาของเธอ "ขอบคุณ" โจวชวงชวงเป็นห่วงเธอมากกว่าแม่ของเธอเสียอีก "มาขอบคุณอะไรกันเล่า!" โจวชวงชวงจ้องเธอ "ระหว่างเราสองคน ยังต้องมาของคงขอบคุณอะไรกันอีกหรอ? ถ้าจะขอบคุณ น่าจะเป็นฉันที่ต้องขอบคุณเธอมากกว่าไหม ตั้งแต่แรก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันอาจจะไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ” เสิ่นหยินอู้ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เธอและโจวชวงชวงรู้จักกันตอนเรียนมัธยมปลาย และทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่แรก สิ่งที่เหมือนจะเป็นพรหมลิขิตก็คือการที่ทั้งคู่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันได้ แต่ในช่วงปิดเทอมนั้น พ่อของโจวชวงชวงเป็นบ้าไปด้วยเหตุผลบางอย่างและติดการพนัน ส่งผลให้เขาเป็นหนี้มากมายจนเจ้าหนี้มาตามถึงท
เสิ่นหยินอู้ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น แต่ด้วยการคะยั้นคะยอของโจวชวงชวง เธอจึงต้องจำใจดื่มนมจนหมดและกินแซนด์วิชไปสองสามคำ โจวชวงชวงเห็นว่าเธอกินไม่ลงแล้วจริงๆ เธอจึงไม่บังคับหยินอู้อีก หลังจากที่เธอเอาขยะไปทิ้งแล้วเธอก็กลับมานั่งลง “เป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นมากแล้วสินะ?” "อืม" โจวชวงชวงกระแอมออกมาเบาๆ แล้วถามว่า “ถ้างั้น วันนี้เรากลับก่อนดีไหม?” เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไร โจวชวงชวงกุมมือของเธอแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า "ไปกันเถอะ" "ก็ได้……" ตอนนี้เสิ่นหยินอู้ดูราวกับว่ากำลังหลงอยู่ในหมอก และต้องการใครสักคนที่จะมาช่วยและสนับสนุนเธอ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม เธอลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับโจวชวงชวง เมื่อผ่านมุมมุมหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ได้ยินเสียงคนกำลังเถียงกัน “แต่แม่ หนูชอบเขา” น้ำเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งฟังดูเศร้ามาก “หุบปาก!” หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวและใจร้าย “แกพูดไร้สาระอะไร? แเม่บอกแกไปแล้วไม่ใช่หรอ? แกกำลังถูกมันหลอก เข้าจำไหม?” "แม่……" “หลังจากเรื่องวันนี้ แกไม่ได้รับอนุญาตให้ไปมาหาสู่กับมันอีก คนจนๆอย่างมันไม่คู่ควร
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวชวงชวงที่ต่อว่าฉินเย่ เสิ่นหยินอู้ก็ต้องการแก้ตัวแทนฉินเย่โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อคำพูดนั้นมาจ่ออยู่ที่ปากของเธอ เธอกลับพูดไม่ออกสักคำ ริมฝีปากของเธอเปิดออก แต่เธอก็พบว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงเลย แก้ตัวเหรอ? สิ่งที่เป็นความจริงอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอยังต้องแก้ตัวอะไรอีก? เมื่อคิดแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ลดสายตาลงและไม่พูดอะไรอีก โจวชวงชวงได้ตัดสินใจแทนเธอแล้ว “ไม่ต้องไป พวกเขาอยากเจอเธอก็ปล่อยให้พวกเขามาหาเธอเอง ทำไมเธอต้องไปที่นั่นเพียงเพราะพวกเขาโทรหาเธอและส่งที่อยู่มาให้เธอ?” เมื่อเห็นว่าโจวชวงชวงโกรธจัด เสิ่นหยินอู้ก็ปลอบเธอแทน “เอ่อ ฉันไม่ได้คิดจะไป หายโกรธได้แล้ว” “ฉันโกรธที่ไหนกัน ฉันแค่รู้สึกเสียใจแทนเธอเฉยๆ” โจวชวงชวงพูดอย่างขมขื่น เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “เจียงฉูฉู่อาจจะขอให้เพื่อนมาหาเธอจริงๆ ดูเหมือนว่าเธอกำลังร้อนรน ฉูฉู่คงกลัวว่าถ้าเธอไม่ทำแท้ง เธอจะขโมยฉินเย่ไปจากฉูฉู่สินะ? โถ่ ฉูฉู่คงรู้ว่าตัวเธอเองคงมั่นใจไม่ได้ร้อยเปอเซ็นต์แหละ” เสิ่นหยินอู้วางมือถือของเธอลงและไม่ได้สนใจข้อความนั้น ต่อให้โจว