Share

บทที่ 0002

“เฮ้อ พูดถึงโจโฉโจโฉก็มาหา” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา

ท่านอ๋องสามในความทรงจำของเจ้าของเดิมนั้น เป็นบุรุษเจ้าชู้โดยแท้

ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า พร้อมทั้งเป่าผมให้แห้งอย่างลวก ๆ

เดิมทีร่างกายนี้ยังอ่อนแอมากนัก แม้ว่าจักจะอาบน้ำต้มยาเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้

นางจึงพับเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่อย่างเรียบร้อย พร้อมทั้งนำมันออกมาข้างนอกห้องด้วยกัน

บริเวณด้านนอกห้องโถงนั้น พลันมีบุรุษสองคนที่มีรูปหน้าดูคล้ายคลึงกัน หากแต่อีกคนสวมใส่อาภรณ์สีขาวและอีกคนใส่อาภรณ์สีดำเท่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้เห็นพวกเขา หากแต่สายตาของนางกลับถูกบุรุษที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวดึงดูดไปมากที่สุด

ในยุคปัจจุบันที่นางอาศัยอยู่นั้น มีบุรุษมากหน้าหลายตาหล่อเหลาอยู่มากมาย นางกลับรู้สึกเบื่อกับการชื่นชมความหล่อเหล่าพวกนั้นยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม บุรุษที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้น กลับทำให้นางไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

ถึงแม้ว่าเขาจะยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น ผมสีน้ำหมึกที่ปล่อยสยาย มีเพียงปิ่นหยกสีดำที่ปักเอาไว้ ท่าทีเคร่งขรึมนิ่งไม่ไหวติ่งราวกับต้นสนนั้น ใบหน้าที่เจือไปด้วยความเย็นราวกับความหนาวเย็นในยามเหมันต์ พร้อมด้วยท่าทีสง่างามราวกับเทพเซียน ผิวพรรณที่ใสกระจ่างราวกับเกร็ดหิมะที่กำลังโบยบิน

บุรุษผู้นี้คล้ายกับเทพเซียนที่เดินออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน เสมือนกับสิ่งของที่อยู่โดยรอบกำลังถูกกลิ่นอายและรัศมีของเขาบดบังไปเสียหมด

แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างดูคล้ายคลึงกับบุรุษชุดดำที่อยู่ข้างกายนั้น ทว่า กลิ่นอายต่าง ๆ ช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหวก็ไม่

“พระชายาเจ็ดจะจ้องมองเจ้าเจ็ดนานหรือไม่?” บุรุษชุดดำพลางเอ่ยออกมาด้วยวาจาเยาะเย้ย

ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะค่อย ๆได้สติกลับมาว่าตนเองเผลอจ้องมองบุรุษชุดขาวโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตามความทรงจำของเจ้าของร่างนี้นั้น บุรุษในชุดอาภรณ์ขาวที่คล้ายกับเทพเซียนผู้นี้เป็นพระสวามีราคาถูกของนาง ผู้สืบทอดลำดับที่เจ็ดหนิงอ๋องตงฟางหลี

บุรุษชุดดำที่อยู่ถัดจากตงฟางหลีนั้น หาใช่ใครอื่นใดไม่นอกเสียจากตงฟางลั่ว ผู้สืบทอดลำดับที่สามท่านอ๋องตงฟางลั่ว

เดิมทีเจ้าของร่างเดิมนั้นได้ทำการหมั้นหมายกับท่านอ๋องสามที่ตนเองหลงรักเสียจนหัวปักหัวปำเอาไว้อยู่แล้ว เพียงเพื่อต้องการเอาใจท่านอ๋องสามนั้น ทำให้นางสามารถลงมือทำเรื่องโง่ ๆลงไปเสียมากมายโดยไม่อาจถอนตัวออกมาได้

ทว่า เจ้าของเดิมที่หลงรักอ๋องสามอย่างบ้าคลั่งนั้นกลับต้องมาตบแต่งให้กับอ๋องเจ็ดตงฟางหลีแทน นั่นก็เป็นเพราะแผนการสมรู้ร่วมคิดที่ออกแบบมาอย่างดี

หากตามความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้หลงเชื่อในคำโกหกของฉินเสวี่ยเย่ว์ นางเตรียมการที่จะใช้งานเลี้ยงฉลองช่วงสารทฤดูของราชวงศ์ วางแผนให้อ๋องสามดื่มสุราจนมอมมายเพื่อให้เกิดเรื่องที่มิอาจหวนคืนกลับไปได้อีก

ฉินเสวี่ยเย่ว์พยายามหลอกลวงให้นางมอบทั้งกายและใจของตนเองให้กับอ๋องสาม เช่นนี้ก็จะทำให้นางสามารถครอบครองหัวใจของอ๋องสามได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน ฉินเสวี่ยเย่ว์ก็ได้เล่าแผนการนี้พร้อมทั้งใส่สีเติมไข่ลงไปให้อ๋องสามฟัง นั่นจึงทำให้อ๋องสามโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งนัดแนะห้องที่ว่างเว้นเอาไว้ เพื่อที่จักให้ชายหูหนวกทำลายความบริสุทธิ์ของฉินเหยี่ยนเย่ว์เสีย

ทว่า สิ่งที่มิมีผู้ใดคาดคิดก็คือ อ๋องเจ็ดตงฟางหลีที่มีอาการไม่ค่อยสบายนั้น กลับเข้าไปนอนพักผ่อนในห้องนั้นเสียแทน ทั้งยังเอาตัวชายหูหนวกผู้นั้นจัดการนำตัวออกจากห้องไปเสียด้วย

เจ้าของร่างเดิมที่เมามายด้วยฤทธิ์สุราพร้อมทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนั้น จึงบุกเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับตงฟางหลีที่นอนพักผ่อนอยู่แทน พร้อมทั้งฉินเสวี่ยเย่วและอ๋องสามที่พาผู้คนกรูเข้ามาตามหาความจริงคาหนังคาเขา

หลังจากที่มีเรื่องอื้อฉาวนี้เกิดขึ้น ท่านอ๋องสามซึ่งแต่เดิมทีได้ทำการหมั้นหมายกับเจ้าของร่างเดิมเอาไว้นั้น จึงได้ทำการยกเลิกการหมั้นหมายขึ้นในทันที

หลังจากที่เจ้าของเดิมรู้เรื่องเข้า ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ พลางเอาแต่สร้างปัญหาโวยวายว่าจะจบชีวิตของตนเอง จนกระทั่งทำก่อเรื่องโง่ ๆ ขึ้นมาว่าตงฟางหลีจงใจทำลายความสัมพันธ์ของนางกับท่านอ๋องสาม

ไม่นานนัก อ๋องเจ็ดจึงได้นำเรื่องกราบทูลขอสมรสพระราชทานเพื่อตบแต่งกับเจ้าของร่างเดิมในทันที ฝ่าบาทที่ต้องการปลอบใจตระกูลฉินนั้น จึงได้ออกพระราชโองการให้ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตบแต่งกับตงฟางหลี พร้อมทั้งยังมอบสมรสพระราชทานน้องสาวของนางฉินเสวี่ยเย่ว์ให้ตบแต่งกับท่านอ๋องสามแทน

เมื่อความทรงจำในครั้งนั้นพรั่งพรูเข้ามา ก็ทำฉินเหยี่ยนเย่ว์ถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมโดยไม่รู้ตัว

ผู้ที่หลงมัวเมาในความรักจักนึกโง่เง่าขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ?

ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจักก่อเรื่องใหญ่วุ่นวายมากถึงขนาดนี้ แต่นางกลับได้รับการช่วยเหลือจากตงฟางหลีขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทว่า ตนเองยังคิดจะไปหวังพึ่งพาอ๋องสามผู้ไร้ยางอายเช่นนั้นอีก? หากมิใช่ว่ามีตระกูลฉินปกป้องนางอยู่ละก็ เกรงว่านางคงได้ถูกเอาตัวเข้าไปคุมขังอยู่ในคุกนานแล้ว คนโง่เง่าเช่นนี้อยู่รอดจนเติบใหญ่มาได้นับว่าน่าอัศจรรย์​ยิ่งนัก

"พวกเจ้า นำมันเข้ามา" จู่เสียงของท่านอ๋องสามพลันขัดจังหวะความคิดของฉินเหยี่ยนเย่ว์ในทันที ก่อนที่ทจะเห็นข้ารับใช้หลายคนอุ้มศพร่างหนึ่งขึ้นมาที่กลางห้องโถง

“เจ้าเจ็ด พระชายาของเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ลงไป เจ้าควรจักลงโทษนางเช่นไรดี เจ้าชี้แจ้งมาเสีย?” ท่านอ๋องสามเอ่ยออกมาด้วยความเย็นชา “นางบุกเข้าไปก่อความวุ่นวายถึงในวังของข้า ทั้งยังเตะพระชายาของข้าลงไปในน้ำอีก ยังทำการสังหารนางกำนัลรับใช้ในของข้าอีกด้วย มีอย่างที่ไหนกัน”

เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นศพที่ถูกยกเข้ามานั้น นางจึงตกใจไปในทันที

สาวใช้นามว่าไห่ถังผู้นั้นตายแล้วหรือ?

ถึงแม้ว่านางจะโจมตีจุดซ่างชิงของไห่ถังอย่างรุนแรง ทว่า ด้วยเรี่ยวแรแค่นั้นย่อมมามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตไปได้ อีกทั้ง นางยังลากไห่ถังไปที่น้ำตื้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วนางไม่มีทางจมน้ำตายได้อย่างแน่นอน

หลังจากที่นางเดินออกมาได้ไม่นานนัก ย่อมต้องมีคนเข้าไปช่วยเหลือนางแน่ ๆทั้งยังมิถูกแช่แข้งจนตายอีกด้วย เช่นนั้นไห่ถังจักตายได้อย่างไร?

เสด็จพี่สามต้องการให้มีการลงโทษเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?” ตงฟางหลีเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีใจเย็น

“พระชายาทำการสังหารคน ต้องโทษมีความผิดเสมือนกับสามัญชนทั่วไป ทั้งยังต้องชดใช้ชีวิตด้วยชีวิตของตัวเอง” นัยน์ตาที่เรียวเล็กขององ์ชายสามพลันทอประกายออกมาด้วยความคิดชั่วร้าย “นำตัวพระชายาเจ็ดมอบให้กับทางศาลาว่าการเสีย เพื่อให้ใต้หล้าได้ล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายที่นางได้กระทำลงไป น้องเจ็ดเจ้าคิดว่าเช่นไรกัน?”

สีหน้าของตงฟางหลีพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ถึงอย่างไรฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็เป็นพระชายาของเขา หากว่ามอบตัวนางให้ทางศาลาว่าการแล้วไซร้ ไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการดึงตระกูลฉินให้เจอกับความยากลำบากอีกด้วย แม้แต่หน้าตาของราชวงศ์ก็จะถูกนำลงมาเหยียบย่ำเช่นกัน

ในคราก่อน นางก็ทำให้ราชวงศ์ต้องอับอายเสียหน้าในงานเลี้ยงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ไปแล้ว เพื่อเห็นแก่หน้าตาของราชวงศ์นั้นและไม่ทำให้เสด็จพ่อของเขาต้องอับอายไปมากกว่านี้ เขาจึงได้ทำการทูลขอพระราชทานมงคลสมรสกับนาง ทั้งยังใช้เวลาเป็นอย่างมากที่จะสยบข่าวลือที่เกิดขึ้นมาได้

ยังมิทันไรเลย สตรีนางนี้ก็ก่อเรื่องขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!

อ๋องเจ็ดพลางมองดูฉินเหยี่ยนเย่ว์ด้วยสายตาที่เจือไปด้วยความรังเกียจ พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "เจ้ามีต้องการจะเอ่ยอะไรออกมาหรือไม่?"

“ข้ามิได้สังหารผู้ใด” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันหน้าขึ้นมามอง ดวงตานัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

นั่นทำเอาตงฟางหลีถึงกับตกตะลึงไปในทันที เขามิคิดเลยว่าเขาจักมิได้ยินเสียงกรีดร้องอันบ้าคลั่งของนาง แต่กลับได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นเอ่ยอธิบายการกระทำของตนเองออกมาแทน เขาถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจว่า "เจ้ามิได้สังหารผู้ใด?"

“เพคะ หม่อฉันมิได้สังหารใคร” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาของตงฟางหลี “หากว่าการสังหารคนต้องแลกด้วยอีกหนึ่งชีวิตแล้วไซร้ ทว่า หม่อมฉันขอยืนยันได้ว่า หม่อมฉันมิได้สังหารผู้ใดเพคะ”

“น่าขัน” ท่านอ๋องสามถึงกับตบโต๊ะเสียงดังขึ้นมาในทันที “ข้าถึงกับให้คนนำศพมาถึงที่นี่แล้ว เจ้ายังกล้าเล่นลิ้นอีกหรือ”

ฉินเหยี่ยนเย่ว์เหลือบมองดูศพเพียงเล้กน้อย พลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเยาะเย้ยว่า "ทูลถามท่านอ๋องสามเพคะ ไห่ถังตายได้อย่างไรหรือเพคะ?"

"จมน้ำตาย"

“ท่านอ๋องสามรู้หรือไม่เพคะ ว่าบ้านเกิดของไห่ถังอยู่ริมทะเล แต่เล็กจนโตนางมีทักษะทางน้ำที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทว่า หม่อมฉันว่ายน้ำมิเป็นเพคะ การจมน้ำตายของไห่ถังเกี่ยวอันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยถาม

“นี่…” ท่านอ๋องสามตกตะลึงไปในทันที “เป็นเจ้าที่จับหัวนางกดลงน้ำ เพื่อให้นางหายใจไม่ออกและจมน้ำตายเองใช่หรือไม่เล่า”

“โอ้? คำพูดนี้มินับว่าไร้สาระไปหน่อยหรือเพคะ? ไห่ถังที่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงมีพละกำลังมากมายเช่นนี้ แต่หม่อมฉันกลับมีร่างกายที่ผอมแห้งอ่อนแอ ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ หม่อมฉันจักสามารถจับนางกดลงน้ำได้อย่างไร?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา “หากฝ่าบาทมิเชื่อ สามารถเชิญหมอหลวงมาจับชีพจรของหม่อมฉันได้เพคะ เช่นนี้ก็จักรู้แล้วว่าหม่อมฉันเอ่ยความจริงหรือพูดความเท็จออกไปกันแน่ "

“ฮึ่ม! เจ้าคิดเล่นลิ้นอยู่อีกสินะ” ท่านอ๋องสามพลางเอ่ยออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“ไห่ถังตายไปอย่างน่าอนาถเช่นนี้ เจ้าจักเล่นลิ้นอันใดไปก็ไร้ประโยชน์!”

ตงฟางหลีพลางมองสำรวจไปที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์ในทันที

สตรีนางนี้ เป็นสตรีโง่เง่าอ่อนแอนาม ฉินเหยี่ยนเย่ว์จริง ๆ หรือ?

ข้อโต้แย้งที่นางเอ่ยขึ้นมาเมื่อครู่นั้น มันสมเหตุสมผลมากเสียจนทำให้พวกเขาสามารถคลายข้อสงสัยทุกอย่างลงไปได้ ทั้งยังสามารถจัดการอุดปากประเด็นที่อ๋องสามเอ่ยกลืนลงไปได้อย่างง่ายดาย

“เสด็จพี่สามพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดพวกเราถึงมิให้หมอหลวงมาตรวจดูเล่า?” ตงฟางหลีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ใบหน้าของท่านอ๋องสามพลันมืดมนลงไปในทันที

ตงฟางหลีหาได้รอให้อ๋องสามเอ่ยตกลงออกมาไม่ พร้อมทั้งโบกมือให้คนไปเรียกตัวหมอหลวงมาในทันที

ไม่นานนักหมอหลวงพลันเดินเข้ามา

หลังจากที่จับชีพจรของฉินเหยี่ยนเย่ว์อยู่นาน หมอหลวงจึงโค้งกายคำนับก่อนจะเอ่ยออกมา "ทูลท่านอ๋องเจ็ด ท่านอ๋องสามพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเจ็ดมีร่างกายอ่อนแอ ชีพจรของพระนางอ่อนแอยิ่งนัก ถือว่าเป็นอาการที่มีติดตัวตั้งแต่กำเนิด พระนางจำเป็นต้องทานยาบำรุงให้ตรงเวลาพ่ะย่ะค่ะ”

"ไปเถอะ" ตงฟางหลีพลันมองดูฉินเหยี่ยนเย่ว์ด้วยแววตาสงสัยไปในทันที "เสด็จพี่สาม กระหม่อมคิดว่าการตายของนางกำนัลผู้นี้ยังมีข้อสงสัยอีกจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ ยังมิเหมาะสมที่พวกเราจักด่วนสรุปในตอนนี้"

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status