Share

บทที่ 17

ก่อนหน้านี้บ่าวในจวนสกุลหลินเห็นนางต่างก็อยากจะเข้าไปซ้ำเติม คิดหาวิธีมารังแกนางสารพัด

บัดนี้แม้พวกบ่าวในจวนจะไม่ถึงขั้นเจอหน้านางก็เดินหลบไปอีกทาง แต่ก็พอจะทราบว่านางเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ได้รังแกกันง่ายๆ เหมือนในอดีต

ถึงนางจะเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง แต่การเอามีดไล่ฟันทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี

ด้วยเหตุนี้เอง ชีวิตหลังจากนั้นของเฟิ่งชูอิ่งจึงค่อนข้างจะสงบสุข

แต่ก็แค่ ‘ค่อนข้าง’ สงบสุขนะ เพราะช่วงสองสามวันมานี้นางยุ่งพอสมควรเลย

ไม่กี่วันก่อนนางลองเดินสำรวจรอบๆ จวนสกุลหลิน และพบความจริงบางอย่าง จวนสกุลหลินถูกจัดวางตำแหน่งเป็นค่ายกลฮวงจุ้ยขนาดใหญ่

ซึ่งค่ายกลดังกล่าวขับเคลื่อนโดยมีนางเป็นฐาน

เรียกง่ายๆ ว่าทุกวันนี้จวนสกุลหลินเจริญก้าวหน้าได้ ก็เพราะว่ามีนางอยู่

นางมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเสาหลักของจวนสกุลหลิน คอยต้านเภทภัยทั้งหลายให้จวนสกุลหลิน

หากนางตาย ก็จะกลายเป็นของบำรุงโชคชะตาของจวนสกุลหลิน หล่อเลี้ยงคนทั้งหมดที่อยู่ในจวน

ค่ายกลแบบนี้ไม่สามารถใช้คำว่าไร้คุณธรรมมาอธิบายได้หรอก นี่มันเป็นการกระทำที่ชั่วช้าสามานย์ ต่ำทรามไม่เหลือความเป็นคน!

ค่ายกลชนิดนี้ไม่สามารถใช้กำลังทำลายได้ หากฝืนทำลายมันจะส่งผลมาถึงนางด้วย ดังนั้นจะต้องหาคนมาแทนที่

วิธีการเปลี่ยนตัวคือต้องใช้เลือดของคนที่เป็นตัวตายตัวแทน วางในตำแหน่งที่ถูกต้องและในเวลาที่เหมาะสม

เฟิ่งชูอิ่งนึกขึ้นได้ว่านางเคยเก็บเลือดของหลินชูเจิ้งกับหลินหว่านถิงเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน จึงหัวเราะออกมาเบาๆ

พวกเขาชอบสูบเลือดสูบเนื้อนางมากมิใช่หรือ ดังนั้นนางจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสดูสักครั้ง ว่าการถูกคนอื่นสูบเลือดสูบเนื้อมันเป็นอย่างไร

กลางดึกคืนนั้น เมื่อใกล้ถึงเวลาที่นางคำนวณเอาไว้ นางก็แอบไปที่ภูเขาจำลองที่อยู่ใจกลางจวนสกุลหลิน

ภูเขาจำลองเหล่านั้นดูปกติไม่มีอะไรผิดแผก แต่มันกลับเป็นแกนหลักของค่ายกล

ที่ตรงนั้นมีบ่าวคอยพลัดกันเฝ้าเวรยามอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้นางแสร้งทำเป็นเดินเตร็ดเตร่ในจวน จนรู้เวลาเปลี่ยนกะที่แน่นอนของพวกเขาแล้ว

สองวันก่อนนางทดลองเดินเข้าไปใกล้ๆ พวกเขาก็ยังไม่มีท่าทีอะไรหรอก แต่หลังจากหลินชูเจิ้งรู้เข้าก็เรียกตัวพวกเขาไปต่อว่าเสียยกใหญ่ หลังจากนั้นแค่พวกเขาเห็นนางก็ออกปากไล่ทันที

วันนี้ตอนที่นางมาถึง บ่าวชายสองคนที่เฝ้าอยู่เห็นนางก็เอ่ยทันทีว่า “คุณหนูต่างสกุล ข้าบอกท่านตั้งหลายครั้งแล้วนะ ว่าท่านไม่สามารถมาเดินเล่นตรงนี้ได้”

เฟิ่งชูอิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง ล้วงไม้กระบองที่ซ่อนติดตัวออกมาแล้วฟาดใส่ท้ายทอยของบ่าวชายคนหนึ่งจนล้มลงไป

บ่าวชายอีกคนทำท่าจะตะโกน นางก็บิดข้อมือเหวี่ยงไม้ทุบศีรษะของเขาอย่างแม่นยำจนร่วงไปอีกคน

นางจิ๊ปากเบาๆ “ข้าก็ไม่ได้อยากจะใช้ความรุนแรงหรอกนะ แต่พวกเจ้าบังคับให้ข้าต้องลงมือเอง ขอโทษแล้วกันนะที่ทำให้พวกเจ้าต้องเจ็บตัว”

แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่สีหน้าของนางกลับไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียว สองเท้าก้าวฉับๆ เข้าไปหาแกนกลางของค่ายกล

ทว่านางเพิ่งจะก้าวเข้าไป เสียงฝีเท้าคนก็ดังมาจากด้านข้าง นางเอียงหน้าไปมองจึงเห็นบ่าวชายอีกคนยืนอยู่ไม่ไกล

นางเพิ่งจะรู้ว่าหลินชูเจิ้งให้ความสำคัญกับค่ายกลนี้มาก บ่าวที่เฝ้ารักษาความปลอดภัยจึงไม่ได้มีแค่สองคนอย่างที่เห็น ข้างในยังมีคนอื่นอยู่อีก

พลาดจนได้!

บ่าวชายคนนั้นกำลังจะตะโกนเรียกคน นางก็ใช้หนังยางดีดยันต์สาปสะกดเสียงใส่บ่าวคนนั้นทันที ทำให้เขาไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่คำเดียว

นางพลันกระโจนตัวเข้าไปเหวี่ยงไม้ในมือตีหัวบ่าวชายคนนั้นจนสลบ ก่อนจะออกแรงลากบ่าวคนนั้นให้พ้นทาง แล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน

หลังจากนางเข้าไปแล้ว นางก็คำนวณด้วยการนับนิ้วอยู่สักพัก เพียงไม่นานก็ทราบตำแหน่งสำคัญของค่ายกลตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาจำลอง

ตรงนั้นสูงประมาณสิบเมตรกว่าๆ แล้วนางก็ใช้วิชาตัวเบาไม่เป็น พื้นผิวภูเขาจำลองก็เรียบลื่นและไม่มีจุดให้ใช้ปีนป่าย นางพยายามอยู่หลายครั้งก็ยังปีนขึ้นไปไม่ได้

นางกัดฟันเล็กน้อย ก่อนจะหาไม้ค้ำมาด้ามหนึ่ง ออกวิ่งแล้วใช้เสาเหวี่ยงตัวเองขึ้นไป ทว่าพยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ผล

นางให้กำลังใจตัวเองเงียบๆ แล้วลองอีกครั้ง นางจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้!

ครั้งนี้นางกระโดดขึ้นไปถึงส่วนที่สูงที่สุดของภูเขาจำลองได้ ทว่าอยู่ห่างจากส่วนยอดของมันประมาณสามสิบเซนติเมตร

ตรงนั้นมีภูเขาส่วนที่ยื่นออกมา นางจึงเอื้อมมือออกไปคว้าเอาไว้ ทว่าพื้นผิวของมันค่อนข้างลื่น นางก็เลยจับได้ไม่แน่นพอ สุดท้ายร่างกายค่อยๆ ไถลลงไปด้านล่าง

นางคิดกับตัวเองว่าครั้งนี้ก็ล้มเหลวอีกแล้ว แต่จู่ๆ ก็มืออุ่นร้อนข้างหนึ่งช้อนจับก้นที่กำลังค่อยๆ ไถลลงด้านล่างของนาง...

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status