เฟิ่งชูอิ่งตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เสียงกรี๊ดที่กำลังจะหลุดจากปากถูกนางฝืนกล้ำกลืนลงไปในลำคอนางหันหน้าไปมองจึงพบกับใบหน้าที่หล่อจนบรรยายไม่ถูกของจิ่งโม่เยี่ยสีหน้าของเขาในยามนี้ดูสุขุมเป็นอย่างมาก ท่วงท่าก็ดูสง่างามอย่าบอกใคร ราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังประคองอยู่ไม่ใช่ก้นของนาง แต่เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกอะไรทำนองนั้นเขาเห็นนางมองมา จึงเอ่ยถามด้วยเสียงเฉยชาว่า “อยากให้ช่วยไหม?”เฟิ่งชูอิ่งตอบแบบไม่ทันคิด “ไม่ต้อง!”คิ้วเรียวของจิ่งโม่เยี่ยเลิกขึ้นเบาๆ พร้อมกับเสียง ‘อ้อ’ แล้วปล่อยมือทันที ครู่ต่อมาร่างของเฟิ่งชูอิ่งก็ตกลงไปกระแทกพื้นใกล้ๆ กับภูเขาจำลองแม้รอบๆ ภูเขาจำลองจะเป็นพื้นหญ้าทั้งหมด แต่ตกจากที่สูงขนาดนั้นอย่างไรก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกเหมือนก้นแหลกเหลว อวัยวะภายในได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักนางรู้สึกเหมือนร่างกายจะแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ!”นางใช้หินแถวนั้นเป็นที่ค้ำยั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอามือนวดก้นที่ชาไปทั้งแถบของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดว่า “ท่านอ๋อง ข้าแค่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ไม่ได้บอกให้ท่านโยนข้าลงมาจากข้างบนนั้น!”จิ่งโม่เยี่ยมอ
ตอนที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้เขา เขาไม่เคยคิดจะสนใจนางเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขารู้ดีว่าการพระราชทานสมรสมันเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา อีกไม่นานนางก็คงถูกฆ่าตายเขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปใส่ใจคนที่อีกไม่นานก็จะต้องตายอย่างนางตอนที่เจอกันในอาราม นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนาง และนางแตกต่างจากที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิงตอนนั้นเขาไม่ได้ชักกระบี่ออกมาตัดศีรษะนางทันที เพราะอยากรู้ว่านางจะพูดกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองอย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่านางจะแก้ตัวได้ฟังขึ้นไม่มีหลุดพิรุธ แล้วยังแต่งเรื่องที่เคยบังเอิญเจอเขาตอนสิบขวบขึ้นมาอีก ครั้งก่อนเขามาที่จวนสกุลหลินด้วยความบังเอิญ เพราะตอนกลางคืนเขานอนไม่หลับจึงอารมณ์หงุดหงิดอย่างมาก ตอนที่เดินผ่านจวนสกุลหลินได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงแวะเข้าไปดูเรื่องสนุกหลังจากนั้นเขาก็นั่งชมเรื่องสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักว่าภรรยาในอนาคตของเขาดูแตกต่างจากปกติหลังจากเขาเอาเชือกไปให้เจ้าอาวาสยืนยันว่านางมีโอกาสเป็นคนสำนักลี้ลับ ก็สั่งให้คนไปสืบประวัตินางแบบละเอียดยิบทว่าข้อมูลที่สืบออกมาได้กลับทำเขาประหลาดใจมาก เ
จิ่งโม่เยี่ยก้มมองแขนเสื้อที่ถูกนางจับแวบหนึ่ง ก่อนจะเห็นนางส่งยิ้มหวานให้แล้วเขย่าแขนเสื้อเบาๆ ราวกับนางกำลัง......อ้อนเขา?เขาค่อนข้างแปลกใจเลยล่ะ เพราะบนโลกใบนี้มีไม่กี่คนหรอกที่กล้าออดอ้อนเขาอย่างนี้?เขาปล่อยมือที่บีบคางนางแล้วกล่าว “สารภาพมาให้หมดเปลือกเดี๋ยวนี้ว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่“หากพูดความจริง ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า แต่หากกล้าโกหกแม้แต่คำเดียว ข้าจะบิดคอของเจ้าออกมา”เฟิ่งชูอิ่งย่อมไม่คิดจะบอกความจริงให้เขาทราบอยู่แล้ว เพราะถ้าบอกความจริงออกไป นางจะอธิบายเรื่องที่รู้วิชาลัทธิเต๋าได้อย่างไรละสมองของนางประมวลผลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแต่งเรื่องขึ้นมาว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเซ่นไหว้วิญญาณของมารดาข้าแล้ว แล้วบ้านเดิมของข้าก็มีประเพณีขึ้นที่สูง“บอกว่ายิ่งยืนอยู่สูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใกล้ชิดกับผู้ที่ล่วงลับไปมากเท่านั้น ข้าคิดถึงท่านแม่มาก ก็เลยอยากจะใกล้ชิดกับนางสักหน่อย“ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดในจวนสกุลหลิน เพียงแต่ท่านอ๋องก็ทราบว่าคนในจวนสกุลหลินไม่ได้ดีต่อข้านัก“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับพวกเขาแล้วว่าอยากทำพิธีขึ้นที่สูง แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้ทำ ข้าอับจนหนทา
ค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าเฟิ่งชูอิ่งชัดเจนเลยว่าเป็นพิธีกรรมสาปแช่งอย่างหนึ่ง อักขระพวกนั้นยังดูชั่วร้ายมากด้วยแม้ค่ายกลนี้จะไม่เหมือนกับคำสาปที่เขาโดน แต่ก็มีความคล้ายคลึงอยู่ไม่น้อยอารมณ์นึกสนุกในคราแรกพลันสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาสามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่งแล้ว นั่นคือนางเชี่ยวชาญคาถาอาคมของสำนักลี้ลับเจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!เฟิ่งชูอิ่งในยามนี้ไม่มีเวลาไปสนใจจิ่งโม่เยี่ย ขั้นตอนสลับของที่อยู่ตรงแกนกลางของค่ายกลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่อาจประมาทพลาดพลั้งได้นางไม่ได้พกเครื่องมือประกอบพิธีกรรมติดไม้ติดมือมาด้วย จึงต้องอาศัยประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อยแล้วก็เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ ตอนที่นางหยิบกุญแจเงินออกมาก็มีวิญญาณร้ายตนหนึ่งผุดออกมาจากในกุญแจ พุ่งตรงเข้ามาหานางด้วยจิตอาฆาตพยาบาทนางเตรียมตัวรับมือไว้ล่วงหน้า จึงใช้มือข้างหนึ่งสร้างเคล็ดวิชาดาบสุวรรณฟันใส่วิญญาณร้ายตัวนั้นนางฟันลงไปเพียงครั้งเดียว วิญญาณร้ายตนนั้นก็ขาดเป็นสองท่อน!ก่อนจะสลายเป็นฝุ่นควัน วิญญาณร้ายตนนั้นได้ถลึงตามองนาง สีหน้าประหลาดใจคล้ายไม่อยากจะเชื่อขณะที่นางมองก
เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!”นางอยากจะตบเขาสักฉาดใหญ่ๆ จากนั้นก็ด่าว่า ‘ไปตายซะ ไอ้หื่นกาม!’นางหันขวับไปมองหน้าเขาอย่างลืมตัว เขาที่ยืนด้วยท่าทางเกียจคร้านภายใต้แสงจันทร์ ช่างดูสูงส่งราวกับเทพเซียนตกสวรรค์ สุภาพอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูกนางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าถ้อยคำเหมือนพวกอันธพาลหื่นกามเช่นนั้น จะหลุดออกมาจากปากของเขาได้นางสูดหายใจลึกๆ แล้วถาม “ท่านอ๋องหมายถึงนอนที่เป็นคำนามหรือคำกริยาเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยงุนงง “อะไรคือคำนาม? อะไรคือคำกริยา?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางพลันนึกขึ้นได้ ในยุคสมัยนี้เหมือนจะยังไม่มีการแบ่งประเภทของคำนางจึงกระแอมไอแล้วตอบว่า “นอนแบบสงบนิ่งคือคำนาม นอนแบบที่ต้องทำเรื่องบางอย่างก่อนคือคำกริยาเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยใช้นัยน์ตาดอกท้อสีดำสนิทจ้องมองนาง ทั้งที่เป็นการมองแบบราบเรียบแท้ๆ แต่นางกลับรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งใจจิ่งโม่เยี่ยทำมือคล้ายมีดแล้วสับอากาศ ใช้หางตาเหลือบมองนางแล้วกล่าวว่า “ตอนแรกข้าหมายถึงคำนาม แต่หากเจ้ายังพูดพร่ำไม่เลิก อาจจะกลายเป็นคำกริยาได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คำกริยาในแบบที่นางคิดไว้นางรีบตอบ “เชิญท่านอ๋องเพคะ!”จิ่ง
จิ่งโม่เยี่ยแสยะยิ้มเย็นชา “ว่าที่พระชายาทั้งเจ็ดคนก่อนหน้านี้ ข้าคาดหวังให้พวกนางรอดชีวิตจริงๆ แต่กับเจ้าเนี่ย...”เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อและคิ้วกระบี่แฝงแววเสียดสีหลายส่วน “คนที่พูดจาโกหกหลอกลวงอย่างเจ้าน่ะ รีบๆ ตายไปก็ดีแล้ว”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางด่ากราดบรรพบุรุษเขาในใจ ทว่าใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอ่อนหวาน “ท่านอ๋องเข้าใจล้อเล่นเสียจริง ข้ายังอยากคลอดท่านชายน้อยให้พระองค์อยู่ จะรีบตายได้อย่างไร?”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองนางเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกนางนางมองเขาด้วยท่าทางหวาดระแวง “มีอะไรเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้หลับพักสายตามาหลายวันแล้ว ความอดทนจึงค่อนข้างต่ำ เมื่อนางไม่ยอมขยับเข้ามาหา เขาจึงยื่นแขนยาวออกไปคว้าตัวนางเข้ามาแทน ก่อนจะเหวี่ยงนางลงเตียงแบบไม่ทะนุถนอมสักนิดเฟิ่งชูอิ่งเบิกตาโต เตรียมจะขัดขืน ทว่าเขากลับเหล่มองนางด้วยดวงตาที่หรี่ลงเกือบครึ่ง สายตาของเขามีคำเตือนเขียนไว้ชัดเจน นางจึงนอนนิ่งทันทีนางไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางกายของจิ่งโม่เยี่ย จึงเข้าใจว่าเขาไม่สนใจเรือนร่างของนางนางจึงนึกสงสัยขึ้นมา ในเมื่อเขาไม่ได้สนใจร่างกายของนาง แล้วเขาจะจับกด
จิ่งโม่เยี่ย “......”มือที่ตั้งใจจะสับหลังคอของนางแข็งค้างอยู่กลางอากาศเขากล่าวด้วยใบหน้ามืดครึ้ม “เฟิ่งชูอิ่ง!”เฟิ่งชูอิ่งจึงโฉบหน้าเข้าไปหอมแก้มอีกข้างที่เหลือของเขา “ข้าเข้าใจเพคะ หากจุมพิตแก้มข้างนี้ของท่านอ๋อง แล้วไม่จุมพิตอีกข้างด้วย เดี๋ยวแก้มอีกข้างของท่านอ๋องจะโกรธเอา”จิ่งโม่เยี่ย “......”เหตุผลบ้าบออะไรกันเขาใคร่ครวญในใจว่าควรจะฆ่านางทิ้งเลยดีไหม ก่อนที่เขาจะถูกนางทำให้โกรธจนตายเสียเองจิ่งโม่เยี่ยสอดมือเข้าใต้ผ้านวมแล้วใช้คาถาสงบจิตกับเขาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกง่วงงุนหนักกว่าเดิม ความคิดที่อยากจะฆ่านางจึงลดน้อยลงเขาสับสันมือลงบนหลังคอของนางเต็มแรง นางพลันสบถหยาบใส่เขาในใจ ก่อนจะหมดสติฟุบลงบนตัวเขาเขาพลิกตัวนางลงจากร่างด้วยท่าทางรังเกียจ ก่อนจะโยนนางลงไปนอนริมขอบเตียง ส่วนตัวเองก็หลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราเฟิ่งชูอิ่งหลับไปสักพักก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าบนตัวของนางไม่มีผ้านวมห่มอยู่เลย จึงตัดสินใจแทรกตัวเขาไปในผ้านวมทว่านางเพิ่งจะแทรกตัวเขาไป ก็ถูกเขาถีบออกมา “อย่ามาเบียดข้า”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินแบบนั้นก็แทบระเบิดโทสะ เตียงเป็นของนาง ผ้านวมก็เป็นของนาง ทำไมนางจะนอ
แต่ถึงตั่งจะนอนไม่สบายสักแค่ไหน นางก็ต้องข่มตาหลับให้ได้เช้าวันต่อมาตอนที่นางลืมตาตื่น จิ่งโม่เยี่ยก็หายตัวไปเรียบร้อยแล้ว เป็นอีกครั้งที่กล้ามเนื้อของนางปวดเมื่อยไปหมดนางกัดฟันก่นด่า “ไอ้คนเสียสติเอ๊ย เตียงบ้านตัวเองมีไม่นาน จะมาแย่งเตียงของข้านอนทำไมกัน!“แย่งเตียงข้านอนก็เรื่องหนึ่ง นี่ยังมีหน้ามาดุข้าอีก ไร้มโนธรรมสิ้นดีเลย!”แต่พอนางคิดว่าเดิมทีจิ่งโม่เยี่ยก็เป็นตัวร้ายในนิยายอยู่แล้ว แถมยังมีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต สิ้นไร้มโนธรรม ฉะนั้นด่าเขาไปก็ไร้ประโยชน์อะไรมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา “คุณหนูต่างสกุล มีคนจากในวังมาเจ้าค่ะ บอกว่าจะรับตัวท่านเข้าวังไปแสดงความขอบคุณ”เฟิ่งชูอิ่งชะงักไปเล็กน้อย นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลังจากร่างเดิมได้รับพระราชทานสมรสกับจิ่งโม่เยี่ย ตามธรรมเนียมแล้ว นางจะต้องเข้าวังไปแสดงความเคารพทว่าร่างเดิมพอได้รับพระราชทานสมรส ก็ตัดสินใจหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงทันที จากนั้นนางถึงได้ทะลุมิติมาอยู่ร่างนี้ ก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยนางตอบรับทันควัน “เข้าใจแล้ว ข้าขอล้างหน้าล้างหน้าสักประเดี๋ยว”บ่าวหน้าประตูเอ่ยเร่งนาง “คุณหนูต่างสกุล ท่านช่วยเร่งมือหน่อย อ