ทั้งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนปราการที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ ชวนให้เขารู้สึกท้อแท้เหลือเกินทันใดนั้นเอง ประตูใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ก็ถูกคนผู้หนึ่งถีบจนเปิดกว้าง คนที่อยู่หน้าประตูชักกระบี่แล้วเดินดุ่มๆ เข้ามาในกรมราชทัณฑ์ด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่านประกายคมกระบี่เล่มนั้นเปี่ยมจิตสังหารที่แสนอหังการ ฟันค่ายกลมายาที่พวกวิญญาณร้ายสร้างขึ้นมาจนพังพินาศเฟิ่งชูอิ่งและวิญญาณร้ายทั้งหมดหันกลับไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นจิ่งโม่เยี่ยยืนถือกระบี่อยู่หน้าประตูทางเข้าเขาในยามนี้สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ สายลมยามราตรีกาลพัดชายอาภรณ์พลิ้วไหว เรือนผมสีน้ำหมึกปลิวไสว นัยน์ตาดอกท้อสีดำขลับทอประกายจิตสังหารอันโหดเหี้ยมหากมองเพียงภาพลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนเทพเซียนที่ลงมายังแดนมนุษย์ แต่หากมองเข้าไปในแววตาของเขา จะพบว่าอีกฝ่ายเป็นเทพสังหารผู้เบื่อหน่ายโลกตอนที่เขาทอดสายตามองเข้ามาด้านใน ความเกลียดชังและหงุดหงิดยังปรากฏให้เห็นชัดในแววตาทว่าตอนที่เขามองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าชัดๆ เขากลับชะงักไปเล็กน้อยเฟิ่งชูอิ่งที่มองเห็นเขาเผลอหยุดมือที่ตีกลองไปชั่วขณะ ทว่าวิญญาณร้ายที่ตีฆ้องกลับไม่ยอม
พริบตาที่ประตูกรมราชทัณฑ์ถูกปิด ค่ายกลก็สามารถต้านไอมังกรจากด้านนอกได้อีกครั้งจิ่งโม่เยี่ยสัมผัสได้ถึงพลังงานเย็นวาบที่เคลื่อนตัวผ่านข้างกายเขาไป แต่กลับมองไม่เห็นว่าเป็นตัวอะไรแต่ประสบการณ์ของเขาบอกว่า สถานที่แห่งนี้จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่อาจรับรู้ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศวังเวงหนาวเหน็บแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้องวิญญาณร้ายทั้งหลายเริ่มงานกันอย่างขยันขันแข็ง ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดเพียงจะสังหารคนกรมราชทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยม ทว่าการปรากฏตัวของจิ่งโม่เยี่ยกลับทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าต้องฆ่าคนโดยไวที่สุดพวกเขาจึงลงมือกันอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่นานเสียงโหยหวนชวนสยองของพวกคนในกรมราชทัณฑ์ก็ดังขึ้นอีกครั้งร่างกายของพวกเขาบิดเบี้ยวอย่างน่าสยดสยอง เพียงแค่เห็นก็พิศวงจนบอกไม่ถูกแล้วเฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่ง ก่อนจะยกมือนวดหว่างคิ้วเบาๆ การปรากฏตัวของจิ่งโม่เยี่ยทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ผิดแผนไปหมดในสถานการณ์แบบนี้ นางต้องแก้ตัวอย่างไรถึงจะพิสูจน์ได้ว่านางเป็นแค่คนธรรมดาล่ะ?จิ่งโม่เยี่ยหันไปทางเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อยหลังโดนเฉี่ยวหลิงใช้อิฐทุบหัวไป จากที่จิ่งโม่เยี่ยไม่เชื่อว่านางถูกผีร้ายสิงร่างก็กลายเป็นเชื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่เขาถูกอิฐทุบหัวแบบนั้น นางกลัวว่าเขาจะผูกใจเจ็บนี่สิแต่ในเมื่อนางแสดงงิ้วมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องแสดงต่อไปให้ถึงที่สุดแม้จะตะขิดตะขวงใจ แต่นางกลับคลี่ยิ้มด้วยท่าทางร้ายกาจ “นี่มิเรียกว่าความกล้า มันเรียกว่าความสามารถ เพราะคนที่ไม่มีความสามารถต่อให้มีความกล้าก็ทำไม่ได้หรอก”จิตสังหารฉายผ่านดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ย ทว่าน้ำเสียงของเขากลับนุ่มนวลมาก “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังหาเรื่องตายมากกว่า!”เฟิ่งชูอิ่งตอบยิ้มๆ “ท่านอ๋องแน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิเพคะ ดูสิว่ากระบี่ของท่านจะฆ่าข้าให้ตายได้หรือไม่“แต่ถึงตอนนั้นกว่าข้าจะตาย ว่าที่พระชายาของท่านก็คงจะชิงตายไปก่อนแล้ว“ท่านบุกเข้ามาในวังกลางดึกเช่นนี้ น่าจะมาช่วยเหลือนางมิใช่หรือ?“ไอ้หยา ท่านคงไม่ได้มีใจให้นางแล้วกระมัง?”ประโยคสุดท้ายนางตั้งใจเอ่ยเพื่อกลั่นแกล้งเขาล้วนๆ เพราะตอนนี้นางกำลังเล่นบทผีสางมารร้ายที่สิงร่างผู้อื่นอยู่ ดังนั้นถึงต้องแสดงความชั่วร้ายออกมาให้เ
คนที่บุกเข้ามาคือนักพรตเต๋าที่เป็นเวรประจำวันของสำนักโหรหลวง พร้อมกับขันทีอีกจำนวนหนึ่งพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าก็พากันตื่นตกใจ นักพรตเต๋าคนนั้นตะโกนด้วยท่าทางดุร้าย “วิญญาณร้าย คิดจะหนีไปไหนกัน?”เพียงแค่ก้าวเข้ามาด้านในเขาก็รีบเปิดเนตรทิพย์ของตนเอง ชักดาบไม้ท้อ[footnoteRef:1]ออกมาเตรียมจะจัดการพวกวิญญาณร้าย [1: คนจีนเชื่อกันว่าไม้ท้อสามารถขับไล่ภูตผีได้ จึงมักถูกนำมาใช้เป็นอาวุธของพวกนักพรต] พริบตาที่เขาเบิกเนตรทิพย์ขึ้นมา เขาก็มองเห็นวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่ที่มีทุกรูปร่างลักษณะอัดแน่นอยู่ภายในทว่าในตอนนั้นเอง วิญญาณร้ายทั้งหมดนั่นก็ถูกสวดส่งจนสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของเขานักพรตได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความโง่งม เขาคิดว่าตัวเองตาฝาดด้วยซ้ำไปเขายกมือขยี้ตาสักพัก เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง วิญญาณร้ายเหล่านั้นก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้วในขณะเดียวกันไอมังกรก็พัดถาโถมเข้ามาจากด้านนอก ทว่าวนเวียนรอบกรมราชทัณฑ์แล้วก็ยังไม่พบเป้าหมายที่ต้องจัดการ มันจึงสลายหายไปเช่นกันเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่ยังรอดชีวิตอยู่รีบตะโกนเสียงหลงว่า “ท่านนักพรตช่วยข้าด้วย!”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงร้องขอค
จิ่งโม่เยี่ยก้มมองเฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนคราหนึ่ง เอาล่ะ เขามั่นใจหนึ่งอย่างแล้ว ความสามารถของนางเหนือยิ่งกว่านักพรตเต๋าที่มีพรสวรรค์สูงสุดในสำนักโหรหลวงเสียอีกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์หัวเราะอย่างเสียสติ “ข้าเป็นชายชาตรี ข้าเป็นบุรุษอกสามศอก ข้าจะหลับนอนกับสตรีทุกคนในใต้หล้าเลย!”เขากล่าวจบก็ใช้มือจับของสิ่งนั้นที่ผูกอยู่ตรงช่วงเอว จ่อไปที่ส่วนท้องน้อยของขันทีผู้หนึ่งแล้วดันมันเข้าไปนางกำนัลคนหนึ่งทนดูไม่ไหวอีกต่อไป จึงคว้าท่อนไม้ขึ้นมาฟาดหลังศีรษะของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์จนสลบเหมือดไปสันติสุขจึงหวนคืนสู่โลกหล้าอีกครั้งขันทีกลุ่มหนึ่งช่วยกันคนละไม้คนละมือ จับร่างของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เหวี่ยงออกจากตัวของขันทีผู้โชคร้ายคนนั้นก่อนที่เสียงเข้มงวดของใครคนหนึ่งจะดังมาจากข้างๆ “ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอะไรกัน”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงนั้นก็ทราบทันทีว่าฮองเฮามาถึงแล้วนางไตร่ตรองในใจ ต้องทำอย่างไรถึงจะสั่งสอนบทเรียนที่ฮองเฮาจะต้องจดจำไปจนวันตาย โดยที่ไม่หลงเหลือหลักฐานให้อีกฝ่ายมาเอาผิดได้ขันทีที่อยู่แถวนั้นรีบใช้ผ้านวมห่มคลุมร่างของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ จากนั้นก็กราบทูลเหตุการณ์ทั้งหม
“พวกเขาบอกว่าเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เป็นตัวการแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง พวกเขาจึงต้องการฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ!”นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ลอบใช้มือสร้างมุทรายิงคาถาใส่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่เดิมสลบเหมือดไปแล้วก็พลันลืมตาขึ้นมา เขากระโจนลุกขึ้นมาแล้วถาโถมร่างใส่ฮองเฮาจนล้ม ก่อนจะเผยอปากจูบใบหน้าของฮองเฮาเนื่องจากเขาถูกตีสลบไปแล้ว อีกทั้งตอนที่ฮองเฮาปรากฏตัวคนทั้งหลายก็มัวแต่ถวายความเคารพ จึงไม่มีใครสนใจเขาอีกการที่เขาลุกขึ้นมากระโจนใส่ฮองเฮาจึงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของคนทั้งหมด จนไม่มีใครเข้าไปห้ามปรามเขาได้ทันฮองเฮาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ในยามปกตินางจะวางมาดนิ่งขรึม ทว่ายามนี้กลับไม่หลงเหลือความสุขุมเลยแม้แต่นิดเดียวเสียงหวีดแหลมยามเสียขวัญของนางบาดหูยิ่งกว่าสตรีทั่วไปเสียอีก “บังอาจ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะแล้ว จึงไม่คิดจะฟังคำสั่งของฮองเฮาแม้แต่น้อยเขาตะโบมจูบใบหน้าของฮองเฮาอย่างบ้าคลั่ง แม้นางจะพยายามหลบอย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังโดนเขาจูบไปสองสามครั้งอยู่ดีบรรดานางกำนัลขันทีที่พากันตกใจก็พลันได้สติกลับมา พวกเขารีบเข้
มุมปากของจิ่งโม่เยี่ยยกสูงขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “นางเป็นฮองเฮาของแผ่นดิน เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นก็ต้องอับอายขายหน้าเป็นธรรมดา”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ยามเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นพระนางรู้สึกขายหน้า แล้วทำไมเมื่อครู่นี้ถึงพยายามใส่ร้ายป้ายสีข้าล่ะ?“มิใช่กล่าวกันว่าฮองเฮาคือพระมารดาแห่งแผ่นดิน เป็นผู้ที่งดงามเพียบพร้อม มีน้ำพระทัยกว้างขวางหรอกหรือ? ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “อาจเป็นเพราะนางยังไม่ใจกว้างมากพอ”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยใบหน้าฉงนสนเท่ห์ “ในเมื่อพระนางทรงน้ำพระทัยไม่กว้างขวางพอ แล้วทำไมยังได้เป็นฮองเฮาล่ะเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยใช้นิ้วดีดหน้าผากของนางทีหนึ่งแล้วกล่าว “เด็กดื้อ เจ้าจะสงสัยอะไรนักหนาเล่า”เขากล่าวจบก็หันไปมองฮองเฮา “เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งจะเข้าวังเป็นครั้งแรก ยังคงไม่รู้ความมากนัก อาจจะมีข้อสงสัยมากไปเสียหน่อย ขอฮองเฮาอย่าได้ถือสาหาความ”ฮองเฮา “......”ทั้งสองคนนี้เล่นด่านางซึ่งๆ หน้า ด่าเสร็จแล้วยังบอกไม่ให้นางถือสาหาความอีก!เรื่องพรรค์นี้จะไม่ถือสาหาความได้อย่างไร?เดิมทีนางอยากจะฆ่าเฟิ่งชูอิ่งให้ตาย ทว่าตอนนี้นอกจากเฟิ่งชูอิ่ง
ฮองเฮาถูกด่าจนไม่กล้าพูดอะไรอีกไทเฮากล่าวย้ำว่า “อย่าคิดว่าข้ารู้ไม่ทันความคิดชั่วร้ายของเจ้านะ!“ข้ายังไม่ทันตาย เจ้าก็ทำวังหลวงเต็มไปด้วยความอัปมงคลทุกหนแห่งแล้ว!“หากเจ้าจัดการวังหลังให้ดีไม่ได้ก็ส่งมอบอำนาจออกมาเสีย ในวังยังมีสนมชายาอีกมากที่ดูแลวังหลังแทนเจ้าได้”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเบาๆ ว่า “เสด็จย่า แม้คุณสมบัติของฮองเฮาจะด้อยไปบ้าง แต่นางก็เป็นถึงภรรยาเอกของเสด็จลุง ท่านก็ช่วยไว้หน้านางหน่อยเถอะ”หากเขาไม่พูดก็แล้วไปเถิด พอเขาเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ไทเฮาก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “เจ้าไม่ต้องช่วยพูดแทนนางเลย!“เจ้าดูสารรูปนางสิ สตรีที่ปากร้ายใจดำ ใจคอคับแคบเยี่ยงนี้ มีลักษณะเหมือนมารดาแห่งแผ่นดินสักนิดไหม!“วันๆ นางเอาแต่คิดจะจัดการคนนั้น ต่อกรกับคนนี้ ไม่เคยทำเรื่องดีๆ ที่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรเลย“ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เจ้าดูสิว่านางจัดการดูแลวังหลวงจนมีสภาพแบบไหน?“กรมราชทัณฑ์สมควรจะเป็นสถานที่ที่มีความยุติธรรมมากที่สุด กลับถูกนางเปลี่ยนเป็นแหล่งซ่องสุมแสนโสมมไปแล้ว!”ไทเฮากล่าวจบก็หันมาหาเฟิ่งชูอิ่ง “เด็กดี เจ้าไม่ต้องกลัวนะ มีเสด็จย่าอยู่ตรงนี้ ใครหน้าไหนก็รังแกเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น”เฟ