คำพูดของอันเจ๋อทำให้สีหน้าเซียวหลินเทียนผันแปร พลางก้มศีรษะมองสองขาไร้ความรู้สึกของตน นัยน์ตาพลันมืดครึ้มทันใด“ในเมืองหลวงแห่งนี้มิได้มีเพียงข้าแซ่เซียว!”อันเจ๋อกล่าวอย่างนิ่งสงบ “บางทีเราไม่อาจยุติสงครามให้ใต้หล้าสงบสุขได้!”“แต่เราสามารถลดจำนวนประชาชนล้มตายบาดเจ็บได้ ปกป้องบ้านเมืองเราพ้นจากผลกระทบของเพลิงสงคราม ทำให้พวกเขามีชีวิตได้อย่างไม่หิวโหย...”“เราอาจช่วยคนทั้งใต้หล้ามิได้ แต่เราจะช่วยมากเท่าที่ทำได้! นี่แหละคือความหมายของชีวิต!”“คำพูดเหล่านี้ช่างคุ้นหูนัก?”เซียวหลินเทียนหลับตาทุกข์ใจ คำพูดเหล่านี้ต้องคุ้นหูแน่นอน เพราะนี่คือคำพูดของเขากล่าวปลุกเร้าสามเหล่าทัพให้สู้สุดชีวิตขณะอยู่สนามรบอันเจ๋อลุกขึ้นเดินนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเก้าอี้ล้อ เขาเอื้อมมือไปกุมมือของเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนขัดขืนสักพัก ทว่าถูกอันเจ๋อจับไว้อย่างแน่น“อาเทียน ข้าอยากพูดคำเหล่านี้ต่อเจ้ามานานแล้ว! แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าต้องพักผ่อนเสียบ้าง!”“เพียงแค่ท่านยืนไม่ได้ มันไม่ได้หมายความว่าเจ้ากลายเป็นคนไร้ค่าตามขี้ปากสามัญชนพวกนั้น!”“เจ้ายังมีสมองนะ! ตราบใดที่เจ้าปรารนา แม้จะนั่งเก้าอี้ล้อเจ้าก็
แม่นมลี่หาช่างฝีมือได้แล้วก็เริ่มซื้อวัสดุตระเตรียมขยายเรือนหลิงอวี๋กำลังพะวงเรื่องการหาเครื่องยาสมุนไพรให้เซียวหลินเทียน วันรุ่งขึ้นครั้นทานมื้อเที่ยงเสร็จก็พาหลิงซินกับหลิงเยวี่ยไปโรงเหยียนหลิงเมื่อเข้าประตูก็พลันเห็นหลี่ฉินช่วยหมอเลี่ยวชะล้างลานร้านและทำความสะอาดอย่างมือไม้พัลวันหลิงอวี๋หัวเราะแผ่วเบา หลี่ต้าหนิวสั่งสอนเด็กสองคนนี้ไม่เลวจริง ๆ!“หลี่ฉิน พี่สาวเจ้ามาถึงรึยัง?” หลิงอวี๋ร้องเรียก“อาจารย์ ท่านมาแล้ว! ท่านพี่ข้ายังไม่มาเจ้าค่ะ!”หลี่ฉินรั้งศีรษะมองเขา ยิ้มตาหยีกล่าวคำ “วันนี้ท่านย่าข้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะมาก ตอนเช้ายังกินโจ๊กหมดชามหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ!”“หมอเลี่ยวตรวจนางแล้ว บาดแผลของนางไม่มีอาการร้ายแรงอันใด!”“แม่นางหลิงมาแล้ว!”หมอเลี่ยวได้ยินความปั่นป่วนพลันรีบเดินมา เขาดูหมดอาลัยตายอยากพลางมองหลิงอวี๋กล่าวอึก ๆ อัก ๆ“เป็นอะไรไป? เลี่ยวเซียนแลกตัวเลี่ยวหมิงออกมามิได้หรือ?”หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างห่วงใย“เข้าเรือนก่อนค่อยกล่าวเถิด!” หมอเลี่ยวทอดถอนใจพลางพาหลิงอวี๋เข้าเรือน“เมื่อวานเซียนเอ๋อร์นำตั๋วเงินไปแลกคนแล้ว แต่ไม่ได้ออกน่ะสิ ทั้งยังโดนคนในหน่วยงานรา
เมื่อหลิงอวี๋ได้ฟังก็พูดไม่ออก อย่างไรเสียสายสัมพันธ์ซับซ้อนนี่ก็มิใช่ว่านางจะลงมือได้ถ้ามีโอกาสในภายหน้านางจะทูลไทเฮาให้ใส่ใจสักหน่อย“เลี่ยวเซียน ที่พูดว่าแม่ทัพนครหลวงน่ะ! เขาเป็นคนเช่นไรรึ?”ในเมื่อเกาเฉิงมีความเกี่ยวข้องกับโรงหุยชุนจึงไม่อาจมุ่งหวังเกาเฉิงได้ หลิงอวี๋เพียงต้องขอพบเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดองพวกเขาเท่านั้น“แม่ทัพนครหลวงคือแม่ทัพเฉิน เขาค่อนข้างเที่ยงตรงไม่เสื่อมเสีย เขาคือหลานขององค์ชายเฉิงและได้รับสนับสนุนให้เลื่อนตำแหน่งจากองค์ชายเฉิงด้วย”“ทว่าช่วงระยะนี้ แม่ทัพเฉินลางานดูแลมารดาที่ป่วยอยู่เรือน มิได้บริหารกิจงานรัฐ!”เลี่ยวเซียนกล่าวท่าทางขุ่นเคืองว่า “ข้าก็อยากไปร้องเรียนกับเขาเหมือนกัน แต่ไปหลายครั้งแล้วล้วนไม่เห็นคน! เล่าลือว่าเขาพักอยู่ชนบทเป็นเพื่อนมารดา ข้าสอบถามหลายแห่งต่างก็ไม่รู้ว่าแม่ทัพเฉินพักอยู่ที่ใด!”หลิงอวี๋ได้ยินแล้วใจสั่นสะท้านพลางเอ่ยถาม “มารดาของเขาป่วยเป็นอันใด? โรงหุยชุนมิได้ส่งหมอไปรักษามารดาเขาหรือ?”เลี่ยวเซียนหัวเราะเยาะหยัน “มีเรื่องให้ประจบเจ้านายเช่นนี้ ไยเกาเฉิงจะไม่ทำ!”“แน่นนอนว่าเขาส่งไป หมอของโรงหุยชุนผลัดกันไปไม่หยุดหย่
เกิ่งเสี่ยวหาวกลับมา หลิงอวี๋กำลังดื่มชาดีที่เปียวจื่อยกมาเปียวจื่อเอ่ยเอาใจว่า “พระชายาอ๋องอี้ ยาทาที่ท่านส่งมาให้ข้าคราก่อนได้ผลดีมากขอรับ ท่านดูเถิด บ่าวทาหลอดเดียวก็หายขาดดังคาดแล้ว!”เขาชี้ที่ลำคอตัวเองอวด พลางส่งยิ้มกล่าวคำ“ท่านลุงข้าก็ป่วยเป็นโรคเดียวกันกับข้า ข้าเหลือยาทาให้เขาแล้ว เขาทาก็ได้ผลดีเหมือนกันขอรับ!”“พระชายาอ๋องอี้ ท่านทำยาทาอีกสองหลอดให้บ่าวได้หรือไม่ขอรับ...”เกิ่งเสี่ยวหาวเพิ่งเข้ามาก็พลันได้ยินวาจานี้ โมโหจนตบกบาลเปียวจื่อหนึ่งฝ่ามือพลางตำหนิ“เจ้าเด็กนรก เจ้าคิดว่ายาของท่านพี่พัดมาตามลมเราะ! คราวก่อนส่งให้เจ้าสองหลอด เจ้ายังไม่รู้จักพออีก!”เปียวจื่อลูบศีรษะพลางเอ่ยน้อยใจ “ท่าน บ่าวยังพูดไม่จบขอรับ! บ่าวไม่ได้ขอเปล่า ท่านลุงข้าบอกว่าจ่ายเงินเท่าใดย่อมได้ทั้งนั้น!”“นั่นเพราะหาซื้อยาทาเช่นนี้มิได้ตามร้านโอสถทุกร้านในเมืองหลวง บ่าวขอร้องพระชายาไม่ได้หรือ?”หลิงอวี๋ยิ้มกล่าวว่า “ท่านลุงเจ้าทายาหนึ่งหลอดก็หายขาดแล้ว เหตุใดยังต้องซื้อเพิ่ม!”เปียวจื่อตอบว่า “เขารู้จักพ่อค้าต่างถิ่นผู้หนึ่งก็ป่วยเป็นโรคเช่นนี้ ได้ยินเรื่องยาทามหัศจรรย์ที่ท่านลุงข้าพูดเลย
หลังหลิงอวี๋ทานข้าวเย็นอยู่ภัตตาคารจี๋เสียง เกิ่งเสี่ยวหาวห่อขนมอบของภัตตาคารจี๋เสียงให้หลิงเยวี่ยอีก ก่อนจะส่งหลิงอวี๋ลงชั้นล่างบัดนี้ ลิ่วล้อที่สืบถามข่าวคราวแม่ทัพเฉินกลับมาพอดี พลางให้ที่อยู่เกิ่งเสี่ยวหาวเกิ่งเสี่ยวหาวเห็นว่าหมู่บ้านเฉินเจียที่ห่างตัวเมืองยี่สิบกว่าลี้พลางกล่าวคำ“วันพรุ่งข้าไปรับซื้อเครื่องยาที่หมู่บ้านเฉินเจียพอดี ข้าจะไปส่งท่านพี่!”หลิงอวี๋ไม่ได้ปฏิเสธ ครั้นนัดเวลาเดินทางกับเกิ่งเสี่ยวหาวกันดีแล้วก็นำขนมอบกลับตำหนักอ๋องอี้ทันทีพอกลับถึงตำหนักอ๋องอี้ฟ้าล้วนมืดแล้ว หลิงอวี๋ถือขนมอบกลับเรือนบุหงา ครั้นเห็นเครื่องยาที่ตนให้หลิงซินนำกลับกำลังวางอยู่ ก็เอาเครื่องยาหมายส่งให้เซียวหลินเทียนนางเห็นขนมอบขอบภัตตาคารจี๋เสียง คิดแบ่งอีกห่อ ถือพร้อมกันเดินไปเรือนริมวารีของเซียวหลินเทียนเรือนยังมีแสงไฟตะเกียง ประตูเรือนเปิดอ้า องครักษ์สองนายเฝ้าอยู่ประตูหลิงอวี๋กำลังคิดส่งเขาไปแจ้งให้ตน พลันได้ยินเสียงหัวเราะอันไพเราะมากเสน่ห์ของชิวเหวินซวงลอยมาจากในเรือน“ท่านอ๋อง ท่านดื่มเก่งจริง ๆ ท่านพี่จ้าวกับลู่หนานร่วงหมดแล้วเพคะ!”“ท่านอ๋อง ข้าไม่ไหวแล้ว! ดื่มไม่ได้แ
แม่ทัพเฉินหยุดฝีเท้า หมายเอี้ยวตัวต่อว่าอย่างขุ่นเคือง“นักต้มตุ๋นร่อนเร่จากไหนอีก ไล่นางไปเสีย!”“หมอหลวงในวังต่างสิ้นวิธี นางสตรีอ่อนแอผู้เดียวขวัญกล้าอ้างว่ามีวิธีรักษาท่านแม่ข้า!”“ต้มสามัญชนพวกนั้นก็แล้วไป! คาดไม่ถึงว่าจะมาต้มถึงหน้าประตูตระกูลเฉิน!”คนเฝ้าประตูคลี่ยิ้มให้ “นายท่านขอรับ บ่าวก็ต่อว่านางเช่นนี้ แต่นางพูดว่าหมอหลวงในวังไม่มีวิธี ไม่ได้บ่งบอกว่านางไม่มีวิธี!”“นายท่าน แม่นางหลิงอาจจะเป็นคนมีฝีมือจริง ๆ ก็ได้นะขอรับ นางไม่ได้ตรวจชีพจรบ่าวก็เอ่ยขึ้นว่าบ่าวมีโรคข้อเสื่อม เป็นตอนวัยแรกรุ่นร่วงลงถ้ำน้ำแข็ง!”“นายท่าน อย่างไรให้นางเข้ามาลองตรวจสักหน่อยก็ไม่เสียหายอันใด หากนางรักษาฮูหยินใหญ่ได้ นั่นคือวาสนาของฮูหยินใหญ่ขอรับ!”“ถ้ารักษาไม่ได้ค่อยไล่ไปก็ได้แล้วขอรับ!”เฉินเจียวฟังแล้วใจสั่นไหวพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ มิใช่ว่าท่านย่าเอ่ยบ่อย ๆ หรือว่ามีคนเก่งมากนักในหมู่คนสามัญ? บางทีแม่นางหลิงอาจเร้นศักยภาพไว้ก็เป็นได้นะเจ้าคะ!”“หวังป๋อพูดถูก ให้นางเข้ามาลองตรวจก็ไม่ได้เสียหายอะไร บางทีอาจช่วยท่านย่าได้จริงก็ได้!”แม่ทัพเฉินนึกถึงอิริยาเจ็บปวดของมารดา ที่สุดแล้วใจทนไม
หลิงอวี๋ทำเป็นไม่เห็นท่าทีลนลานของแม่ทัพเฉิน พลางปั่นเข็มเงินแผ่วเบาอย่างจดจ่อ“ฮูหยินใหญ่ เจ็บหรือไม่?”ฮูหยินใหญ่รู้สึกถึงความอุ่นและสบายที่ลอยมาตามคลื่นจากจุดที่เข็มเงินวางอยู่นางรู้สึกกลับไปมีกำลังอีกครา และกลับพบว่าความเจ็บปวดจนปรารถนาสิ้นใจช่วงเวลานี้ล้วนหายไปอย่างประหลาด“ไม่เจ็บแล้ว!”พอฮูหยินใหญ่เอ่ยจบ หลิงอวี๋พลันดึงเข็มเงินสามเล่มออกพลางใช้แอลกอฮอล์เช็ดให้สะอาด เก็บในกล่องยาของตัวเอง“มาเถิด ข้าจักประคองท่านลุก!”หลิงอวี๋เก็บกล่องยาเรียบร้อยแล้ว ประคองฮูหยินใหญ่ลุกอย่างระวังแม่ทัพเฉินกับเฉินเจียวต่างตะลึงอ้าปากตาค้างอีกหนระยะนี้เพียงเห็นฮูหยินใหญ่แขนขาขดตัวไร้วิธียืดตรงมาตลอด ไม่คาดคิดว่าเหยียดขาลงล่างเตียงได้แล้วหลิงอวี๋ก้มกายนั่งยอง ๆ พลางสวมรองเท้าให้ฮูหยินใหญ่ฮูหยินใหญ่ย่างก้าวแรกด้วยตัวโงนเงน ก้าวสอง…หลิงอวี๋ปล่อยมือ ฮูหยินใหญ่ออกก้าวสาม ต่อก้าวสี่“อ๊ะ… ข้าเดินได้แล้ว!”ฮูหยินใหญ่ยืดเอวตรง เดินไปเดินมาในห้อง ร้องเรียกขึ้นราวกับเด็กน้อยดีอกใจดีใจ“ลูกแม่ ข้าเดินได้แล้ว! ไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว!”“เจียวเจียว ข้าหิวนัก ข้าอยากกินข้าว!”ครั้นตาเห็นเป็น
หลิงอวี๋ได้ฟังก็ขมวดคิ้ว หลิงเยวี่ยเป็นเด็กที่ทั้งรู้ความทั้งว่านอนสอนง่าย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!เหตุใดเซียวหลินเทียนถึงจะทำโทษให้เขาคุกเข่า?“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”หลิงอวี๋เอ่ยถาม“เฮยจื่อน่ะสิเจ้าคะยั่วให้เกิดเรื่อง!”หลิงซินบอกอย่างโมโห “ช่วงก่อนหน้านี้เขาซี่โครงหัก ต้องรักษาตัวอยู่ในเรือน! แต่สองวันมานี้ดีขึ้นแล้ว วิ่งได้กระโดดได้ ก็ออกมาเที่ยวเล่น!”“บ่าวกับแม่นมลี่กำลังทำความสะอาดเรือนอยู่ เยวี่ยเยวี่ยก็เอาขนมที่คุณหนูให้เขาเมื่อวานไปให้ลุงปี้กินเจ้าค่ะ”“ผลก็คือระหว่างทางถูกเฮยจื่อขวางไว้ เฮยจื่อจะเอาขนมของเยวี่ยเยวี่ยแล้วเยวี่ยเยวี่ยไม่ให้ เฮยจื่อเลยวิ่งตามเยวี่ยเยวี่ยเจ้าค่ะ”“ไม่รู้ว่ามันเป็นเยี่ยงไร ทั้งสองวิ่งไปจนถึงริมสระน้ำ จากนั้นเฮยจื่อก็ลื่นล้มตกน้ำไปเจ้าค่ะ!”หลิงซินเอ่ยอย่างคับข้องใจ “นางรับใช้ช่วยเหลือเฮยจื่อขึ้นมาไว้ได้ แล้วก็วิ่งไปกราบทูลท่านอ๋อง ท่านอ๋องจึงโกรธแล้วก็ให้เยวี่ยเยวี่ยขอโทษเฮยจื่อเจ้าค่ะ”“เยวี่ยเยวี่ยไม่ยอม ท่านอ๋องก็ให้คนพาตัวเขาไปคุกเข่าอยู่ด้านนอกเรือนริมวารี บอกว่าเยวี่ยเยวี่ยขอโทษเมื่อใดก็จะสามารถลุกขึ้นได้เมื่อนั้น!”หลิงอวี๋ได้