เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำว่าโอสถรักษาชีวิต นางก็เข้าใจทันที นางหันหน้าไปมองอัครเสนาบดีซูแล้วพลันเอ่ยถามขึ้นมาทันที "ท่านเล่าเรื่องนี้ให้หลิงซื่อฟังกระนั้นหรือ?" "เจ้าเรียกมารดาตนเองด้วยชื่อนางได้อย่างไรกัน?" ซูชิงอู่หรี่ตา ต่อให้เขาไม่ตอบ ทว่านางก็รู้คำตอบแล้ว นางมองมาที่บรรดาพี่ชายของตนเองอีกครั้ง ในที่สุดนางก็ทอดสายตามองมาที่ซูหัวจิ่น ซูหัวจิ่นมีอุปนิสัยสุขุมรอบคอบและมีอนาคตไกลที่สุดในตระกูลเลยก็ว่าได้ เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อย และนับได้ว่าเป็นผู้ที่คล้ายกับอัครเสนาบดีซูมากที่สุด เพราะฉะนั้นภายในอุปนิสัยเถรตรงจึงมีความไม่กล้าคิดตัดสินใจอยู่ด้วย "พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าข้าควรจะมอบโอสถนี้ให้ท่านย่าหรือไม่เจ้าคะ?" เห็นได้ชัดว่านางกำลังลองใจอยู่ ซูชิงอู่เชื่อว่าเธอได้พยายามช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของนางในลานล่าสัตว์อย่างสุดความสามารถแล้ว ซูหัวจิ่นเม้มปาก ทว่ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นมาว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ท่านแม่มอบให้แก่เจ้า หามีผู้ใดสั่งให้เจ้ามอบให้ผู้อื่นได้ไม่" ซูเชียนหมิงเองก็พลันยืนอยู่ตรงหน้าซูชิงอู่ เขาอ้าปากร้องตะโกนใส่อัครเสนาบดีซูขึ้นม
"ท่านอัครเสนาบดี!" หลิงซื่อพลันดวงตาเบิกกว้างแล้วมองอัครเสนาบดีซูด้วยความเหลือเชื่อ ความไม่ยินยอมพร้อมใจจวนเจียนจะพรั่งพรูออกมาอยู่รอมร่อ ทว่าอัครเสนาบดีซูกลับกดไหล่นางเอาไว้ "ชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต่อให้เจ้ายอมก้มหัวลง แต่จะแตกต่างอันใดกระนั้นหรือ?" หลิงซื่อโมโหเสียจนหน้าตาแดงก่ำและทรวงอกกระเพื่อมรุนแรง ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าซูชิงอู่เกิดต่อต้านขึ้นมาและมิยอมมอบโอสถให้ หลิงซื่อก็จะได้ชื่อว่าอกตัญญู พาลให้ชื่อเสียงต้องมัวหมองไปทั่วทั้งเมืองหลวง! แต่ซูชิงอู่กลับหาได้เอ่ยเช่นนั้นไม่ แค่ขอร้องให้นางมอบโอสถล้ำค่าออกมาก็ทำมิได้หรือ? นางก็เพียงแต่อยากได้คำขอโทษจากบิดาของนางกับหลิงซื่อ ถ้าหากอัครเสนาบดีซูกับหลิงซื่อมิได้ฉวยโอกาสเช่นนี้ นางก็จะถอยหลังก้าวใหญ่และยินดีมอบโอสถให้พวกเขาอีกต่างหาก ทว่านางเปลี่ยนใจและชักโอสถกลับคืนมา ดูท่าพวกเขาคงต้องเป็นคนอกตัญญูเสียแล้ว ดังนั้นหลิงซื่อจึงได้แต่ทนรับความอัปยศอดสูแล้วคุกเข้าลงกับพื้น "ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิควรจะเอาสิ่งใดไปจากฮูหยินผู้ล่วงลับ พระชายา ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย..." ซูชิงอู่มองดูอีกฝ่าย ทว
ซูฉางเซิง "..." หลังจากรอคอยอยู่เป็นนาน ซูฉางเซิงก็ได้คำตอบ "เช่นนั้น...ถ้าหากท่านย่ากินเข้าไป..." ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ "ยังไม่ถึงกับหมดหวังไปเสียทีเดียวหรอก ถ้ากินเข้าไปก็อาจจะเกิดอาการพิษต้านพิษก็ได้" ซูฉางเซิงรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูสมเหตุสมผลอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็พลันยกยิ้มมุมปาก "ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้พวกเขารู้ ผู้ใดจะกล้าลงไม้ลงมือกับข้าเล่า?" สายตาของซูฉางเซิงทอดมองอ๋องเสวียนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็กระตุกมุมปาก เกรงว่าต่อให้ระดมยอดฝีมือจากแคว้นหนานเย่มาที่นี่ พวกเขาก็คงมิอาจต่อกรกับคนผู้นี้ เขาตบไหล่ของซูชิงอู่ "พอเจ้ามีคนคอยหนุนหลังก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว" ซูชิงอู่ยิ้มโดยมิได้กล่าวสิ่งใด ซูเชียนหลิงตามท่านหมอเดินผ่านประตูเข้าไป นางยื่นมือออกมาหาท่านหมอ "มอบโอสถรักษาชีวิตมาให้ข้าเสีย" ท่านหมอรีบยื่นขวดโอสถให้พร้อมรอยยิ้มประจบประแจง "คุณหนูใหญ่ ได้โปรดอย่าลืมดอกผลของข้าน้อยเชียวนะขอรับ" ซูเชียนหลิงกลอกตาใส่เขาแล้วคว้าเอาขวดโอสถไป "ข้าไม่ลืมหรอกน่า เมื่อข้าอภิเษกกับองค์ชายสามก็จะกลายเป็นพระชายารัชทายาทและฮองเ
ซูชิงอู่สังเกตสีหน้าของอัครเสนาบดีซู นางหาได้มีความรู้สึกให้บิดาผู้นี้แม้แต่น้อย นี่ก็เพื่อจะได้จัดการกับหลิงซื่อและซูเชียนหลิงโดยมิต้องเปลืองแรง อย่างไรเสียนางก็ชอบนั่งชมดูการแสดงจากด้านข้างมากกว่าจะลงมือด้วยตนเอง อัครเสนาบดีซูรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงผ่อนท่าทีลงแล้วถามว่า "อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดก็เป็นได้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังเถอะ พ่อย่อมต้องให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าแน่" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ช่างเถิดเจ้าค่ะ ต่อให้ข้าเล่าให้ท่านพ่อฟัง ท่านก็คงมิเชื่อข้าหรอก พรุ่งนี้ประมาณยามจื่อ ท่านไปดูที่สวนผูเถา[1]ที่ถูกทิ้งร้างอยู่ท้ายจวนเอาเองเถิด" ซูชิงอู่มิได้บอกเขาว่านางอยากให้เขาเห็นสิ่งใด ทั้งยังเจตนาเก็บเป็นความลับอีกต่างหาก ทว่ากลับทำให้อัครเสนาบดีซูสงสัยถึงขีดสุด ซูชิงอู่กับเย่เสวียนถิงมิได้อยู่ที่นี่ต่อ พวกเขากล่าวร่ำลาสามพี่น้องแล้วขึ้นรถม้ากลับตำหนักไป ราตรีนั้นขวดโอสถที่ซูเชียนหลิงได้มาถูกส่งมาที่ตำหนักองค์ชายสามที่อยู่นอกวังหลวง เขาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและมิได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักมาสามเดือนแล้ว ทั้งยังห้ามมิให้ผู้ใดมาเยี่ยมเขาอีกต่า
ซูเชียนหลิงเม้มริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ นางเริ่มวาดฝันที่จะได้เป็นพระชายาขององค์ชายตอนนี้นางเป็นบุตรีคนโตที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของจวนอัครเสนาบดี ตราบใดที่เย่อวิ๋นถูชอบนาง อนาคตของนางก็จะรุ่งโรจน์อย่างไร้ข้อจำกัดนอกจากนี้ ด้วยอำนาจอิทธิพลของตระกูลเดิมที่อยู่เบื้องหลังฮองเฮา เย่อวิ๋นถูจึงเป็นคนที่มีแนวโน้มจะได้ขึ้นครองบัลลังก์มากที่สุดนางเชื่อในการตัดสินใจของตนเองหลิงซื่ออ้างว่านางต้องการดูแลฮูหยินผู้เฒ่า จึงได้ร้องขอต่ออัครเสนาบดีซูเป็นกรณีพิเศษว่าต้องการไปพักอยู่ที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเวลาสองวันอัครเสนาบดีซูไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับได้สนิท ทำได้เพียงพลิกตัวไปมาอยู่ภายในห้องเพียงลำพังสวนหลังจวนที่ถูกทิ้งร้าง เกิดเป็นป่ารกทึบ…อัครเสนาบดีซูเหลือบมองไปยังบริเวณนั้นในเวลากลางคืน เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้ว่าจะหวาดกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก็ตาม เมื่อถึงเวลากลางดึก เขาก็สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่อย่างลวก ๆ และเดินออกจากเรือนนอนไปภายใต้แสงจันทร์และด้วยความคุ้นชินกับจวนหลังนี้ อัครเสนาบดีซูจึงไม่ได้จุดเทียนแต่อย่างใด ทันที
เขาหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย มองดูซูชิงอู่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง“อาอู่...”ทันทีที่ซูชิงอู่ได้ยินเสียงทุ้มลึกดังก้องอยู่ในหู... นางก็รู้สึกอ่อนระทวยลงเล็กน้อยนางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นอะไร แต่เขาชอบเรียกชื่อนางเช่นนี้ในเวลาแบบนี้เสมอแก้มของซูชิงอู่แดงระเรื่อ ขณะที่นางละสายตาออกไป จากนั้นจึงถามอวิ๋นจื่อซึ่งเพิ่งมารายงานข่าวอยู่ด้านหน้าว่า “เจ้ารู้ไหมว่าอัครเสนาบดีซูจะจัดการกับหลิงซื่อเช่นไร?”อวิ๋นจื่อตอบว่า “หลิงซื่อถูกทุบตี ไม่เพียงเท่านั้น นางยังถูกจับขังอยู่ในห้องเก็บฟืนอีกด้วย ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ดื่มกระทั่งน้ำ คุณหนูใหญ่ไปร้องขอความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่าที่เพิ่งหายป่วย ทั้งยังอ้างถึงความโปรดปรานจากองค์ชายสาม เช่นนั้นอัครเสนาบดีจึงยอมไว้ชีวิตนาง”ที่ผ่านมา นางคอยให้คนจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของหลิงซื่ออยู่เสมอจนบังเอิญสังเกตเห็นว่าหลิงซื่อมักจะนัดพบกับบุรุษร่างเตี้ยในชุดดำบ่อยครั้งเพียงแต่คนรับใช้ที่คอยเป็นสายให้นางได้ค้นพบว่าบุรุษผู้นี้มีทักษะศิลปะการต่อสู้และมีกำลังวังชา หากเขาติดตามใกล้ชิดมากเกินควรไปเพียงเล็กน้อย ในไม่ช้าจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอนทว่าคนผู้นี้กลับไม่ใช
“อย่างไรก็เถอะ หลังจากได้เห็นพวกเขาแล้ว ท่านจะรู้เอง”นางจงใจหยอกเย้าเย่เสวียนถิงเย่เสวียนถิงเม้มริมฝีปากบางทันที ดวงตาของเขาดูมืดมน ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"ขณะที่ซูชิงอู่เฝ้าดูเย่เสวียนถิงกำลังยุ่งวุ่นวายกับการหาใครบางคน ใบหน้าของนางก็ไม่อาจเก็บซ่อนความพึงพอใจไว้ได้เมื่อเย่เสวียนถิงพบกับคนที่มีความสามารถเหล่านี้ เขาจะต้องพอใจในตัวพวกนั้นอย่างแน่นอนและคนเหล่านี้จะกลายเป็นมือขวาของเขาในอนาคต...นางเป็นคนเห็นแก่ตัวเนื่องจากนางได้ก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการแย่งอำนาจของราชวงศ์แล้ว เช่นนั้นนางจึงต้องมีอำนาจไว้ในมือด้วยเช่นกันอย่าได้กลายเป็นปลาบนเขียงเพื่อรอให้ใครคนมาเชือดอีก…เย่เสวียนถิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคืนนั้น เขากลับไปที่จวนอ๋องเพื่อพบกับซูชิงอู่ซูชิงอู่ลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อนางเห็นเขา ก่อนที่จะรีบก้าวเท้าเดินออกจากห้องเพื่อทักทายเขา“ท่านอ๋อง เป็นเช่นไรบ้าง… ท่านได้พบทุกคนแล้วหรือไม่?” เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยให้ซูชิงอู่ "ข้าพาพวกเขาทั้งหมดมาที่นี่แล้ว เจ้าเล่า อยากพบพวกเขาหรือไม่?"ซูชิงอู่เพียงเคยได้ยินชื่อคนเหล่านี้ แต่นางไม่เคยเห็นหน้าของพว
ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นทั้งเย็นชาและถมึงทึง รูปลักษณ์ภายนอกดูงดงามสมสมรรถภาพทั้งสามยืนขึ้นและทักทายกันสวีชิงโม่ถามอวิ๋นเซียงหรู "ท่านเป็นผู้เข้าสอบขุนนางปีนี้ด้วยหรือไม่?"เซียวเฝิงตอบว่า "ข้ามาที่นี่เพื่อสอบศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ข้ามั่นใจว่าท่านทั้งสองคงเป็นบัณฑิต"อวิ๋นเซียงหรูพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังคงนิ่งเงียบดวงตาคู่นั้นดูเย็นชา ทำให้ผู้คนที่มองมารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างไม่อาจอธิบายได้สวีชิงโม่เอ่ยปากอย่างไม่เกรงใจ "คนเหล่านั้นถามข้าอย่างเป็นปริศนาว่าข้าอยากทำงานให้พวกเขาหรือไม่ แต่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าจึงปฏิเสธไปในตอนนั้น คิดไม่ถึงว่าผู้คนจากจวนอ๋องจวนองค์ชายนั้นจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้!”เซียวเฝิงพยักหน้าซ้ำ ๆ "เมื่อครู่ท่านบอกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนขององค์ชายสาม เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไร?"สวีชิงโม่เย้ยหยัน "ข้ารับใช้ของจวนองค์ชายสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แตกต่างจากคนรับใช้ของตระกูลขุนนางทั่วไป ข้าโชคดีที่ได้เห็นอาภรณ์ที่คนเหล่านั้นสวมใส่เข้า"เซียวเฝิงตระหนักได้ในทันทีว่า "ข้าเข้าใจแล้ว... ข้าไม่คิดว่าองค์ชายสามจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ พวกเราไม่เห็นด้วยก