ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ผล็อยหลับไปก่อนนอนมีความคิดเดียวในใจ นิทานกล่อมนอนของเย่จิ่งอวี้ที่มุมานะทำอย่างตั้งใจนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องเณรน้อยบนภูเขาเสียอีก...หลังจากนอนหลับจนถึงเที่ยง อินชิงเสวียนก็ลืมตาขึ้นด้วยความพึงพอใจเย่จิ่งอวี้กำลังนั่งข้างบ่อน้ำพุวิญญาณโดยที่เปลือยท่อนบนอยู่ แผ่นหลังแข็งแรง มีเส้นเลือดโผล่ออกมาจากแขน ดูมีพลังแข็งแกร่งยิ่งนักเมื่อคิดถึงพายุโหมรุนแรงเมื่อคืนนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงนางรีบไปที่บ่อน้ำพุ แล้วใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากดื่มแล้ว ก็รู้สึกสดชื่นในลำคอ ร่างกายฟื้นฟูขึ้นในทันทีพอได้ยินเสียง เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน“นอนหลับเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปรั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หรือว่านิทานของข้า ไม่ดีพองั้นหรือ”อินชิงเสวียนเหยียดกำปั้นออก ชกหน้าอกของเขาเบาๆ“ไม่ดี ครั้งหน้าท่านเล่าเรื่องกาลครั้งหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่งดีกว่า!”“เจ้าบอกเองนะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างมีความสุข ยกเข่าลุกขึ้นยืน“น่า
เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นเฮ่อฉางเฟิงที่กำลังแสดงสีหน้ายินดีทันทีเขายืนอยู่ข้างเรือ โบกมือให้อินชิงเสวียนอย่างแรง ราวกับว่ากลัวว่าจะไม่มีใครเห็นหยวนเป่าที่อยู่ข้างๆ เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “แม้ว่าข้าจะพบกับเจ้าเมือง ก็ไม่เคยเห็นคุณชายแสดงท่าทางสนิทสนมแบบนี้มาก่อน”เฮ่อฉางเฟิงหันกลับมาและตบหน้าเขา“ขืนกล้าพูดไร้สาระอีก ข้าจะใช้เข็มเย็บปากเจ้าซะ”ชายคนนั้นได้หิ้วเสื้อคลุม และเดินข้ามโขดหินก้อนใหญ่ริมทะเลไปหาอินชิงเสวียนหยวนเป่าคลำศีรษะป้อย โชคดีที่คุณชายไม่ได้โกรธจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องถูกตบหัวดังเพียะเพราะความโง่เขลาของเขาเย่จิ่งหลานก็หยุดชะงัก และขมวดคิ้วเช่นกัน“คนป่านี่มาจากไหนอีก”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปหยิกเขา“คนป่าหมายความว่าอย่างไร สูบบุหรี่อยู่ก็ไม่สามารถอุดปากเจ้าได้!”หลังจากพูดจบก็หันไปหาเฮ่อฉางเฟิงด้วยรอยยิ้ม“ทำไมคุณชายถึงมาที่ชายหาดได้”“มาที่เป่ยไห่ทั้งที หากไม่ได้มาเห็นความยิ่งใหญ่และความงามของท้องทะเล จะต้องเสียใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าแม่นางอินก็อยู่ที่นี่ด้วย แม่นางอินและข้าน้อยมีชะตาต้องกันจริงๆ”มุมปากของเฮ่อฉางเฟิงยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้า
เมื่อสบตากัน สีหน้าของฉุยอวี้ก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเพราะอยู่ห่างไกลกันเกินไป อินชิงเสวียนจึงไม่เห็นสีหน้าของฉุยอวี้ชัดเจน ทั้งยังไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับนางมากเกินไปจากนั้นก็นึกถึงหยกเย็นพันปีที่ตัวเองเก็บไว้ในมิติ นางได้มอบสิ่งล้ำค่าให้ หากทำเมินเฉยเหมือนมองไม่เห็นเช่นนี้ ก็ดูจะใจดำเกินไปหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว อินชิงเสวียนยังรู้สึกว่าต้องไปทักทายนางยกกระโปรงขึ้น ก้าวข้ามก้อนหินใต้เท้า แล้วเดินไปทางฉุยอวี้“ทำไมเจ้าสำนักฉุยถึงมาที่ชายทะเลได้เล่า”อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ น้ำเสียงเรียบๆ ไม่กระตือรือร้นหรือห่างเหิน ความมืดมนบนใบหน้าของฉุยอวี้หายไปทันที เผยรอยยิ้มอันใจดี“ได้ยินมาว่าระยะนี้หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์กำลังต่อเรือ ก็เลยอยากมาดู ว่าจะช่วยงานอะไรได้บ้าง”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มใสกระจ่าง “เจ้าสำนักฉุยเกรงใจไปแล้ว สำนักเราได้จ้างช่างฝีมือ ตอนนี้กำลังคนก็ยังเพียงพอ หากมีความจำเป็น ชิงเสวียนจะไปรบกวนถึงประตูบ้านอย่างแน่นอน”“ดีแล้ว”ฉุยอวี้เหลือบมองที่ด้านข้างของเรือ แล้วพูดว่า “ใกล้จะถึงวันสิ้นปีแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางอินมีแผนอะไรหลังตรุษจีน”อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อย
ความคิดหยุดอยู่แค่นี้ ฉุยอวี้กระตุกริมฝีปากยิ้ม “ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อข้า วันนั้นทำไมเจ้าถึงทิ้งตำหนักเทพแล้วจากมากับข้า”เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดอย่างเย็นชา “นั่นเป็นเพราะข้าต้องการจับตาดูเจ้า ยิ่งอยากเห็นว่าคนเนรคุณเช่นเจ้า จะสามารถแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภได้ไกลแค่ไหน”ฉุยอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วถามอย่างสงบ “แล้วเจ้าเห็นอะไร”เฟิงเอ้อร์เหนียงตอบว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรไว้ ยังต้องให้ข้าอธิบายทุกเรื่องหรือไม่ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เจ้าได้กลายเป็นหนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า วิธีการของเจ้า ร้ายกาจมากกว่าเด็กสาวใต้อาณัติข้าด้วยซ้ำ”สิ่งที่เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดนั้นไม่น่าฟัง ไม่ว่าชื่อเสียงของสำนักเซียวเหยาจะเป็นอย่างไร ฉุยอวี้ก็เป็นเจ้าสำนัก แต่เฟิงเอ้อร์เหนียงเปรียบเทียบนางกับหญิงสาวในหอนางโลม หากคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากคนอื่น คนผู้นั้นคงไม่เหลือหัวแล้วฉุยอวี้ยังคงดูสงบ ไม่รู้สึกไม่พอใจนางยืนขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ผู้ชนะเป็นเจ้า ไม่จำเป็นต้องสนใจขั้นตอน ยิ่งไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรายละเอียด ตราบใดที่ผลลัพธ์ถูกต้อง เส้นทางนี้เลือกไม่ผิดแน่”
เย่จิ่งอวี้ตัวแข็งทื่อนี่คือเสียงของอาจารย์งั้นหรือเขารู้แล้วว่าอาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาในวังวันนั้นคือตู้เยี่ยน คุณชายขลุ่ยหยกของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ผู้มีชื่อเสียงเย่จิ่งอวี้เคยถามเจ้าสำนักเซี่ยวหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเอ่ยถึงมากกว่านี้ บอกแค่ว่าเขาตายแล้วเท่านั้นท่านแม่ข้าก็เก็บงำความลับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้ได้ยินเสียงจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจเสียงเหมือนยุงที่อยู่ใกล้หู ไม่ดัง แต่ชัดเจนมาก“เจ้าไม่อยากรู้ว่าทำไมอาจารย์จึงออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”เย่จิ่งอวี้สะกดลมหายใจทันที รีบหันไปมองไปรอบๆ ตัว แต่ไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของคนแปลกหน้าเสียงนั้นพูดอีกครั้ง “ถ้าต้องการพบอาจารย์ ให้มาที่ป่าไผ่ด้านเหนือของเมือง”ในเวลานี้ ประตูก็เปิดออกอินชิงเสวียนเดินออกจากห้อง เห็นเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ที่ประตู จึงพูดอย่างงอนๆ “หรือว่าที่ท่านดื่มมากเกินไป จนจำห้องของตัวเองไม่ได้แล้ว?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังจะเข้าไป ทำไมเสวียนเอ๋อร์ยังไม่หลับอีกล่ะ หรือรอให้ข้าเล่านิทานให้ฟัง”ใบหน้าของอินชิงเสวียนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย และนางก็ถ่มน้ำลาย “ใครอยากฟังนิทานข
หลังจากผ่านไปสามสิบนาที เย่จิ่งอวี้ก็มาถึงป่าไผ่ทางตอนเหนือของเมืองป่าแห่งนี้เงียบสงบ ยกเว้นจะมีเสียงใบไผ่ที่ปลิวตามแรงลมเย่จิ่งอวี้หยุดอยู่ที่ชายป่า ลมปราณอยู่ในจุดตันเถียน ตะโกนไปที่ป่า “มีใครอยู่หรือไม่”เสียงนั้นถูกกระตุ้นด้วยกำลังภายใน เป็นเหมือนระลอกคลื่นที่กลิ้งไปตามป่าไผ่เสียงหัวเราะดังมาจากป่า“ไม่ได้เจอกันหลายปี กำลังภายในของฝ่าบาทก้าวหน้าขึ้นมากขนาดนี้ อาจารย์ยินดีจริงๆ”เมื่อฟังเสียงที่คุ้นเคยนี้ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น“อาจารย์ เป็นท่านจริงๆ!”ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับหาคนมาเติมเต็มวังหลัง จนหวนไท่เฟยหมดความโปรดปรานภายในสองปีหลังให้กำเนิดเย่จิ่งอวี้เสด็จแม่ไม่ได้รับความโปรดปราน เป็นเรื่องยากสำหรับลูกชายที่จะทำให้ฮ่องเต้พอใจบางทีมันอาจจะเป็นเพราะการขาดความรักของพ่อ ถึงทำให้เย่จิ่งอวี้เอาความรู้สึกไปใช้กับตู้เยี่ยน มักจะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่ออาจารย์ที่สอนวรยุทธ์ให้เขาเย่จิ่งอวี้รู้สึกภูมิใจที่รู้ว่าอาจารย์ของเขาคือคุณชายขลุ่ยหยกผู้เลื่องชื่อ แต่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว คนในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ต่างไม่ปริปากเล่าถึงสาเหตุการตายของเขา แ
กลิ่นอายในอากาศก็เปลี่ยนไปในเวลานี้ ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดก็โชยออกมาจากลมทะเลยามค่ำคืน ทำให้รู้สึกพะอืดพะอมอยากอาเจียน แต่เย่จิ่งอวี้ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ก็การปรับตัวเข้ากับกลิ่นชนิดนี้ได้ และยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูกเขาหลับตา สูดดมกลิ่นในอากาศที่ทำให้มึนเมา พึมพำไม่ขาดปาก “เลือด ขอเลือดให้ข้า”ลึกเข้าไปในป่าไผ่ ร่างผอมบางถือขลุ่ยหยกอยู่ในมือ เขม็งมองเย่จิ่งอวี้โดยไม่ละสายตาใบหน้าของเขาซูบตอบเห็นกระดูก ลักษณะน่ากลัว ทั้งร่างกายเหมือนกิ่งไม้แห้ง ไม่มีเลือดเนื้อ นิ้วที่ลีบมีแต่หนังหุ้มกระดูกเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่นั้นเปรียบเสมือนผ้าสีดำห่อหุ้มร่างกายที่ผอมแห้งของเขา เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่จมลึกคู่หนึ่งเท่านั้นความสงสัยของเจ้าสำนักเซี่ยวไม่ผิด ชายตรงหน้าเขาที่ดูเหมือนผีไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตู้เยี่ยน อดีตศิษย์สำนักของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์หลายปีก่อน ตู้เยี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าสำนักเซี่ยว เดิมทีเขาต้องการอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์อย่างวางใจ แต่เจ้าสำนักเซี่ยวนั้นลำเอียงเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่สอนพลังภายในชั้นสูงของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธ
รอยยิ้มอันลำพองใจปรากฏบนริมฝีปากของตู้เยี่ยนในเวลานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเย่จิ่งอวี้ที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ จู่ๆ ก็กระโดดขึ้น ซักฝ่ามือตบข้อมือของตู้เยี่ยน เรียวตาหงส์สุกใสราวกับน้ำ ไม่มีวี่แววแห่งความบ้าคลั่งเลย“ที่แท้ เจ้าคือตู้เยี่ยน!”เย่จิ่งอวี้แสดงสีหน้าตกใจและโกรธเคือง เขาไม่เคยคาดคิดว่าชายชุดดำที่ล่อลวงเขามาหลายวันจะเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือมาโดยตลอด!ใบหน้าของตู้เยี่ยนเปลี่ยนไปทันที“เจ้า...เป็นไปได้อย่างไร”เมื่อใดที่ทำการปลูกฝังโลหิต ก็จะแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดเส้นลมปราณ แม้แต่เจ้าสำนักเซี่ยว ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เย่จิ่งอวี้จะชัดแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรเย่จิ่งอวี้แค่ยเสียงหึอย่างเย็นชา“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”ก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างนั้นก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ และกวาดสกัดเท้าใส่ตู้เยี่ยนลมแรงพัดหวีดหวิวอยู่ในหู ตู้เยี่ยนไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง เหาะถอยออกไปไกลจากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “อย่างเจ้ารึ ต้องการต่อสู้กับข้า อูฐผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า”“ถ้างั้นก็ลองดู ว่าใครเป็นอูฐใครเป็นม้า!”เย่จิ่งอวี้ใช้นิ้วต่างดาบ จี้ตรงไปยังจุดสำ