"นี่——" ลู่ลั่วตะลึงงัน ไม่รู้ว่าแส้สายต่อไปจะฟาดลงตรงไหนดี "ตี!" ใต้ชายคา เสิ่นอวี้ตะโกนมาด้วยเสียงต่ำ “ในเมื่อหลิ่วอี๋เหนียงไม่สนใจทายาทของจวนโหวและยืนกรานที่จะปกป้องคนนอก เช่นนั้นก็ไม่มีความจําเป็นที่ตระกูลเสิ่นของข้าจะต้องต้องการสายเลือดเช่นนี้แล้ว!” ฮูหยินใหญ่ที่ยังลังเลก็พยักหน้า:" นางหลิ่วไม่ใช่ว่าอวี้เอ๋อร์และข้าต้องการพรากลูกของเจ้าไปนะ เจ้าต่างหากที่อยากตาย โทษเฆี่ยนตีในวันนี้เป็นของซ่งหว่านฉิง ในเมื่อเจ้าต้องการถูกเฆี่ยนแทนนาง เช่นนั้นก็จงรับไปเถอะ! ” เมื่อลู่ลั่วได้ยินอย่างนี้ นางก็ฟาดแส้ลงไปอย่างไร้ความปรานี! "อ่า” นางหลิ่วกรีดร้องจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ร่างกายสั่นสะท้าน จนแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วกรีดร้องอย่างเจ็บปวด "นายท่าน! นายท่านรีบกลับมาเถอะ หากท่านยังไม่รีบกลับมาเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านคงถูกหญิงเลวทรามคนนี้ทุบตีจนตายในท้อง! ” "เผียะ! เผียะ! เผียะ! ” ลู่ลั่วไม่สนใจเสียงกรีดร้องของนาง และฟาดแส้ลงไปติดต่อกันหลายครั้ง! เสื้อผ้าบาง ๆ บนแผ่นหลังของนางหลิ่วขาดวิ่น เลือดซึมไหลออกมา มีกลิ่นเลือดจาง ๆ คละคลุ้งอยู่ในลาน แม้แต่ฮูหยินใหญ่ก็รู้สึกลังเลเล็กน
เดิมทีเสิ่นอวี้ต้องการโต้เถียงกับนางสักหน่อย แต่เมื่อพูดมาอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้อารมณ์เสียไปแล้ว ในที่สุดก็พูดอย่างตรงไปตรงมา:" ใช่” นางหลิ่วไม่ได้รักนาง ไม่ว่านางจะตั้งคําถาม หรือบ่นสักกี่ครั้ง นางก็จะหาเหตุผลทุกอย่างเพื่อพิสูจน์การเลือกของนาง แสดงให้เห็นว่าซ่งหว่านฉิงมีค่าควรแก่ความเห็นอกเห็นใจมากกว่า และนางก็ไม่มีค่าเช่นนั้น เรื่องที่ไม่มีผลสุดท้าย จะโต้เถียงไปให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเล่า หัวใจเจ็บปวด เสิ่นอวี้กำมือแน่นจนเล็บฝังลงไปในฝ่ามือ จนรู้สึกแสบเล็กน้อย แต่เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในใจของนาง นางมองไปที่นางหลิ่วด้วยความตะลึงงัน โดยไม่ได้หลบซ่อน หลังจากมองอยู่เป็นเวลานาน นางก็พบว่าหัวใจเย็นชาและแข็งกระด้างไปแล้วจริงๆ "ตี!" ภายใต้คําสั่ง แม้ว่าเสียงของนางจะมีความไพเราะและอ่อนหวานเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาว แต่ท้ายที่สุดก็มีไอสังหารและความเยือกเย็นอยู่มาก รวมถึงอำนาจการปราบปรามที่สะสมมาสองชาติ ไป๋ชีที่มองอยู่ข้างๆก็ตกตะลึง ครู่หนึ่ง เขาเห็นเงาของท่านอ๋องในตัวนาง เมื่อลู่ลั่วกัดฟัน นางเรียกให้คนดึงนางหลิ่วออกจากร่างของซ่งหว่านฉิงแล้วมัดนางไว้ที่อื่น! หลังจา
หมอฉีแห่งหอจี้สือมีชื่อเสียงในเมืองหลวง นอกจากย่วนเจิ้งแห่งสำนักแพทย์หลวงก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้เขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเก่งเรื่องโรคทั่วไปของผู้หญิงและเด็ก เขาตรวจชีพจรได้แม่นยำมาก กล่าวกันว่าเขายังมีความสามารถในการทำให้เกิดใหม่ของทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากของตระกูลต่างๆในเมืองหลวง ท้ายที่สุดแล้ว ทุกครอบครัวในเมืองหลวงก็เป็นคนที่ร่ำรวยและมีเกียรติ ใครไม่อยากมีเด็กอ้วนอีกสองสามคนเพื่อสืบทอดงานของตระกูลบ้างล่ะ? ในชาติก่อน ทักษะทางการแพทย์ของคนคนนี้น่ามหัศจรรย์ราวกับเทพเซียน เสิ่นอวี้ก็เคยได้บูชา แต่ต่อมา เมื่อเป็นฝ่ายเดียวกับองค์ชายสาม ถึงได้เข้าใจถึงความเกรี้ยวกราดของเขา คลอดเด็กหญิงเด็กชาย ในแง่ของชีพจรมีหยินคือผู้ชาย และหยางคือผู้หญิง แม้ว่าผู้ตรวจชีพจรจะต้องมีทักษะอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่การตรวจวัดชีพจรของผู้หญิง จะต้องสัมผัสผ่านผ้าไหม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความผิดพลาดได้ง่าย สิ่งที่ร้ายกาจเกี่ยวกับหมอฉีคนนี้คือ เขาสามารถระบุได้ว่าในท้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายผ่านผ้าไหมผืนนี้ สิ่งนี้ทําได้ด้วยความช่วยเหลือจากกําลังภายใน แพทย์ธรรมดาส่วนใหญ่ในเ
เดิมทีคิดว่าด้วยนิสัยของเสิ่นจิ้น เขาจะไว้ชีวิตนางเพื่อไว้หน้าลูกชายของเขา และตําหนิฮูหยินใหญ่ ท้ายที่สุด ครั้งก่อนที่นางวางแผนรวบรัดวางเสิ่นจิ้นถึงได้มีความสัมพันธ์กัน และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีพยาน นางอุ้มเสิ่นอวี้ ไว้ในอ้อมแขนแล้วมาที่จวนโหว แล้วเสิ่นจิ้นก็ยังยอมรับ หลายปีมานี้นางเอานิสัยนี้ของเสิ่นจิ้นมาบีบบังคับ และนางก็จะประสบความสําเร็จทุกครั้ง เมื่อคิดดูแล้ว ครั้งนี้ก็ต้องได้ผลแน่นอน ผลคือทันทีที่นางกระโจนเข้าไปก็ถูกเสิ่นจิ้นเตะออกไป และพูดด้วยความโกรธ: "นางหลิ่ว! เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ! ในตอนนั้น เจ้าวางแผนรวบรัดข้า ข้าเห็นแก่หน้าอวี้เอ๋อร์เลยไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้า! ” "ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาหารและเสื้อผ้าของเจ้าในจวนโหวไม่ได้ด้อยไปกว่าฮูหยินใหญ่เลย! ทั้งยังรับหลานสาวญาติเจ้าเข้ามาในจวนโหว กินดื่มอาหารเลิศรสในฐานะคุณหนูรองของจวนโหว! แล้วเจ้าล่ะ? ” "เจ้าสองคนไม่เพียงแต่ใส่ร้ายอวี้เอ๋อร์ของเข้าเท่านั้น แต่ยังสมรู้ร่วมคิดกับเวินซื่อไห่! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังกล้าพูดว่าเจ้ากําลังตั้งท้องลูกชายของข้าอยู่หรือ? ข้าไม่ชอบผู้หญิงสำส่อนน่าขยะแขยงอย่างเจ้า! ” เม
เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงได้ยินอย่างนั้น นางก็รีบพูดว่า "เมื่อเดือนที่แล้ว! เรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว! ” "แล้วเหตุใดเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้!" เสิ่นจิ้นโกรธมาก แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาจะไปที่ห้องของหลิ่วอี๋เหนียง แต่เขาก็ทำเรื่องอย่างนั้นน้อยมาก แล้วที่เมื่อเดือนก่อนมีเรื่องนั้นขึ้นมาก็เพราะนางหลิ่วบังเอิญฉลองวันเกิดของนางในคืนนั้น และนางเข้ามาคลอเคลีย เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ตอนแรกก็คิดว่า ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นผู้หญิงของตนเอง ทำแล้วก็ทำไป ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่ใครจะรู้ว่า หลิ่วอี๋เหนียงจะอยู่ไม่สงบถึงขั้นนี้ พาหลานสาวมาสร้างปัญหาถึงงานวันเกิดที่จวนอ๋องหมิงหยาง ! ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ว่านางหลิ่วมีชู้ แล้วจู่ๆในเวลานี้ ก็มีเด็กคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น...... เสิ่นจิ้นลุกขึ้น เดินออกไป เมื่อมองไปที่สีหน้าของหลิ่วอี๋เหนียงอีกครั้ง ก็รู้สึกยากที่จะอธิบาย และเต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงเห็นเขาก็รู้สึกร้อนรน และพูดอย่างลังเลว่า" นี่ นี่ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ง่ายมากที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝัน อนุแค่ต้องการเก็บไว้ก่อน เพื่อเลี่ยงที่จะถูกคนทำร้าย......" "นา
นางหันหน้าไปพูดกับไป๋ชี "ท่านช่วยไปติดประกาศหน่อย บอกว่าคุณหนูเสิ่นสามวันนี้ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เพราะนางโกรธมากที่แม่ของนางสาบานว่าแม้ตายก็จะปกป้องซ่งหว่านฉิง จึงได้โบยแส้นางไปสามสิบครั้ง จนผิวหนังและเนื้อของนางก็ปริออก...... พฤติกรรมของคุณหนูเสิ่นสามตอนนี้ร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน นางสมควรตกนรก” ไป๋ชีสบตานาง เพียงรู้สึกว่าความโหดเหี้ยมในดวงตาของนางนั้นทำให้คนรู้สึกกลัวมาก "นั่น ก็ไม่จำเป็นต้องว่าตนเองเช่นนี้ เป็นเพราะพวกนางมีความผิดก่อน......"เพราะนางพูดว่าตนเองรุนแรงเกินไป ไป๋ชีจึงรู้สึกว่ามันมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงช่วยนางพูดเสริม รอให้พูดจบแล้ว เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าเขากําลังช่วยคุณหนูสามเสิ่นพูดอยู่? ช่วงหนึ่งก็รู้สึกระคายคอขึ้นมา ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไงดี "เจ้าแค่ไปทำตามนั้นก็พอ" เสิ่นอวี้ไม่ได้พูดอะไรมาก "เมื่อประกาศติดเสร็จแล้ว ข้าจะไปประทับตราลายมือ” หลังจากพูดจบ นางก็ก้มหน้ามองนางหลิ่ว "นางหลิ่ว ท่านยังมีอะไรมาข่มขู่จวนโหวได้อีกหรือ พูดมาให้หมดเลย เห็นแก่ฐานะแม่และลูกสาวของเรา ข้าจะเติมเต็มให้ท่านพอใจ ” นางหลิ่วจ้องมองนางอย่างตะลึงงัน นางกลายเป็นแบบนี้ไปไ
แต่ตอนนี้นางเป็นแค่สาวใช้ เหลียนเฉียวเคยถูกนางกดขี่มาก่อน ความประทับใจต่อนางก็ยิ่งไม่มีเลย ตอนนี้ก็ถูกเปิดโปงแล้ว จึงขี้เกียจเกินกว่าที่จะไปกู้คืนหน้าตาตัวเอง นางจึงหันไปพูดทันทีว่า: "คุณหนูซ่งจะดีแค่ไหนกันหรือ ตอนนี้ก็เป็นแค่สาวใช้ราคาถูก...... ต่อจากนี้ไปข้าขอไม่เป็นสาวใช้ราคาถูกดีกว่า คนที่ไม่รู้จักยังคิดว่าเจ้าประเมินตนเองได้ถูกต้อง! ” “อั๊ก!” ซ่งหว่านฉิงโกรธจนกระอักเลือดแล้วล้มลงกับพื้น "ฉิงเอ๋อร์!" หัวใจของนางหลิ่วเหมือนถูกมีดกรีด หลังจากจ้องมองเสิ่นอวี้อย่างเหี้ยมโหด ก็พุ่งตัวเข้าไปหาซ่งหว่านฉิง เสิ่นอวี้กะพริบตา รู้สึกแสบจมูก แต่ในที่สุดร่องรอยของน้ำตาก็ถูกกลั้นเอาไว้ แม้ว่านางจะต้องการมันอีกครั้ง แต่ในชีวิตนี้ของนางก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้รับความรักความโปรดปรานจากแม่ผู้ให้กําเนิด นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พูดด้วยเสียงทุ้ม: "ซงลู่ เรียกคนมาสองคนให้พาตัวพวกนางกลับไป เรื่องที่เหลือค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้”"เจ้าค่ะคุณหนู" ซงลู่เรียกสาวใช้มาสองสามคนทันที จากนั้นลากนางหลิ่วและซ่งหว่านฉิงออกไปเหมือนลากสุนัขที่ตายแล้ว นางหลิ่วจ้องไปที่เสิ่นจิ้น ดวงตาเต็มไปด้วย
เมื่อได้ยินอย่างนั้นเสิ่นอวี้รู้สึกตะขิดตะขวงเล็กน้อย นางรีบส่ายหัวและเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ต่อไป.....ข้ากับองค์ชายสามจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แม้ว่าจะมี แต่ก็เป็นความสัมพันธ์แบบความเป็นความตาย และไม่มีอะไรที่ไป๋ชีจะรู้ไม่ได้ ” เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสิ่นจิ้นตกตะลึงเล็กน้อย เขามองนางด้วยความไม่เชื่อ "เจ้าทําได้หรือ?” ถ้าเขาจําไม่ผิด ลูกสาวตัวน้อยของเขาตั้งแต่อายุเจ็บแปดขวบก็ตะโกนอย่างไร้ยางอายทุกวันเกี่ยวกับความสุขของนางกับองค์ชายสาม และเวลาก็ผ่านมาเจ็ดแปดปีแล้ว มีที่ไหนกันที่พูดว่าตัดขาดก็จะตัดขาดเลย? เสิ่นอวี้รู้สึกอับอายอย่างมาก แต่ก็ยังพูดว่า "เมื่อก่อนเพราะอวี้เอ๋อร์ไม่รู้ความ คำพูดมากมายล้วนฟังมาจากนางหลิ่วและซ่งหว่านฉิง หลังจากที่พวกนางพูดกรอกหูข้ามาเป็นเวลานาน ข้าจึงคิดว่าท่านอ๋องหมิงหยางนั้นด้อยกว่าองค์ชายสามจริงๆ และคิดว่าคนในใจของข้าคือองค์ชายสาม ” “แต่ตอนนี้อวี้เอ๋อร์โตขึ้นแล้ว และก็มีวิจารณญาณของตัวเอง ข้าไม่ได้รักองค์ชายสาม มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่นางหลิ่วและซ่งหว่านฉิงมอบให้ข้า แต่กับอ๋องหมิงหยางนั้น......" เสิ่นอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ใบหน้าก็แดงระเรื่อ นาง