เมื่อถูกเขามองด้วยสายตาเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็สูญเสียความเป็นตัวเองไปเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เธอออกไปตอนเที่ยง เขาไม่ได้มาที่บริษัทด้วยกันกับเจียงฉูฉู่หรือ? ทำไมเจียงฉูฉุ่ถึงไม่อยู่ในห้องทำงานของเขา? ขณะที่เธอกำลังคิด เจียงหนิงฉวนก็ถามอะไรบางอย่างกับเธอ เสิ่นหยินอู้จึงเรียกสติกลับคืนมาได้และตอบสนองอย่างรวดเร็ว เมื่อรายงานสิ้นสุดลง เจียงหนิงฉวนก็เตรียมที่จะออกไป ฉินเย่พยักหน้าอย่างไม่แยแส ทันทีที่เจียงหนิงฉวนเดินออกไป สายตาของฉินเย่ก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่ปกปิดใดๆ ก่อนหน้านี้เธอยืนอยู่ข้างหลังเจียงหนิงฉวน และยังให้เขาบังเธอไว้ ในตอนนี้ จะเลี่ยงก็เลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ ในเวลานี้ จู่เจียงหนิงฉวนที่กำลังจะเดินไปถึงประตูห้องทำงานก็หันกลับมามองที่เสิ่นหยินอู้ "หยินอู้ พรุ่งนี้พี่จะมารับเธอตอนเที่ยงอีกนะ?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ทำตัวไม่ถูก ฉินเย่ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น “ประธานฉิน คุณคงไม่ถือสาสินะถ้าผมจะขอคุยกับเลขาเสิ่นสักหน่อย?” เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว เขากำลังจะทำอะไร? แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบสนองอะไ
หรือเขาแค่แกล้งทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น? “ทำไมคุณถึงไม่พูดหละ?” ฉินเย่บีบคางของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความว้าวุ่นใจของเธอ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “เป็นอะไรไปหละ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่คุ้นเคยตรงหน้า ริมฝีปากสีชมพูของเขาเปิดออก แต่เขากลับลังเลที่จะพูด เธออยากจะพูดและถามอะไรบางอย่างจริงๆ แต่เมื่อคำพูดนั้นกำลังจะออกมา เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอนั้นไร้เรี่ยวแรง... เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ ถ้าหากเขาก้มหน้าลงและถามเธอว่า "ผมแค่อยากเหลือศักดิ์ศรีไว้ให้คุณ ก็เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เสิ่นหยินอู้ ทำไมคุณถึงไร้เดียงสาขนาดนี้?" ถ้าเขาพูดอย่างนั้น แล้วจะทำยังไงหละ? ตอนนี้ทุกคนก็รู้หมดแล้ว ถ้าเธอจัดการมันอย่างเงียบๆด้วยตัวเอง มันก็คงจะดีกว่า “ไม่มีอะไร” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว ดวงตาของฉินเย่หม่นลงเล็กน้อย มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขารู้สึกว่าช่วงนี้เธออารมณ์แปรปรวนอยู่บ่อยๆ จู่ๆเธอก็ดูห่างเหินกับเขามาก ไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกเสน่หาที่พวยพุ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสิ้นเชิงใน ฉินเย่ป
คำพูดของเธอทำให้โจวชวงชวงสงบลงเล็กน้อย พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีแล้ว และชวงชวงก็รู้จักเสิ่นหยินอู้เป็นอย่างดี เธอรู้ดีว่าหยินอู้เป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรและไม่ควรมาโดยตลอด ผลลัพธ์เช่นนี้เธอคงจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังรู้สึกเจ็บใจแทนเพื่อนสนิทของเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างแล้วถามว่า "แต่...เธอเต็มใจจริงๆเหรอ?" เสิ่นหยินอู้ตอบอย่างใจเย็น "ถึงไม่เต็มใจแล้วทำจะอะไรได้หละ?" เธอไม่เต็มใจจริงๆ และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงดูแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับตบเธอและบอกเธอว่าคิดไปเอง “พรุ่งนี้เธอว่างรึเปล่า สนใจไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันไหม?” เสิ่นหยินอู้หยุดไปชั่วคราวและหัวเราะเบาๆว่า “ฉันไม่อยากไปคนเดียว” โจวชวงชวงพยักหน้า "โถ่ ฉันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดเพียงคนเดียวของเธอนะ ต่อให้ไม่ว่าง ก็ต้องว่างให้ได้แหละถูกไหม? เธอไม่จำเป็นต้องถามฉันด้วยซ้ำ แค่บอกให้ฉันไปกับเธอก็พอแล้ว " เสิ่นหยินอู้ยิ้มและพูดว่า "กินข้าวเถอะ กินเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนไวๆ" การแสดงออกของเธอนั้นสงบมากและไม่มีท่าทีว่าจะไม่มีความสุขเลยสักนิด โจวชวงชวงมองเสิ่นหยินอู้
เธอต้องใช้แรงอย่างมากในการช่วยพยุงเขากลับห้อง แต่สุดท้ายก็ล้มลงโดยไม่ระมัดระวังและตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไม่รู้ว่าอะไรกันที่ปลุกอารมณ์ในตัวของฉินเย่ขึ้นมา จู่ๆฝ่ามือใหญ่ๆของเขาก็ย้ายไปจับที่เอวเรียวเล็กของเธอและพลิกตัวเธอเพื่อกดเธอไว้ เขามีรูปร่างที่ผอมเพรียวแต่กลับแข็งแรงกำยำ น้ำหนักทั้งหมดของเขาอยู่บนตัวเธอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเปล่า แต่จู่ๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกราวกับว่าใบหน้าของเธอกำลังเดือดพล่านขึ้นมาในทันที เธอต้องการผลักเขาออกไป อย่างไรก็ตาม วินาทีที่เธอจะผลักเขาออกไป ริมฝีปากบางอุ่นๆของชายคนนั้นก็ประกบไปที่ริมฝีปากของเธอ เสิ่นหยินอู้ตกตะลึง เมื่อเธอต้องการผลักเขาออกไป เธอก็กลับรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆเข้ามาในปากของเธอ ทันใดนั้น สมองของเธอก็ดูเหมือนจะตกใจกับอะไรบางอย่าง และเธอก็ขยับตัวไม่ได้ เมื่อเธอตอบสนอง เธอก็ได้จูบเขากลับไปเสียแล้ว แต่ฉินเย่ที่ถูกเธอจูบตอบก็กอดเธอไว้แน่นราวกับปลาที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานาน ในคืนนั้นเธอได้ปล่อยตัวปล่อยใจของตัวเองไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของฉินเย่ เธอก็เห็นคิ้วที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นของฉินเย่ เมื่อ
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล โจวชวงชวงมองไปรอบๆด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็ถามเธอด้วยเสียงเบาๆ "ทำไมเราไม่ไปโรงพยาบาลใหญ่หละ? โรงพยาบาลเล็กๆจะไม่ทำให้ร่างกายเธอแย่ลงเหรอ?" เสิ่นหยินอู้พูดอย่างใจเย็นว่า "มันไม่สะดวก" ที่โรงพยาบาลใหญ่มีคนที่รู้จักคุณย่าฉินทำงานอยู่ เธอไม่คิดว่าวันนั้นเธอจะท้อง เธอจึงไปตรวจที่นั่น ตอนนี้เธอต้องจัดการกับมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถไปโรงพยาบาลแห่งนั้นได้อีก หากถูกจับได้... แล้วมีคนไปบอกคุณย่าฉินหละก็ ดังนั้นเพื่อความแน่นอน เสิ่นหยินอู้จึงตัดสินใจที่จะมาจัดการที่โรงพยาบาลเล็กๆแห่งนี้ โจวชวงชวงไปทะเบียนและจ่ายเงินให้เธอ และเธอต้องได้รับการตรวจก่อน ระหว่างรอตรวจ ทั้งสองก็นั่งรอบนเก้าอี้ โจวชวงชวงหันไปมองเสิ่นหยินอู้อยู่หลายครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มองเธออีกครั้ง ภายในไม่กี่นาที เธอก็มองหยินอู้ไปมากกว่าสิบครั้ง เสิ่นหยินอู้ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เธอมองฉันทำไมนักหนาเนี่ย?” ชวงชวงตาแดงเล็กน้อย “ฉันสงสัยว่าเธอกลายเป็นคนเย็นชาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตกใจไปชั่วขณะ เธอกลายเป็นคนเย็นชาไปแล้วงั้นเหรอ? “เด็ก
เสิ่นหยินอู้กล่าวว่า "น่าจะเป็นอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ" “งั้นฉันจะไปซื้อของกินมาให้เธอ เธอรอที่นี่นะ เดี๋ยวฉันกลับมา” โจวชวงชวงออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เธอจากไป เสิ่นหยินอู้ก็เอนกายบนเบาะเก้าอี้และหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เสียงทั้งสองในหัวเริ่มขัดแย้งกันอีกครั้ง “เธอกำลังคิดอะไรอยู่หนะ? เห็นได้ชัดว่าเธอได้ตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่หรอ? แล้วเธอก็ได้มาถึงโรงพยาบาลแล้ว ทำไมเธอยังลังเลอยู่? ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ซะ เธอจะต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต อย่าลืมว่าเขาบอกเธอมาแล้วเรื่องที่จะหย่า” “ฟ้องหย่าแล้วมันทำไมหละ? เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ หรือว่าเธอไม่มีความสามารถแม้แต่จะเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ?” “เธอคิดว่าแค่มีความสามารถทางการเงินเพียงอย่างเดียวก็เลี้ยงลูกได้แล้วรึไง? แล้วด้านจิตใจหละ?” “ถ้าห่วงว่าลูกจะไม่มีพ่อ เธอก็หาใหม่สิ เธอยังเด็กขนาดนี้ หรือกลัวว่าจะหาสามีไม่ได้เหรอ?” อาการน้ำตาลในเลือดต่ำบวกกับเสียงทั้งสองนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ปวดหัวจนแทบจะทนไม่ไหว จนกระทั่งมีเสียงประหลาดใจดังขึ้น “หยินอู้?” “หยินอู้ นั่นเธอใช่ไหม?” ในตอนแรก เสียงนั้นด
ก่อนที่หลินเหม่ยหลินจะพูดจบ คนที่คุ้นเคยของเธอก็เดินออกมาจากห้องให้คำปรึกษาที่อยู่ด้านหลังเธอ "แม่" เมื่อเสียงที่นุ่มอ่อนเยาว์ของเด็กสาวดังขึ้น ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและร้ายกาจของหลินเหม่ยหลานก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เสิ่นหยินอู้มองไปยังที่มาของเสียง เธอจำได้ทันทีว่าเป็นจ้าวเป่าเอ๋อ ลูกสาวของหลินเหม่ยหลาน เธอถือใบรายการตรวจอยู่ในมือ สีหน้าและสีปากของเธอซีดมาก สภาพของเธอดูไม่ค่อยดีนัก ก่อนที่เธอจะได้ตอบอะไรกลับไป หลินเหม่ยหลานซึ่งยังคงเยาะเย้ยเสิ่นหยินอู้อยู่ก็หันกลับไปทันที จากนั้นก็เดินไปดึงจ้าวเป่าเอ๋อและเดินออกไป เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของเธอทำให้เสิ่นหยินอู้เดาผลลัพธ์ได้ อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ไม่เคยอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เธอก็เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก จากนั้นไม่นาน หลินเหม่ยหลานก็กลับมา และไม่ได้พาใครมากับเธอ คงจะพาลูกสาวของเธอไปไว้ที่อื่น เธอเดินกลับไปหาเสิ่นหยินอู้อีกครั้ง ท่าทางของเธอแสดงให้เห็นถึงความใจร้ายที่ไม่เหมาะกับใบหน้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเธอ “เสิ่นหยินอู้ ฉันรู้ว่าถ้าเธอเป็นคนฉลาด เธอคงจะเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรเอา
พวกเธอได้รับความทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จะไม่ทำร้ายพวกเธอเป็นครั้งที่สอง สองนาทีต่อมา โจวชวงชวงก็กลับมา “ฉันซื้อแซนด์วิช นมข้าวโอ๊ต แล้วก็ลูกอมมา ในร้านมีของน้อยมาก เธอกินของพวกนี้รองท้องไปก่อนนะ” ขณะที่โจวชวงชวงพูด เธอก็แกะห่อขนมให้ จากนั้นก็ยื่นให้เธอ “กินซะสิ เดี๋ยวก็หิวแย่” เสิ่นหยินอู้มองดูโจวชวงชวงด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นในดวงตาของเธอ "ขอบคุณ" โจวชวงชวงเป็นห่วงเธอมากกว่าแม่ของเธอเสียอีก "มาขอบคุณอะไรกันเล่า!" โจวชวงชวงจ้องเธอ "ระหว่างเราสองคน ยังต้องมาของคงขอบคุณอะไรกันอีกหรอ? ถ้าจะขอบคุณ น่าจะเป็นฉันที่ต้องขอบคุณเธอมากกว่าไหม ตั้งแต่แรก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันอาจจะไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ” เสิ่นหยินอู้ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เธอและโจวชวงชวงรู้จักกันตอนเรียนมัธยมปลาย และทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่แรก สิ่งที่เหมือนจะเป็นพรหมลิขิตก็คือการที่ทั้งคู่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันได้ แต่ในช่วงปิดเทอมนั้น พ่อของโจวชวงชวงเป็นบ้าไปด้วยเหตุผลบางอย่างและติดการพนัน ส่งผลให้เขาเป็นหนี้มากมายจนเจ้าหนี้มาตามถึงท