เมื่อเห็นข้อความนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและมองไปที่ฉินเย่ เธอสบตากับดวงตาที่มืดมนและลึกลับของเขา เขามองเธอโดยไม่กะพริบตา เสิ่นหยินอู้มองดูเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงเม้มริมฝีปากแล้วหันศีรษะไปโดยไม่สนใจเขา ฉินเย่ "....." มือถือของเธอสั่นอีกครั้ง และเสิ่นหยินอู้ก็หยิบมันขึ้นมาดู "มานี่" ไม่ เธอไม่ต้องการ “เมื่อคุณย่าผ่าตัดเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นเธออยากจะทำอะไรก็ทำ ทำตัวดีๆหน่อยสิ ให้ความร่วมมือกับผม คุณไม่ได้บอกเองหรอกเหรอว่าเราอยู่ในความสัมพันธ์แบบเอื้อผลประโยชน์ต่อกัน?” หลังจากเห็นประโยคสุดท้าย ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกตัว ก็ถูก พวกเขามีความสัมพันธ์แบบเอื้อผลประโยชน์ต่อกันมาตั้งแต่แรก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่เห็นพ้องต้องกัน แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงทำแบบนี้? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆก้าวไปหาฉินเย่อย่างช้าๆ แม้ว่าเธอจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทุกย่างก้าวที่ก้าวเข้าไปหาฉินเย่นั้นดูยากลำบากมาก ในที่สุด เมื่อเธอเคลื่อนไปอยู่ข้างเขา สีหน้าของฉินเย่ก็บึ้งตึงขึ้นมา เขามองไปที่หญิงสาวตรงหน้าและไม
เสิ่นหยินอู้ล้างมือของเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยสีหน้าที่เย็นชา เธอคิดว่าถ้าเธอพบกับเจียงฉูฉู่เพียงลำพัง เธอจะไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ และเธอก็จะไม่คิดถึงเรื่องของเจียงฉูฉู่มากนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอนึกถึงเขากับเจียงฉูฉู่ที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้ เธอก็รู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก ความรู้สึกขยะแขยงเช่นนี้เป็นความรังเกียจที่อยู่ในจิตใจ อากาศค่อนข้างเย็นอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เธอล้างมือไปหลายครั้ง ความอบอุ่นที่มือของเธอก็หายไปอีกครั้ง ทำให้มือของเธอนั้นเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง เสิ่นหยินอู้เช็ดมือของเธอ จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกไปข้างนอก ทันใดนั้นเธอก็หยุด และมองไปที่ฉินเย่ซึ่งกำลังยืนพิงอยู่ที่ประตู เขาพิงอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปที่พื้นพร้อมกับลดสายตาลงเล็กน้อย ทุกส่วนบนใบหน้าของด้านข้างของเขาดูหล่อเหลาจนยากที่จะหาที่ติ และยังสามารถเห็นขนตายาวของเขาได้อีกด้วย เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองดูเธอ สายตาที่ขุ่นมัวของเขามองไปที่มือของเธอ เสิ่นหยินอู้ล้างมือหลายครั้งจนมือของเธอแดง คำเยาะเย้ยแวบขึ้นมาในดวงตาของฉินเย่ จากนั้นริมฝีปากบางของเขา
เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว "เปล่า" แล้วเธอก็ถามอีกครั้งว่า "คุณไปฟังใครพูดมา?" เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็หรี่ตาที่เฉี่ยวคมของเขาลง "เปล่าเหรอ? แล้วทำไมคุณยังสนใจว่าผมฟังใครพูดมาอยู่เลยหละ?" "โอ้" เสิ่นหยินอู้พูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า "อยากรู้จังว่าใครกันที่เป็นคนแพร่ข่าวได้เร็วขนาดนี้ กู้เหยียนซี จี้ชิงเป่ยเหรอ? ถูกต้อง ชิงเป่ยโทรหาฉันแล้วบอกว่าคุณเมา ให้ฉันไปรับคุณ ฉันยังไม่ทันจะปฏิเสธเขาก็วางสายไปแล้ว” ฉินเย่ขมวดคิ้วและมองดูเธอพูดอย่างใจเย็น “เดิมที ฉันอยากให้พ่อบ้านไปรับคุณ แต่มันดึกมากแล้วและพ่อบ้านก็อายุมากแล้ว มันไม่ดีนักที่จะปลุกเขา ฉันคิดว่าในเมื่อเหยียนซีกับชิงเป่ยอยู่ที่นั่นทั้งคู่ พวกเขาจะต้องดูแลคุณได้อยู่แล้ว ดังนั้น ต่อให้คุณจะเมาก็คงไม่เป็นไร” "แล้วไงต่อ?" สิ่งที่เธอพูดฟังดูสมเหตุสมผล และดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติด้วย “หลังจากที่ฉันคิดแบบนั้นแล้วฉันก็ไปนอนไง” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดจบ เธอก็จ้องเขา "แล้วใครบอกคุณว่าฉันออกไปหาคุณ? ฝากไปขอบคุณเขาด้วยแล้วกันที่สร้างภาพดีๆแบบนี้ให้ฉัน" ฉินเย่ "..." เสิ่นหยินอู้ยังคงพูดต่อไป
เสิ่นหยินอู้ก้มลงไปดูข้อมูลที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาหารการกินและการนอนหลับในแต่ละวันล้วนถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจน เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากในโรงพยาบาล จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่พยาบาลจะจดจำพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของทุกคนได้โดยละเอียด ดังนั้นเพื่อให้แยกข้อมูลได้ดีขึ้น โรงพยาบาลจึงบันทึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในคอม เสิ่นหยินอู้มองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ และเธอพบว่ามันแบบที่พยาบาลพูดจริงๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นเล็กน้อยมาก มากจนแทบจะไม่อยู่ในความสนใจของพยาบาลเลยแม้แต่น้อย โดยทั่วไป ข้อมูลจะมีขอบเขตอยู่ หากไม่เกินขอบเขตตามที่ตั้งไว้ ก็ยังถือว่าเป็นปกติอยู่ เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอและรู้สึกหนักใจเล็กน้อย บางทีเธออาจจะคิดมากเกินไป? เธอรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของคุณยายดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ดีนัก “คุณหญิงฉิน ฉันเข้าใจว่าคุณเป็นห่วงคุณนายฉินมาก แต่...อาจเป็นเพราะคุณกังวลมากไปจนทำให้คุณฟุ้งซ่าน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้เถียงเธอ และถึงกับเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ จากนั้นจึงพูดว่า "อืม อาจเป็นเพราะฉันเป็นห่วงจนฟุ้
คุณนายฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ต้องผ่าตัดล่วงหน้าเหรอ?""อืม"หลังจากนั้นคุณนายฉินก็หยุดพูดเสิ่นหยินอู้เฝ้าดูจากด้านข้าง เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "คุณย่าคะ แม้ว่าการผ่าตัดจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วกระบวนการนี้ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ถึงตอนนั้นคุณย่าแค่ต้องนอนพักสักพักก็เท่านั้นเอง เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าอาการป่วยหายดีแล้วค่ะ”ในตอนที่เธอพูด น้ำเสียงของเธอก็ค่อนข้างเร็วและขี้เล่นเล็กน้อยฉินเย่อดไม่ได้ที่จะมองเธอเธอไม่ได้ดูมีจิตใจที่ดีแบบนี้มานานแล้วอาจเป็นเพราะอารมณ์ของเธอที่แสดงออกมาทำให้คุณนายฉินสบายใจยิ่งขึ้น คุณนายฉินจึงหัวเราะอีกครั้ง "หนูนี่รู้วิธีที่ทำให้ฉันมีความสุขสินะ"“เปล่าเลยค่ะคุณย่า ทุกอย่างที่หนูพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าคุณยายไม่เชื่อ พรุ่งนี้ลองไปถามคุณหมอดูได้เลยค่ะ” “โอเคจ้า โอเค ฉันรู้ว่าหนูเป็นห่วง ย่าไม่กลัวหรอก”เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็เป็นเวลาแปดโมงแล้วเดิมทีเสิ่นหยินอู้ต้องการใช้เวลากับคุณยายมากกว่านี้ แต่คุณนายฉินต้องพักผ่อน ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปเมื่อออกจากห้องผู้ป่วย ทั้งสองมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกและเบื่อ
คนขับรถ"......"เจ้านายของเขายังไม่ได้ขึ้นรถเลยคนขับมองไปที่ฉินเย่ซึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่างรถด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และถามด้วยเสียงเบาๆว่า "คุณผู้หญิงครับ คุณผู้ชายเขา... "“เขามีเรื่องต้องทำ ถ้าเขาไม่อยากขึ้นรถก็ไปกันเถอะ”คนขับไม่กล้าพูดต่อ แต่เขาก็ไม่กล้าขับรถออกไปเช่นกัน แม้ว่าฉินเย่จะเป็นเจ้านายของเขา แต่เขาก็เข้าใจว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็คือภรรยาของฉินเย่ คุณผู้ชายของเขามักจะพูดจาไพเราะนุ่มนวลและใจดีมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นเสิ่นหยินอู้ที่เป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่างๆเขาไม่เคยล่วงเกินเธอวินาทีต่อมา จู่ๆประตูรถก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการบอกก่อนล่วงหน้า และฉินเย่ก็ย่อตัวลงและขึ้นมานั่งบ่นรถเสิ่นหยินอู้มองเขาฉินเย่ไขว้ขาแล้วมองคนขับรถตรงหน้าอย่างเย็นชา "ออกรถ"เสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความเยือกเย็น คนขับไม่กล้าจอดอีกต่อไป เขาขับรถออกไปอย่างเร่งรีบในรถเกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้น เดิมทีเสิ่นหยินอู้คิดว่าเขาจะไม่ขึ้นรถอีกเพราะสิ่งที่เธอพูดไว้กับเขา แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขา...แต่เธอกลับขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจ เพราะยังไงเขาก็เป็นคนพูดเอง ถ้าจะตบหน้า ก็เท่ากับว่าเขาตบหน้าตัวเองเป็นเขาเอง
ใช่แล้ว ข้อมูลที่เธอได้รับเปลี่ยนไปจริงๆ นี่แสดงให้เห็นว่าลางสังหรณ์ของเธอนั้นถูกต้องเฉินหยินอู้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หยิบข้อมูลกลับมา แล้วก็พับเก็บไปหลังจากเก็บเสร็จแล้ว เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และพูดกับฉินเย่ "ที่จริงแล้ว ฉันรู้สึกว่าคุณย่ากลัวการผ่าตัด ช่วงบ่ายเมื่อกี้ คุณไม่ควรบอกคุณย่าว่าจะต้องผ่าตัดล่วงหน้าเลย"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็สะดุ้ง"งั้นหรอ?""อืม"เขามองเธอ และเห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เธอพูดในโรงพยายบาลก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องซี้ซั้วเธอบอกว่าที่เธอเป็นห่วงคุณย่าของเขานั้นไม่ใช่เพราะตัวเขาประโยคนี้ไม่ได้พูดด้วยความโกรธและน้อยใจเธอถือคุณย่าของเขาเป็นคุณย่าของเธอจริงๆเมื่อคิดเช่นนั่น ฉินเย่ก็เปิดริมฝีปากของเขาออก แล้วพูดว่า "อืม ผมเข้าใจแล้ว ผมจะปลอบคุณย่าทีหลัง"เนื่องจากปัญหาของคุณย่าถูกหยิบยกขึ้นมา ความสงบสุขระหว่างทั้งสองก็เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่หลังจากหัวข้อเกี่ยวข้องกับคุณย่าจบลง ทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งคนขับที่ขับอยู่ข้างหน้ารู้สึกประหลาดใจอย่างมากตอนที่ขึ้นรถมา บรรยากาศตึงเครียดมากขนาดนั้นแท้
แต่เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง ฉูฉู่ก็คือคนที่เขาชอบ และเขาก็จริงใจกับเธอมากตอนนี้เสิ่นหยินอู้เข้าใจแล้ว แต่จากมุมมองของเธอเอง เธอก็ยังคงไม่เห็นด้วยแต่ไม่มีวิธีที่จะตกลงกัน ยังไงช่วงนี้ก็คงยังต้องแกล้งทำเป็นปกติไปก่อนเสิ่นหยินอู้ออกมาหลังจากอาบน้ำ แล้วก็เห็นฉินเย่นอนอยู่บนโซฟาในห้องนอนเขาอาจจะเหนื่อยจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนหลับตาอยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินเสียง เขาก็ลืมตาขึ้นและมองไปทางเสิ่นหยินอู้เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าหยินอู้กำลังจ้องมองเขาอยู่ ดวงตาของพวกเขาจึงสบกันโดยไม่คาดคิด และเธอก็มองออกไปทางอื่นด้วยความประหม่าในทันทีฉินเย่ไม่สนใจ และถามด้วยน้ำเสียงที่สบายๆว่า"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ?"จากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับอย่างทื่อๆว่า"อืม"“งั้นผมไปอาบน้ำนะ”หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ลุกขึ้นและเข้าไปในห้องน้ำเมื่อเขาออกมาอีกครั้ง มันก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมงฉินเย่เช็ดผมที่เปียกชื้นด้วยผ้าแห้งแล้วเดินออกมา ทันใดนั้น เขาก็หยุดและมองไปที่เสิ่นหยินอู้ซึ่งนอนหลับอยู่ข้างเตียงมีหมอนอยู่ข้างหลังเธอและมีหนังสืออยู่ในมือ โคมไฟเปิดอยู่ และเธอก็ฟุบไปอย่างเงียบๆโดย