ต่อไป เขาย่อมสูญเสียการควบคุมตนเองไปอย่างแน่นอน“เจ้ามีหนทางงั้นหรือ?” ตงฟางหลีหยุดลง พร้อมทั้งร่างกายที่โอนเอนไปมาเล็กน้อย พลางแย้มยิ้มออกมาด้วยความเย็นชาว่า “เจ้าจักไปทำอันใดได้?”“มีเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลางบีบขวดแมนนิทอลในแขนเสื้อของตนเองเอาไว้แน่นขวดแมนนิทอลขวดนี้ เดิมทีมันปรากฏขึ้นมานานแล้ว
ตงฟางหลียังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมเมื่อครู่เขามองอันใดไม่ค่อยชัดแจ้งนัก จึงมิเห็นว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์ทำอันใดกับเขากันแน่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้ก็คือ หลังจากที่รู้เจ็บปวดจากการแทงเข็มลงไปนั้น ร่างกายพลันมีอะไรเย็น ๆ บางอย่างถูกฉีดเข้ามาที่แขนในทันที ไม่นานนักอาการปวดหัวของเขาก็หายไปเสมือนกับคลื่นลมพาย
หากเดินอ้อมจากทางด้านหลังภูเขาเทียมออกมาจักพบเห็นทางเล็ก ๆ สายหนึ่ง ที่สองข้างทางขนาบข้างไปด้วยดอกเหมย ในยามนี้ นับว่าถึงช่วงที่ดอกเหมยกำลังเบ่งบานออกมาพอดี ดอกเหมยสีขาวสีแดงมากมายที่พากันร่วงโรยตกลงบนพื้นหิมะด้านหลัง ราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่บนก้อนเมฆก็ไม่ปาน ช่างงดงามยิ่งนัก ฉินเหยี่ยนเย่ว
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร?” ตงฟางอิงพลันเชิดหน้าขึ้นในทันที พลางหันหน้ามาอีกฝั่งหนึ่ง ทว่า สายตายังคงเหลือบมองไปยังขนมที่อยู่ในมือของฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่มีหยุด“หากเจ้าไม่กิน เช่นนั้นข้าจักกินมันแทนนะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดจบ พลางอ้าปากกว้างกำลังจะนำขนมเข้าปาก “อย่า” ตงฟางอิงพลันส่งเสียงร้องห้าม “ช่า
ตงฟางหลีพลันหลุบสายตาลง เพื่อปกปิดนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาเอาไว้ ก่อนจะกดเสียงต่ำกระซิบกล่าวเตือนว่า “อีกครู่หนึ่ง เจ้าควรคิดให้รอบคอบเสียก่อนคิดจะเอ่ยสิ่งใดออกมา”กองเพลิงในครานี้ นับว่าเผาไหม้รุนแรงยิ่งนัด หากเอ่ยปิดพลาดแม้เพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้พวกนางถูกเพลิงเผาไหม้จนเละเป็นจุลณก็ว่าได้
“หากว่ามิมีผู้ใดเข้าไปใกล้ตำหนักจริง ๆ แล้วนั้น เช่นนั้นแล้วองค์หญิงเย่ว์ลู่เข้าไปในตำหนักเยว่ชูได้อย่างไรกัน?” ตงฟางหลีพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “เกรงว่านางคงจะจงใจหลีกเลี่ยงขันทีและนางกำนัลสาวใช้เข้าไปเป็นแน่”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?” ท่านอ๋องหลูหยางเอ่ยถาม“เมื่อครู่กระหม่อมได้เข้าไปด
ทว่า หากเป็นกลิ่นที่ติดตัวจริง ๆ ย่อมต้องติดตัวไปตลอดหรือค่อยๆ จางหายไป แทนที่จะส่งกลิ่นออกมาเป็นระยะๆ เช่นนี้เว้นแต่ว่า......ฉินเหยี่ยนเย่ว์คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาในทันทีเมื่อมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวนั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันขมวดคิ้วพร้อมทั้งหัวใจที่เต้นรัวออกมาไม่หยุด นับว่าเป็นการ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงอนุญาตให้นางดูด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องหลูหยางที่มีท่าทีร้อนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น เมื่อรู้ว่าหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเองอาจจะยังมีชีวิตอยู่ บุรุษชายชาตรีที่ร่างกายกำยำพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไปในทันที “หากว่าเป็นเสมือนกับแมวตาบอดเจอหนูตายเล่า?” มุมปากของฉินเหย