บ่าวหญิงแซ่จูตอบกลับอย่างยินดี “ช่วงหลังมานี้บ่าวเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาเจ้าค่ะ“ฮูหยินวางใจได้เลย ขอแค่ข้ามีโอกาสลงมือ ข้าจะต้องฆ่านังเฟิ่งชูอิ่งนั่นแน่นอน”ฮว๋าซื่อรู้สึกรำคาญจึงพยักหน้าเบาๆ “เจ้าออกไปก่อนเถอะ!”หลังบ่าวหญิงแซ่จูออกไป หลินหว่านถิงก็เดินสวนเข้ามา นางกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าเฟิ่งชูอิ่งทำเครื่องประดับศีรษะทับทิมชุดนั้นหายไปแล้ว?”ฮว๋าซื่อยังไม่ทันจะได้ตอบ นางก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห “นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้าดีอย่างไรถึงทำแบบนั้น?”พวกเขาลืมสิ้นหมดแล้วว่าทุกวันนี้พวกเขาอยู่ดีมีสุขได้ เป็นเพราะอาศัยสมบัติจำนวนมหาศาลที่เฟิ่งชูอิ่งขนติดตัวมาด้วยในยามนั้นพวกเขาหลงลืมไปหมดแล้วว่าสมบัติเหล่านั้นของเฟิ่งชูอิ่ง อย่าว่าแต่เครื่องประดับศีรษะทับทิมชุดเดียวเลย ต่อให้เป็นเครื่องประดับร้อยชุดก็ยังเทียบกันไม่ติด พวกเขาคิดเพียงแค่ว่า สมบัติทั้งหมดที่เฟิ่งชูอิ่งขนมาล้วนเป็นทรัพย์สินของพวกเขามันคงจะดีมากหากการตายของเฟิ่งชูอิ่งสามารถสร้างประโยชน์ให้จวนสกุลหลินได้ พวกเขาจะเหยียบย่ำศพของนางเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิมฮว๋าซื่อในยามนี้สงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางจึ
ก่อนหน้านี้นางตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ทราบดีว่าป้ายหยกชิ้นนี้พิเศษนิดหน่อย เพราะเป็นหยกบำรุงวิญญาณที่หาได้ยากยิ่งเพราะป้ายหยกชิ้นนี้แหละ นางจึงคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของบิดาร่างเดิมได้ เพียงแต่ในความทรงจำของร่างเดิม บิดาของนางเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งนางชอบป้ายหยกชิ้นนี้มาก ดังนั้นวันที่ต้องเข้าวังถึงได้หยิบติดมือไปแล้วผูกไว้ที่เอวตอนนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็อยู่ด้วย แล้วยังมีนักพรตของสำนักโหรหลวงที่บุกเข้ามาในกรมราชทัณฑ์อีก นางจึงไม่รู้เลยว่าเฉี่ยวหลิงเข้ามาสิงในป้ายหยกของนางตอนไหนเฟิ่งชูอิ่งกล่าวยิ้มแย้ม “นี่เป็นทางที่เจ้าเลือกเอง ข้าไม่ซักไซ้หรอก“เพียงแต่เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย เจ้าออกจากกรมราชทัณฑ์ได้แล้วก็ถือว่าเป็นอิสระ เจ้าไปท่องเที่ยวทั่วพิภพเสียเถอะ!”เฉี่ยวหลิงส่ายหน้า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็คงจะออกจากกรมราชทัณฑ์ไม่ได้ ข้าคิดว่าจะอยู่รับใช้ตอบแทนบุญคุณเจ้าสักพัก”เฟิ่งชูอิ่งโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอก เจ้ามารับใช้ข้าแบบนี้ มันแตกต่างจากการไปเกิดใหม่เป็นข้ารับใช้คนอื่นตรงไหนล่ะ?”เฉี่ยวหลิงได้ยินนางพูดแบบนั้นก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนโต้กลับว่า “มันไม่เหมือนกันนะ! ก่อนหน้านี้ข้ารับใช้คนอ
บิดามารดาของเฟิ่งชูอิ่งจากไปตั้งแต่นางยังเด็ก หลุมศพของพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ตอนที่ร่างเดิมย้ายเข้ามาอยู่เมืองหลวงใหม่ๆ ก็นำป้ายวิญญาณของทั้งสองไปไว้ในอารามดังนั้นหากตอนนี้นางต้องบอกข่าวเรื่องงานแต่งให้บิดามารดาทราบ ก็ต้องเดินทางไปจุดธูปที่อารามเฟิ่งชูอิ่งพยักหน้ารับปาก ฮว๋าซื่อจึงช่วยนางจัดแจงเรื่องของจำเป็นในพิธีกราบไหว้ให้ยามปกติฮว๋าซื่อขี้เหนียวกับนางจะตายไป ทว่าครั้งนี้กลับจัดเตรียมของทำพิธีเซ่นไหว้ให้นางอย่างครบครันฮว๋าซื่อกล่าวกับนางด้วยท่าทางเป็นมิตร “ถึงเจ้าจะไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า แต่ในใจของข้าก็มองเจ้าเป็นดั่งบุตรสาวในอุทรเสมอมา“เพียงแต่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ค่อยจะได้ความนัก เรื่องอะไรก็ทำออกมาแย่ไปเสียหมด ข้าก็เลยอดที่จะกังวลไม่ได้“พอข้าร้อนใจขึ้นมาก็เลยพูดจาไม่น่าฟังไปหน่อย แต่ใจจริงข้าหวังดีต่อเจ้ามากนะ”หลังจากฮว๋าซื่อหายป่วยจากการถูกสาวใช้คนนั้นแทงจนบาดเจ็บ นางก็พักรักษาตัวจนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ เฟิ่งชูอิ่งค่อนข้างจะนับถือฮว๋าซื่อที่สามารถพูดจาโกหกได้หน้าตาเฉยเช่นนี้ แล้วยังอ้างเหตุผลที่ฟังขึ้นเสียด้วย มิน่าเล่าร่างเดิมถึงได้ถูกพวกเขารังแกซ้ำๆ จนตายนา
มุมปากของนางยกสูงขึ้นเล็กน้อย คิ้วเรียวเลิกสูงเบาๆหลังจากเฟิ่งชูอิ่งสับเปลี่ยนของที่เป็นตัวแทนในคืนนั้น ฮวงจุ้ยของจวนสกุลหลินก็เปลี่ยนแปลงไปก่อนหน้านี้หลินชูเจิ้งสูบโชคชะตาจากร่างเดิม ส่งผลให้ช่วงหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขราบรื่นตอนนี้อาจจะยังไม่ชัดเจนมาก แต่พอผ่านไปอีกสักพักจวนสกุลหลินจะต้องเกิดเรื่องซวยขึ้นแน่ตอนที่นางคิดจะเดินไปขึ้นรถม้า กลับถูกฮว๋าซื่อใช้ข้ออ้างบอกว่ามิค่อยสบายนัก ไล่นางไปนั่งรถม้าคันข้างหลังแทนเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร นางเดินไปที่รถม้าคันข้างหลัง ตอนที่ก้าวขึ้นรถม้านางก็ลอบมองสารถีแวบหนึ่ง เยี่ยมมาก สารถีคือสามีของบ่าวหญิงแซ่จูนางเดินอ้อมไปที่รถม้าคันข้างหน้าแล้วบอกกับฮว๋าซื่อว่า “ท่านป้า พวกเรานั่งรถม้าคันเดียวกันเถอะ ข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับท่านเยอะแยะเลย”ฮว๋าซื่อไม่อยากคุยกับนางแม้แต่น้อย จึงตอบว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ไม่อยากพูดคุยกับใคร”เฟิ่งชูอิ่งจึงแสร้งทำหน้าเสียดาย ยกมือลูบม้าเทียมรถของฮว๋าซื่อเบาๆ กล่าวว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ!”นางกล่าวจบก็เดินกลับมาที่รถม้าของตัวเอง ขยับเข้าไปใกล้สารถีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเชื่อเรื่องดวงไหม?”สารถี
เหมยเซียงไม่เคยขับรถม้ามาก่อน จึงตอบอย่างร้อนรน “ฮูหยิน บ่าวทำไม่ได้เจ้าค่ะ!”ฮว๋าซื่อตวาดลั่น “ปกติเจ้าก็เคยเห็นรถม้าขึ้นรถม้าออกบ่อย ดูมานานขนาดนั้นทำไมถึงทำอะไรไม่เป็นบ้างเลย เจ้าออกแรงดึงสายบังเหียนไว้ก็พอ!”เหมยเซียงรวบรวมความกล้าคว้าสายบังเหียนมาถือไว้ แต่ถึงนางจะเป็นสาวใช้ ก็เป็นสาวใช้ข้างกายของฮว๋าซื่อ ไม่เคยต้องทำงานหนักๆ มาก่อนเลย จะไปมีแรงควบคุมม้าที่กำลังคลั่งได้อย่างไร?นางร้องห่มร้องไห้ว่า “ฮูหยิน ดึงไม่ไหวเจ้าค่ะ ทำอย่างไรดี?”ฮว๋าซื่อตระหนักดีว่าม้าตื่นเช่นนี้อันตรายขนาดไหน ยามนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจฐานะ จึงเข้าไปช่วยดึงสายบังเหียนม้าอีกแรงทว่ามันสายเกินไปแล้วม้าที่กำลังตื่นตระหนกวิ่งพล่านไม่เลือกเส้นทาง มันพุ่งตรงไปข้างหน้าซึ่งเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งเพราะวิ่งมาเร็วมาก ยามที่ตกลงน้ำจึงมีแรงต้านมหาศาล ฮว๋าซื่อไม่ทันตั้งตัวจึงถูกลากลงไปในน้ำพร้อมรถพริบตาที่นางตกลงไปในน้ำ ศีรษะของฮว๋าซื่อหล่นกระแทกผิวน้ำเป็นอย่างแรก แรงปะทะทำให้นางสลบไปทันทีสารถีแซ่หลิวไม่ทันสังเกตเห็นว่าสารถีของรถม้าคันหน้าถูกม้าเตะสลบอยู่ข้างพงหญ้า เขาเห็นแค่รถม้าคันหน้าพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าจึงเต
นางคิดว่าพวกเขาช่างจำเจกันเหลือเกิน ก่อนหน้านี้หลินหว่านถิงก็กล่อมให้นางหนีตามเฉินเยี่ยนเซิง หวังจะใช้แผนการพรากความบริสุทธิ์นางแล้วค่อยฆ่าทิ้งเหมือนกันนางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าชอบเส้นทางที่แหกปากตะโกนก็ไม่มีใครได้ยินที่สุดเลย”นางกล่าวจบก็เอ่ยด้วยความรังเกียจว่า “พวกเจ้านี่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์บ้างเลย”เดิมที่สารถีแซ่หลิวรู้สึกพึงพอใจท่าทางหวาดกลัวจนมือไม้สั่นของนางอย่างยิ่ง เขารู้สึกเหมือนได้เติมเต็มความวิปริตในจิตใจ ทว่าตอนนี้นางกลับสงบนิ่งผิดปกติ ความพึงพอใจที่จะได้แก้แค้นของเขาจึงลดฮวบไปด้วยเขาเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่หวาดกลัวหรือไง?”เฟิ่งชูอิ่งยกมือกอดอก กล่าวด้วยท่าทางเสแสร้งสุดฤทธิ์ “ไอ้หยา ข้ากลัวจังเลย!”สารถีแซ่หลิว “......”นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย “นังเด็กสมควรตาย ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ สินะ!“ทุกคนเข้ามาพร้อมกันเลย ใครผลักนางล้มได้ก่อนก็เป็นคนแรกที่ได้นอนกับนาง!”ชายฉกรรจ์เหล่านั้นได้ยินที่สารถีแซ่หลิวพูดก็พากันดีใจ พากันพ่นวาจาสัปดนสารพัด ขณะพุ่งตัวเข้าไปหาเฟิ่งชูอิ่งราวกับหมาป่าตะครุบเหยื่อเฟิ่งชูอิ่งยกมือขึ้นสร้างมุทรา ก่อนจะประทับตราใส่ชายฉกรรจ์ที
สารถีแซ่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็กลัวจนตัวสั่น ละลักละล่ำเอ่ยว่า “มิกล้า มิกล้า!”เฟิ่งชูอิ่งกลับยิ้มหวานบอกว่า “คราวนี้เจ้าต้องกล้า”สารถีแซ่หลิว “......”เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของเฟิ่งชูอิ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่เฟิ่งชูอิ่งหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาแปะกลางหน้าผากของเขา เพียงพริบตาเดียวสมองของเขาก็ขาวโพลน ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเหมือนคนโง่งมเฟิ่งชูอิ่งพอใจประสิทธิภาพของยันต์แผ่นนี้มากเลยหลังจากนางมาที่โลกใบนี้ ยังแอบกังวลอยู่เลยว่าร่างกายนี้จะไม่สามารถเขียนยันต์ได้หลังจากทดลองดูแล้วถึงได้ทราบว่า ถึงร่างกายนี้จะไม่เคยฝึกฝนวิชาเต๋ามาก่อน แต่ร่างกายนี้กลับเหมาะสมกับการร่ำเรียนวิชาเต๋ามากประกอบกับก่อนนางจะทะลุมิติมาเป็นถึงอัจฉริยะที่พันปีจะปรากฏขึ้นสักครั้ง วิชาเต๋าทุกอย่างเพียงร่ำเรียนครั้งเดียวก็เชี่ยวชาญแล้ว แล้วยังคุ้นเคยกับพลังภายในทุกรูปแบบด้วยหลังจากนางทะลุมิติมาที่นี่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจึงไม่ยากเย็นอะไร เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของนางอ่อนแอไปหน่อย ยังไม่สามารถใช้วิชาอะไรมากมายได้อย่างเดียวที่นางประหลาดใจมากคือร่างกายนี้บริสุทธิ์ผุด
เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางรู้ดีว่าเรื่องพวกนี้เขากล้าทำอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ เพราะเขามันเป็นคนบ้าแบบสมบูรณ์แบบเลยนางรีบกล่าว “ท่านอ๋อง ไม่เห็นจะต้องดุกันขนาดนี้เลย มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถอะ!”จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจนาง ยามที่กระบี่ในมือของเขาหลุดออกจากฝักก็บังเกิดเสียงเคร้ง เคร้ง ราวกับกำลังเชือดเฉือนหัวใจของเฟิ่งชูอิ่งเฟิ่งชูอิ่งรีบร้อนเอ่ยว่า “อันที่จริงข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาโดยตลอด ทำไมท่านอ๋องจะต้องยืนยันให้ได้ล่ะว่าข้าเป็นคนสำนักลี้ลับหรือไม่”จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองนางแวบหนึ่ง “เพราะหากเจ้าเป็นคนของสำลักลี้ลับ ก็หมายความว่าชีวิตเจ้ายังมีค่าอยู่“แต่หากเจ้าไม่ใช่คนของสำนักลี้ลับ ตอนนี้ก็เตรียมตัวตายได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งฟังแล้วปวดหัว “แต่ข้าไม่ใช่คนของสำนักลี้ลับจริงๆ ข้าเป็นคนของลัทธิเต๋าแทนได้ไหมล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ย “......”ทั้งสองอย่างนี้มันแตกต่างกันด้วยหรือ?เขาเชิดหน้ามองนาง “เจ้าจงตอบคำถามข้าด้วยความสัจจริง หากมีคำโกหกแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าทันที”เฟิ่งชูอิ่งชูมือสองข้าง “ได้ ท่านอ๋องถามมาเถอะ”จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ยันต์พวกนี้เจ้าร่ำเรียนมาจากใคร?”เฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจเ