สารถีแซ่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็กลัวจนตัวสั่น ละลักละล่ำเอ่ยว่า “มิกล้า มิกล้า!”เฟิ่งชูอิ่งกลับยิ้มหวานบอกว่า “คราวนี้เจ้าต้องกล้า”สารถีแซ่หลิว “......”เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของเฟิ่งชูอิ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่เฟิ่งชูอิ่งหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาแปะกลางหน้าผากของเขา เพียงพริบตาเดียวสมองของเขาก็ขาวโพลน ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเหมือนคนโง่งมเฟิ่งชูอิ่งพอใจประสิทธิภาพของยันต์แผ่นนี้มากเลยหลังจากนางมาที่โลกใบนี้ ยังแอบกังวลอยู่เลยว่าร่างกายนี้จะไม่สามารถเขียนยันต์ได้หลังจากทดลองดูแล้วถึงได้ทราบว่า ถึงร่างกายนี้จะไม่เคยฝึกฝนวิชาเต๋ามาก่อน แต่ร่างกายนี้กลับเหมาะสมกับการร่ำเรียนวิชาเต๋ามากประกอบกับก่อนนางจะทะลุมิติมาเป็นถึงอัจฉริยะที่พันปีจะปรากฏขึ้นสักครั้ง วิชาเต๋าทุกอย่างเพียงร่ำเรียนครั้งเดียวก็เชี่ยวชาญแล้ว แล้วยังคุ้นเคยกับพลังภายในทุกรูปแบบด้วยหลังจากนางทะลุมิติมาที่นี่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งจึงไม่ยากเย็นอะไร เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของนางอ่อนแอไปหน่อย ยังไม่สามารถใช้วิชาอะไรมากมายได้อย่างเดียวที่นางประหลาดใจมากคือร่างกายนี้บริสุทธิ์ผุด
เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางรู้ดีว่าเรื่องพวกนี้เขากล้าทำอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ เพราะเขามันเป็นคนบ้าแบบสมบูรณ์แบบเลยนางรีบกล่าว “ท่านอ๋อง ไม่เห็นจะต้องดุกันขนาดนี้เลย มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถอะ!”จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจนาง ยามที่กระบี่ในมือของเขาหลุดออกจากฝักก็บังเกิดเสียงเคร้ง เคร้ง ราวกับกำลังเชือดเฉือนหัวใจของเฟิ่งชูอิ่งเฟิ่งชูอิ่งรีบร้อนเอ่ยว่า “อันที่จริงข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาโดยตลอด ทำไมท่านอ๋องจะต้องยืนยันให้ได้ล่ะว่าข้าเป็นคนสำนักลี้ลับหรือไม่”จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองนางแวบหนึ่ง “เพราะหากเจ้าเป็นคนของสำลักลี้ลับ ก็หมายความว่าชีวิตเจ้ายังมีค่าอยู่“แต่หากเจ้าไม่ใช่คนของสำนักลี้ลับ ตอนนี้ก็เตรียมตัวตายได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งฟังแล้วปวดหัว “แต่ข้าไม่ใช่คนของสำนักลี้ลับจริงๆ ข้าเป็นคนของลัทธิเต๋าแทนได้ไหมล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ย “......”ทั้งสองอย่างนี้มันแตกต่างกันด้วยหรือ?เขาเชิดหน้ามองนาง “เจ้าจงตอบคำถามข้าด้วยความสัจจริง หากมีคำโกหกแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าทันที”เฟิ่งชูอิ่งชูมือสองข้าง “ได้ ท่านอ๋องถามมาเถอะ”จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ยันต์พวกนี้เจ้าร่ำเรียนมาจากใคร?”เฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจเ
เขาจะฆ่านางดี? หรือว่าไม่ฆ่านางดีล่ะ?ด้วยนิสัยของเขา หากถูกคนโกหกซ้ำๆ เช่นนี้ เขาจะต้องใช้จัดการทิ้งในพริบตาเดียวแน่นอนแต่นางเป็นคนที่เชี่ยวชาญวิชาสำนักลี้ลับมากที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอในปัจจุบัน มีโอกาสแก้คำสาปของเขาได้มากที่สุด เฟิ่งชูอิ่งเห็นนัยน์ตาของเขาสีเข้มขึ้น จิตสังหารที่ปรากฏเริ่มเลือนหายไป ทว่าพริบตาถัดมาก็โผล่มาอีกครั้งเขาช่างยุ่งเหยิงเสียจริงๆ!แล้วก็น่ากลัวมากด้วย!ทว่าตอนนั้นเอง นกฝูงหนึ่งก็บินผ่านศีรษะของพวกเขาไปสีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นบังศีรษะตัวเองเฟิ่งชูอิ่งมองเห็นนกตัวหนึ่งในฝูงขยับก้นของมันเล็กน้อย จากนั้นวัตถุบางอย่างก็ตกลงมาจากท้องฟ้า หล่นแหมะลงบนศีรษะของจิ่งโม่เยี่ยอย่างแม่นยำกระบี่ที่เขายกขึ้นขวางเหนือศีรษะช่วยป้องกันวัตถุปริศนาที่หล่นลงมาได้พอดีตอนที่เฟิ่งชูอิ่งเห็นสิ่งที่แปะอยู่บนกระบี่ของจิ่งโม่เยี่ยชัดๆ มุมปากของนางก็กระตุกยิกๆ โชคชะตาเขาถูกสูบจนหมดสิ้นแล้ว!จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองมาทางนาง นางจึงรีบซ่อนรอยยิ้มมุมปากของตัวเองทันที แล้วยังสบถด่าอีกว่า “เจ้านกบ้านี่ตาบอดหรืออย่างไร!”ทว่าในใจนางกลับบอกว่า ‘เจ้านกน้อยสุ
“แล้วท่านอ๋องยังระวังตัวขนาดนี้อีก แปลว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องดวงซวยธรรมดา น่าจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น”นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ส่งยิ้มให้เขา “ท่านอ๋อง ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”จิ่งโม่เยี่ยมองสบตานาง “เจ้าคาดเดาเก่งแบบนี้ อยากจะลองเดาดูไหมว่าตัวเองจะตายอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะคิกคัก “ข้าเฉลียวฉลาดขนาดนี้ ท่านอ๋องจะตัดใจสังหารข้าลงจริงๆ หรือ?“ข้าไม่ได้โม้นะ บนโลกใบนี้นอกจากข้าแล้ว อาจจะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือท่านอ๋องได้อีกแล้ว”ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยนอนกอดนางแล้วหลับไป นางก็เริ่มคิดถึงต้นสายปลายเหตุแล้วในเมื่อเขาไม่สนใจเรือนร่างของนางอย่างชัดเจน แต่ก็ยังจะนอนกอดนางให้ได้ ก่อนหน้านี้นางยังไม่เข้าใจนัก แต่ยามนี้นางกระจ่างแจ้งแล้วจะต้องเป็นเพราะคาถาสงบจิตของนางใช้ได้ผลกับเขาอย่างแน่นอนเมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าตัวเองยังมีค่ากับเขาอยู่ ถึงได้กลัวเขาจะเป็นบ้าลุกขึ้นมาเอาดาบฟันนางแต่หลังจากนางทราบความสำคัญของตัวเอง นางก็รู้สึกเหมือนได้สลัดคราบของบ่าวรับใช้ทิ้งไปในพริบตา และไม่รู้สึกหวาดกลัวเขาอีกต่อไปจิ่งโม่เยี่ยคล้ายจะมองความคิดของนางออก นัยน์ตาดอกท้อจึงโค้งลงเล็กน้อย “ข้าคิดเสมอมาว่าการ
ก่อนเฟิ่งชูอิ่งจะทะลุมิติมา น้องสาวของนางเคยบอกว่าจิ่งโม่เยี่ยทำตัวเป็นศัตรูกับพระเอก เพราะว่าเขาหลงรักนางเอกของเรื่อง ก็เลยเป็นบ้าอาละวาดเพราะนางเอกจิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งชอบพูดจาไร้สาระเป็นเรื่องปกติ จึงคิดว่าคำพูดที่ออกจากปากของนางไม่ควรเก็บมาใส่ใจ นางก็แค่พยายามประจบเอาใจเขาเท่านั้นสำหรับเขาแล้ว สตรีที่สามารถทำให้เขาจดจำได้ นอกจากมารดาของเขาแล้ว ก็มีแต่นางนี่แหละคนในดวงใจอะไรนั่น มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วเขาจับประเด็นสำคัญได้หนึ่งอย่าง “แกล้งตาย?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “ใช่เพคะ อย่างไรเสียว่าที่พระชายาของท่านอ๋องก็ตายไปตั้งเยอะแล้ว เพิ่มข้าอีกสักคนจะเป็นไรไป“หลังจากข้าแกล้งตายและออกจากเมืองหลวงแล้ว จะต้องอยู่ให้ห่างจากท่านอ๋องที่สุด หลังจากนี้ไปจะไม่โผล่มาให้เห็นหน้าหรือทำให้อารมณ์ของท่านอ๋องขุ่นมัว”สีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดใดทั้งนั้น เขาถามว่า “เจ้าตั้งใจจะแกล้งตายแล้วหนีออกจากเมืองตอนไหนล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ท่านลุงของข้าฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังเป็นเด็กไม่รู้ความ ฮุบสมบัติที่บิดามารดาของข้าทิ้งไว้ให้ไปหมดเลย“หลังจากข้าทวงสมบัติทั้งหมดของข้าคืนจากจวนสกุลหลินได
นางเหลือบไปเห็นเนินดินที่มีร่องรอยถูกขุด เมื่อกี้นี้ยังไม่มีรอยพวกนี้เลยนะก่อนหน้านี้นางแค่เดินไปล้างกระบี่ที่ลำธารใกล้ๆ มันใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เองแล้วนางยังไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอะไรเลย คนของจิ่งโม่เยี่ยกลับขุดหลุมฝังพวกชายฉกรรจ์หมดแล้ว?ที่สำคัญ นางแทบไม่รู้ไม่เห็นเลยว่าคนของจิ่งโม่เยี่ยลงมือตอนไหน!จิ่งโม่เยี่ยเห็นสายตาตื่นตระหนกของนางจึงแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ “ทำไมล่ะ? เจ้าเองก็อยากลองถูกฝังทั้งเป็นดูบ้างหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งส่ายหน้ารัวๆ “ขอบพระทัย แต่ไม่อยากลองเพคะ!”หากคนอื่นเป็นคนพูดก็คงคิดว่าแค่หยอกเย้านางเล่นเท่านั้น แต่หากเขาเป็นคนพูดต้องทำจริงแน่!จิ่งโม่เยี่ยใช้หางตาเหลือบมองนางแล้วกล่าวว่า “ไม่อยากลองก็ตามมา”เฟิ่งชูอิ่งรีบกอดกระบี่แล้ววิ่งตามเขาไปอย่างว่องไว นางไม่อยากถูกฝังทั้งเป็นอยู่ที่นี่หรอกตอนที่นางเดินผ่านสารถีแซ่หลิว ก็ขยับมือสร้างมุทราคราหนึ่ง เขาก็หยุดยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับคนเหม่อลอยทันทีจิ่งโม่เยี่ยเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจสาเหตุที่เขากลบฝังพวกชายฉกรรจ์ทั้งหมดนั่นทั้งเป็น เพราะว่าเขารังเกียจเดียดฉันท์การกระทำต่ำช
นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ระแวดระวังทันที “ยันต์ที่ข้าใช้กับชายฉกรรจ์พวกนั้นเป็นยันต์ตรึงกายา แต่ยันต์ที่ท่านอ๋องใช้กับเจ้าอาวาสเป็นยันต์อสนีบาตเพคะ”ตอนนี้นางรู้สึกดีใจอยู่อย่างหนึ่ง ถึงแม้ร่างกายนี้จะเหมาะสมกับการเรียนวิชาเต๋ามาก แต่อย่างไรเสียก็ยังมีเวลาเรียนจำกัดอยู่ นางจึงยังเขียนยันต์ปัญจอสนีไม่ได้ เขียนได้เพียงยันต์อสนีบาตธรรมดาหากเมื่อครู่นี้เจ้าอาวาสโดนแปะยันต์ปัญจอสนี เกรงว่าเขาจะถูกสายฟ้าฟาดจนกลับไปยังปรโลกแล้วจิ่งโม่เยี่ยยื่นมือไปประคองเจ้าอาวาสแล้วถามนาง “ทำไมเจ้าถึงเอายันต์อสนีบาตให้ข้าล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบด้วยใบหน้าใสซื่อ “ท่านอ๋องบอกให้ข้าส่งยันต์ให้หนึ่งแผ่น ไม่ได้เจาะจงนี่เพคะว่าเป็นยันต์อะไร“ข้าก็เลยล้วงหยิบแบบส่งเดช ยันต์อสนีบาตดันอยู่บนสุด ข้าก็เลยส่งยันต์แผ่นนั้นให้ท่านอ๋องไป“ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าท่านอ๋องจะเอาไปใช้แปะศีรษะของเจ้าอาวาสเช่นนั้น!”จิ่งโม่เยี่ยถลึงตาโตจ้องมองเฟิ่งชูอิ่ง นางก็เลยถลึงตาโตจ้องเขากลับไปเจ้าอาวาสถูกฟ้าผ่าจนสติสัมปชัญญะหลุดลอย หลังได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองก็รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาจับใจ ตัวเองไม่เกี่ยวข้องอะไรแท้ๆ ดันต้องรับกรรมเสียอย
ยันต์ที่เฟิ่งชูอิ่งเขียนออกมา จะต้องเป็นยันต์ระดับสูงสุดที่เขาเคยพบเจอมาแน่ๆเขาจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งตาค้าง ถามนางว่า “ยันต์ใบนี้ยกให้ข้าได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนนางถูกเขาเอาทรัพย์สินเงินทองส่วนหนึ่งไป จึงถามกลับว่า “เจ้ายินดีจ่ายเงินซื้อไหม?”เจ้าอาวาส “......”ดวงตากลมโตประสานกับดวงตาเรียวเล็กเจ้าอาวาสถาม “เจ้าคิดเงินเท่าไหร่?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “หนึ่งร้อยตำลึงคงไม่มากไปสินะ?”เจ้าอาวาสรีบหันไปสั่งพระที่อยู่ด้านหลัง “ไปหยิบเงินมาหนึ่งพันตำลึง”หลังจากนำเงินมาแล้วก็กล่าวกับเฟิ่งชูอิ่งอย่างยิ้มแย้ม “หนึ่งพันตำลึงเงิน เจ้าช่วยเขียนยันต์ให้ข้าอีกเก้าแผ่นได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาใช้เท้าเตะเจ้าอาวาสหนึ่งที “ข้ามาหาเจ้าเพื่อให้ช่วยกันหาทางแก้คำสาป ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาซื้อขายยันต์กัน”เจ้าอาวาสรีบเอ่ยว่า “เรื่องคำสาปเดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ข้าจะซื้อยันต์ก่อน เจ้าไม่รู้หรอกว่ายันต์พวกนี้มันหายากขนาดไหน!”เขาก็เขียนยันต์ได้เหมือนกัน แต่โอกาสสำเร็จมีไม่มากนัก อีกอย่างเขาก็ถนัดพวกยันต์คุ้มครองด้วยยันต์ที่ใช้โจมตีแบบนี้เป็นของที่หายากมาก ยันต์ป