สารถีคนนั้นไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในรถม้า เขาจึงยิ้มแล้วบอกกับหลินชูเจิ้งว่า “ครั้งนี้ฮูหยินของท่านสร้างผลงานใหญ่แล้ว ท่านอ๋องจะต้องมอบรางวัลอย่างงามแน่นอน”หลินชูเจิ้งสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างมาก แต่ก็ยังพยายามฉีกยิ้มกล่าว “ขอบพระทัยท่านอ๋องแล้ว!“ขอบคุณที่ท่านเสียสละเวลามาส่งฮูหยินของข้า มิสู้เข้าไปดื่มชาในจวนสักหน่อยล่ะ?”สารถีส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่รบกวนใต้เท้าหลินดีกว่า ท่านอ๋องยังรอให้ข้ากลับไปรายงานอยู่“รบกวนใต้เท้าหลินประคองฮูหยินของท่านลงจากรถด้วย ข้าจะได้รีบกลับไปรายงานท่านอ๋อง”หลินชูเจิ้งชักจะยิ้มไม่ออกแล้ว แต่เขายังพยายามหาทางรักษาหน้าตาของตัวเองอยู่ “ใช้เวลาไม่นานหรอก“ท่านอ๋องจิตใจดีมีเมตตาต่อข้าทาสบริวาร หากท่านมาถึงจวนของข้าแล้วไม่ได้ดื่มแม้แต่ชาสักถ้วย เดี๋ยวท่านอ๋องจะหาว่าข้าเสียมารยาทได้”สารถีรู้สึกว่าคำพูดของหลินชูเจิ้งก็ฟังดูมีเหตุผล เขาลังเลอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าตกลง ทว่ากลับมีเสียงแปลกๆ ดังมาจากในรถม้าเสียก่อนสารถีเอ่ยถาม “เสียงอะไรน่ะ?”หลินชูเจิ้งรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านหูแว่วแล้ว ไม่มีเสียงอะไรเลย”ทว่าตอนนั้นเอง เสียงกระเส่าก็ดังออกมาจากข้างในอีกครั้ง คราวนี้เสีย
รถม้าจึงถูกลากออกไปพร้อมกับฮว๋าซื่อและสารถีแซ่หลิววิ่งรอบๆ ถนนทั้งสาย เกรงว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยาม คนในเมืองหลวงก็คงทราบกันหมดแล้วว่าฮว๋าซื่อเล่นชู้!ถึงตอนนั้น เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนจริงๆ!หลินชูเจิ้งกล่าวอย่างร้อนรน “รีบหยุดรถม้าเร็วเข้า!”หลังจากเฟิ่งชูอิ่งกระชากผ้าม่านและฟาดก้นม้าไปทีหนึ่งแล้ว นางก็รีบเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางเสียงเอะอะโวยวายที่ดังไปทั่ว เรียกความสนใจจากผู้คนที่สัญจรไปมาให้หันมองเฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยท่าทางมือไม้สั่น “ท่านลุง ข้าหยุดรถม้าไม่ได้ ท่านรีบไปหยุดมันเถอะ!“ท่านป้าอยู่ในสภาพแบบนั้น หากถูกคนอื่นพบเห็นเข้า ศักดิ์ศรีของท่านคงถูกย่ำยีไม่มีเหลือแล้ว!”หลินชูเจิ้ง “......”เขาคิดว่าแค่นี้ตัวเองก็ไม่เหลือหน้าไปพบใครแล้ว!เรื่องนี้หากรู้กันแค่พวกเขาก็ไม่เป็นไร แต่นางเล่นตะโกนเสียงดังเช่นนั้น กลัวว่าเขาจะยังขายหน้าไม่พอหรือไง?ถูกต้อง เฟิ่งชูอิ่งตั้งใจจะทำให้เขาอับอายขายหน้าจนต้องมุดดินหนีเรื่องที่ฮว๋าซื่อคิดจะฆ่านาง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจอภัยได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางคิดจะสั่งคนให้ข่มเหงนางก่อนแล้วค่อยฆ่าทิ้งเรื่องแบบนี้มีเพียงคนที่จิตใจชั่วช้า
เฟิ่งชูอิ่งตอบอย่างละลักละล่ำ “พี่สาวท่านคิดกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้ามีปัญญาทำเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน!”หลินหว่านถิงชี้หน้าด่ากราด “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าหยุดเสแสร้งเลยนะ คนอื่นอาจไม่รู้ว่าสันดานเจ้าเป็นอย่างไร แต่ข้าจะมองไม่ออกได้อย่างไร?“เจ้าทำร้ายท่านแม่ของข้าเช่นนี้ แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อะไรหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งทำตัวลีบ ท่าทางเหมือนคนโดนรังแกและไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ของนาง มองดูแล้วน่าสงสารจับใจนางเอ่ยเสียงสะอื้น “พี่สาว ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ!”ท่าทางอ่อนแอเปราะบางของนาง ดูอย่างไรก็เป็นการเสแสร้งในสายตาของหลินหว่านถิงหลินหว่านถิงจึงยิ่งโกรธหนัก “วันนี้ท่านแม่ของข้าเดินทางไปจุดธูปไหว้พระที่อารามพร้อมกับเจ้า พวกเจ้าสองคนออกเดินทางไปพร้อมกัน แต่ทำไมเจ้าถึงกลับมาอย่างปลอดภัยแค่คนเดียวล่ะ“แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเจ้าเป็นคนทำร้ายแม่ของข้า เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีก!”เฟิ่งชูอิ่งคล้ายหวาดผวาอย่างมาก นางจึงเอ่ยลิ้นพันกันว่า “ไม่ใช่ฝีมือของข้าจริงๆ เจ้าค่ะ!“วันนี้ท่านป้าไม่ได้พาข้าไปที่อารามหรอกเจ้าค่ะ นางทิ้งข้าเอาไว้กลางทาง หลังจากแยกกับท่านป้าแล้วข้าก็ไม่ได้พบนางอีกเลย“หากว่าพี่สาวไม่เชื
“เมื่อก่อนตอนที่ข้าเข้าไปในจวนสกุลหลิน ยังเห็นคุณหนูเฟิ่งกำลังตัดไม้อยู่ในห้องเก็บฟืน ตอนเที่ยงได้กินเพียงหมั่นโถวลูกเดียว”“จวนสกุลหลินจะโหดร้ายเกินไปหน่อยกระมัง ถึงทำเรื่องพรรค์นี้ได้ลงคอ!”“อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่า คานบนไม่ตรงคานล่างย่อมเอียง[footnoteRef:1]” [1: หากพ่อแม่ทำตัวไม่เหมาะสม ลูกก็มักจะเลียนแบบมาด้วย] พวกเขาไม่ได้พูดจนฟังดูน่าเกลียดมากเกินไป เพราะอย่างไรหลินชูเจิ้งก็เป็นถึงรองเจ้ากรมขั้นสามแต่ความหมายในคำพูดของพวกเขากลับชัดเจนชื่อเสียงอันดีงามของหลินหว่านถิงที่ฮว๋าซื่อพยายามสร้างมาหลายปี กลับพังครืนลงมาในครั้งเดียวใบหน้าของหลินหว่านถิงซีดเผือด นางพยายามจะเรียกคะแนนของตัวเองกลับมา “ข้าทำลงไปเพราะวันนี้ท่านแม่กับญาติผู้น้องของข้าออกจากจวนไปพร้อมกัน ขณะที่ท่านแม่ของข้าเกิดเรื่อง นางกลับอยู่รอดปลอดภัย“ด้วยความร้อนใจข้าก็เลยเผลอพูดถ้อยคำที่ไม่ดีออกไป ความจริงแล้วข้ากับน้องสาวพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันมาก“ครอบครัวของข้าต่างก็เอ็นดูน้องสาว ดูแลนางอย่างดีเสมอมา”นางกล่าวจบก็หันไปถลึงตาใส่เฟิ่งชูอิ่ง เฟิ่งชูอิ่งจึงทำตัวลีบแล้วเอ่ยด้วยท่าทางหวาดกลัว “ญาติผู้พี่กล่าวได้ถูกต้อง
เจ้าอาวาสทำท่าน้อยใจ “หากในใจเขาไม่มีเจ้าอยู่เลย จะหาเรื่องเดิมพันจนข้าแพ้ ถูกจิกหัวใช้ให้มาส่งกระดาษกับพู่กันเขียนยันต์ให้เจ้าเช่นนี้หรือ?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย “อาจจะเป็นเพราะเขาอยากใช้ให้ข้าเขียนยันต์ให้เขาก็ได้?”เพราะนางยื่นข้อเสนอจะคลายคำสาปให้เขาแลกกับเงินหนึ่งแสนตำลึง รวมถึงมอบยันต์ให้ตามที่เขาต้องการด้วยนางสงสัยว่าเขาอาจจะเห็นคุณภาพของยันต์ที่นางเขียนขึ้นมา ก็เลยอยากได้ยันต์จากนางไปใช้โดยไม่เสียเงินแต่เขาคิดว่าคุณภาพกระดาษและพู่กันของนางต่ำเกินไป ก็เลยใช้ให้เจ้าอาวาสเอากระดาษยันต์และพู่กันอย่างดีมาให้นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวเจ้าอาวาสได้ยินที่นางกล่าว ก็เริ่มคิดเหมือนกันว่าอาจจะเป็นแบบนั้นเขาจึงเอ่ยด้วยท่าทางลังเล “ไม่หรอกมั้ง!”“ข้ารู้จักท่านอ๋องมาตั้งนานหลายปี ยังไม่เคยเห็นเขาสนใจผู้หญิงคนไหนเท่าเจ้ามาก่อนเลย”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “เพราะว่าเขาไม่เคยพบเจอสตรีคนไหนเก่งกล้าสามารถเท่าข้ามาก่อนน่ะสิ”เจ้าอาวาส “......”เขาถลึงตามองนางทีหนึ่ง นางจึงแบมือยักไหล่ “ข้าพูดผิดตรงไหนล่ะ?”เจ้าอาวาสเอ่ยอย่างท้อใจ “จู่ๆ ข้า
คนเฝ้าประตูเห็นว่านางเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางอารมณ์ดีก็แอบเบ้ปาก เกรงว่านางจะยังไม่รู้กระมังว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับอะไรเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับฮว๋าซื่อเช่นนี้ หลินชูเจิ้งจะต้องระบายความโกรธแค้นกับนางอย่างแน่นอนตอนที่เฟิ่งชูอิ่งเดินไปทางประตูห้อง ก็มีแจกันดอกไม้ใบหนึ่งลอยมาจากด้านใน แจกันใบนั้นตกกระแทกพื้นใกล้เท้าของนาง นางจึงเบี่ยงตัวหลบไปอีกฝั่งผู้ดูแลโจวเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง เห็นนางเดินเข้ามาก็ขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเสียงเย็นว่า “เข้าไปเถอะ นายท่านรออยู่”เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของเขาหมองคล้ำ ดวงตาเว้าลึก ท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนดวงไฟวิญญาณบนไหล่ซ้ายของเขาถูกนางดับไป จนป่านนี้ก็ยังไม่มีไฟติดขึ้นมาวิญญาณร้ายที่ตามติดเขาอยู่ตนนั้น ตอนนี้กำลังค่อยๆ สูบกลืนพลังชีวิตของเขาอยู่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงสิบวันนางรู้ว่าที่ตอนนี้เขายังมีชีวิตรอดอยู่ได้ เป็นเพราะวิญญาณร้ายตนนั้นคิดว่าการปล่อยให้เขาตายมันจะสบายเกินไป เขาควรจะได้รับรู้รสชาติของความทรมานเสียบ้างนางขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วเอ่ยว่า “ผู้ดูแลโจว ดูเหมือนช่วงนี้เจ้าจะไม่ค่อยสุขสบายนักน
เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกจากใจจริงว่าความผิดทั้งหลายแหล่เหล่านี้ โยนให้จิ่งโม่เยี่ยรับผิดชอบไปเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วอย่างที่คิด หลังจากหลินชูเจิ้งได้ยินคำอธิบายของนางก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีนางจึงกล่าวด้วยใบหน้าหวาดกลัว “ท่านลุง สารถีแซ่หลิวคนนั้นคิดจะทำมิดีมิร้ายกับข้า จากนั้นยังลงมือกับท่านป้าอีก เขาช่างชั่วช้าจริงๆ เลย!”หลินชูเจิ้งใช้เหตุผลใคร่ครวญอยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเฟิ่งชูอิ่งจึงกล่าวว่า “ท่านลุง ท่านคิดว่าวันนี้ท่านป้านางรีบร้อนไปไหนหรือเจ้าคะ?“สารถีแซ่หลิวคิดจะทำเรื่องชั่วร้ายกับข้า คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับท่านป้ากระมัง?”หลินชูเจิ้งรีบปฏิเสธทันควัน “เจ้าอย่าพูดจาส่งเดชนะ! ท่านป้าของเจ้าจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร!“เรื่องที่เกิดกับเจ้าในวันนี้ เป็นเพราะความแค้นที่สารถีแซ่หลิวมีต่อเจ้า ไม่เกี่ยวกับท่านป้าของเจ้า”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาคลอเบ้า นางเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “แล้วทำไมเขาถึงอยู่บนรถม้าคันเดียวกับท่านป้าได้ล่ะ? แล้วยังทำเรื่องไม่อายฟ้าไม่อายดินกับท่านป้าต่อหน้าคนตั้งมากมายอีก?”หลินชูเจิ้งหน้ามืดครึ้ม “เจ้าเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ทำไมถึงพูดจาเช่นนี้ได้!”
เฟิ่งชูอิ่งกลับเอ่ยว่า “ท่านลุง เรื่องที่สารถีแซ่หลิวพาคนมาทำมิดีมิร้ายกับข้า ท่านจะต้องสืบหาความจริงให้กระจ่างนะเจ้าคะ“ท่านอ๋องบอกเอาไว้ว่าหากท่านสืบหาความจริงไม่ได้ เขาจะมาสืบเอง”หลินชูเจิ้ง “......”เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วบอกกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “เจ้าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจอยู่แล้ว”หลังได้คำตอบเฟิ่งชูอิ่งถึงได้หมุนตัวเดินกลับออกไปหลินชูเจิ้งมองตามแผ่นหลังของนางแล้วใจหายวาบนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการยัดเยียดนางให้แต่งงานกับอ๋องฉู่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์หลินหว่านถิงกัดฟันเอ่ยว่า “ท่านพ่อ วันนี้นางเป็นคนที่ลงมือทำร้ายท่านแม่อย่างแน่นอน!”หลินชูเจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ “หลักฐานล่ะ?”หลินหว่านถิงพูดไม่ออก หลินชูเจิ้งจึงเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย “พวกเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่านางเป็นคนทำร้ายแม่เจ้า แต่นางกลับมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์”หลินหว่านถิงเอ่ยอย่างเจ็บใจ “ถ้าอย่างนั้นจะปล่อยเอาไว้แบบนี้หรือเจ้าคะ?”หลินชูเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ “แน่นอนว่าไม่จบแค่นี้หรอก”ฮว๋าซื่อสวมหมวกเขียวใบมหึมาให้เขาเช่นนี้ ไม่ว่านางจะถูกคนวางแผนทำร้ายหรือไม่ เขาก็อับอายขา