“แม่ของเจ้าเป็นแค่สาวใช้ข้างห้องข้างตัวแม่เจ้ารองเท่านั้น นางได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมถือว่าอดีตฮ่องเต้ทรงพระเมตตามากแล้ว จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรอีกหรือ?”“ในหมู่องค์ชาย ฐานะของเจ้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุด ถ้าข้าอารมณ์ดีก็เรียกเจ้าว่าน้องแปด แต่ถ้าไม่ เจ้าก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งข้างเจ้ารอง เจ้าคุยใหญ่คุยโตหน้าด้าน ๆ ในราชสำนักได้ตั้งแต่เมื่อไร?”การประลองเพิ่งเริ่ม องค์ชายใหญ่ก็เข้าโหมดต่อสู้แล้ว ต่อหน้าองค์ชายแปดฉินอวิ๋นเซินผู้มีฐานะต้อยต่ำ เขาใช้ถ้อยคำเสียดแทงที่สุด พูดแทงใจดำองค์ชายแปดตรง ๆ“ท่าน ท่าน...”องค์ชายแปดโกรธจนหน้าเขียวปัด เขาในวัยเพียงสิบแปดเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหน เจอกับความใจดำและการหยามเหยียดลบหลู่ของพี่ใหญ่ ทำให้เขาอับอายจนเกิดเป็นโทสะ“น้องแปด!”องค์ชายรองหน้าตึงตบบ่าของฉินอวิ๋นเซิน ก่อนจะพูดปลอบว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ปรับของเขา ถอยไปก่อน”“พี่ใหญ่พูดเกินไปแล้ว ถึงมารดาของน้องแปดจะมีฐานะต่ำต้อย หากเป็นโอรสแท้ ๆ ของเสด็จพ่อ ท่านกลับเปรียบเทียบเขากับสุนัข ขอถาม ท่านที่เป็นองค์ชายเหมือนกันดีไปกว่าสุนัขหรือ?”“ย่อมเป็นเช่นนั้น!”องค์ชายใหญ่ต
ฉินอวิ๋นฟานสองมือกอดอก มองการต่อสู้เข้มข้นระหว่างทั้งสองเงียบ ๆ และมองตรงฉากบังลมในตำหนักใหญ่เป็นระยะเมื่อก่อนเขาเห็นการต่อสู้ในราชสำนักจากหนังสือประวัติศาสตร์และละคร ตอนนี้ได้ประสบกับตัวเอง ทั้งยังไม่เข้าร่วมซะด้วย ได้อรรถรสอีกอย่างหนึ่งจริง ๆ“เพื่อไม่ให้ทุกท่านเสียเวลา ข้าจะเริ่มแต่งกลอนคู่ก่อนแล้วกัน ถ้าใครสามารถต่อให้จบได้ ก็ถือว่าข้าเหลียงคังจวิ้นแพ้ แต่ถ้าต่อไม่ได้ ก็ถือว่าข้าชนะ ไม่ทราบทุกท่านเห็นว่าอย่างไร?”เหลียงคังจวิ้นเดินไปอยู่ตรงกลางตำหนักเลย เปิดฉากการประลองด้านบุ๋นรอบแรก ท้าทายผู้เข้าร่วมแข่งขันโดยตรง!ซ่า...ครั้นสิ้นเสียง สถานที่แห่งนั้นก็อึกทึกครึกโครม เหลียงคังจวิ้นที่ขับกลอนกับผู้คนบ่อย ๆ ไม่เพียงแต่ข่มทับเหล่ายอดฝีมือ ทั้งยังเอาชนะด้วยคะแนนขาดลอย ชื่อเสียงระบือไกล กลอนที่เขาแต่งหากไม่ใช่ผลงานโดดเด่นน่าทึ่งถึงที่สุด ก็เรียกได้ว่าเป็นความยากระดับนรกการที่คนสามารถแต่งกลอนต่อจากเขาได้จะเพียงพอพิสูจน์ภูมิลึกซึ้งและรากฐานหยั่งลึกของเขา น่าเสียดาย ด้านการแต่งกลอนนี้ แทบไม่มีผู้ใดต่อกลอนจากเหลียงคังจวิ้นได้เลย! “นี่เจ้าพูดเองนะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะขอคำชี้แน
“กับอีแค่กลอนกระจอก มีอะไรยากกัน?”ฉินอวิ๋นฟานสีหน้าประหลาดใจ ระดับวรรณกรรมในสมัยโบราณมันแค่นี้เองเหรอะ? ด้วยคลังกลอนโบราณของเขา พอเทียบกับผู้มีการศึกษาที่ว่าเหล่านี้มิใช่ชนะขาดลอยหรือ?“สามหาว!!!”“โอหัง!!!”“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!!!”......คำพูดเดียวของฉินอวิ๋นฟานชักนำโทสะมวลชน องค์ชายรองเป็นผู้มากสามารถที่ส่วนรวมยอมรับ เขายังแต่งกลอนที่เข้าคู่กับสุดยอดกลอนของเหลียงคังจวิ้นไม่ได้เลย แล้วเจ้าเป็นแค่ตัวโง่งมเอาอะไรมาคุยโม้?ต่อให้เจ้าฉินอวิ๋นฟานจะเป็นปกติแล้ว แต่การสั่งสมความรู้ด้านวรรณกรรมหรือจะทำได้ในเวลาอันสั้น?“ฟานเอ๋อร์ กลอนวรรคนี้วิเศษล้ำลึกนัก มีระดับสูงมาก เจ้าแน่ใจหรือว่าต่อวรรคถัดไปได้?”ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วกับเรื่องนี้เล็กน้อย แม้เขาจะไม่มีพรสวรรค์สูงเด่นในด้านวรรณกรรม กลับพอเข้าใจบ้าง ด้วยความเข้าใจของเขาต่อกลอนวรรคนี้ มันมีความยอดเยี่ยมน่าอัศจรรย์จริง ๆ กระทั่งเรียกได้ว่าที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะต่อได้“ทูลไท่ซั่งหวง!”ก็ขณะที่ฉินอวิ๋นฟานเตรียมจะต่อวรรค เหลียงคังจวิ้นกลับแทรกขึ้นมา เขายิ้มพูดด้วยความหมายลึกซึ้ง “หลายปีมานี้มีใครไม่รู้บ้างว่ารัชทายาทไม
หลายวันมานี้ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้อยู่เฉย สืบเรื่องของเหลียงคังจวิ้นอย่างลับ ๆ คนผู้นี้สํามะเลเทเมา มักมั่วกามหลังดื่มเป็นประจำ ร่วมการชุมนุมต่าง ๆ กินหรูอยู่สบาย สุรุ่ยสุร่ายที่สุดแล้วเขายังถึงกับทำเรื่องใช้กำลังขืนใจสาวใช้ ข่มเหงผู้อ่อนแอรังแกหญิงสาวบ่อยครั้งทั้งยังไม่รับผิดชอบอะไรด้วย ขุนนางใหญ่โตข้างตัวจัดการเรื่องยุ่งยากพรรค์นี้ให้เขาโดยเฉพาะ แน่นอน เบื้องหลังต้องมีเงาของฉินอวิ๋นคังอยู่แล้วในยุคปัจจุบันคนประเภทนี้ก็คือคนเลวในคนเลว ทุกคนฆ่าได้หมด ซือชง[footnoteRef:1]ยังเที่ยวสู้เขาไม่ได้เลย [1: หวังซือชง นักธุรกิจหนุ่มและเน็ตไอดอล ทายาทคนเดียวของวั่นต๋ากรุ๊ป] “เฮอะ มีอะไรไม่กล้า? ถ้าวันนี้ข้าเหลียงคังจวิ้นยอมแพ้ ข้าก็คือเดรัจฉานไอ้ลูกเต่า!”ฉินอวิ๋นฟานกระตุ้นโทสะของเหลียงคังจวิ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว รับคำท้าของฉินอวิ๋นฟานทันที ในสายตาของเขา การที่ฉินอวิ๋นฟานกล้าท้าเขาก็คือรนหาที่ตาย!“แต่ในเมื่อรับคำท้าจากข้าแล้ว ก็ต้องมีบทลงโทษที่สมควรนะ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”เห็นเหลียงคังจวิ้นหลงกล ฉินอวิ๋นฟานดีใจยกใหญ่ จัดการผู้ชายเลวพรรค์นี้เขาไม่มีจิตเมตตาใจอ่อนหรอก ไม่สยบเขาให้หมอบราบคาบแก้
“แม้ข้าคาดหวังว่าเจ้าจะมอบหนังสือหย่าให้ ก็ไม่หวังถูกเจ้าดูหมิ่นต่อหน้าผู้คน”มู่หรงจิ่นร่ำไห้ดอกท้อต้องหยาดฝน ดวงหน้าสวยทำให้คนปวดในยิ่งนัก ฉินอวิ๋นฟานทำใจไม่ได้นิด ๆ เพราะการทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรมกับนางเหมือนกัน“ฉินอวิ๋นฟาน ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะใช้พระชายาของตัวเองเดิมพัน?”เหมียวชิงอีไต่ถามเสียงเย็น ภายใต้ผ้าปิดหน้าผืนบาง ดวงหน้าสะคราญขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อครู่ยังให้เกียรติฉินอวิ๋นฟานอยู่บ้าง อย่างไรเสียเขาก็เป็นรัชทายาท แต่พอเขาไม่ถนอมผู้หญิงของตัวเอง นางก็เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเขาแบบกลับตาลปัตรทันทีผู้ชายที่ใช้ชายาของตัวเองเป็นเบี้ยได้แบบนี้ ไม่ว่าชนะหรือแพ้ จะคู่ควรให้นางเหมียวชิงอีฝากผีฝากไข้ได้อย่างไร? จะคู่ควรให้นางแบกภาระหนักอึ้งของบ้านเมืองร่วมกับแคว้นเช่นนี้ได้อย่างไร?ฉินอวิ๋นฟานจ้องเหมียวชิงอี จ้องนานมาก ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง “ข้าฉินอวิ๋นฟานไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ ในเมื่อเขาเหลียงคังจวิ้นกล้าเรียกร้องเช่นนี้ ข้าย่อมเดิมพันได้”“คาดว่าเขาก็น่าจะยอมรับเงื่อนไขที่ข้าเสนอได้เหมือนกันกระมัง”ฉินอวิ๋นฟานในเวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่น การจะเอาชนะขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ยามนี้ เขากลับหวังให้ฉินอวิ๋นฟานชนะ เพราะมีแต่อย่างนี้ เขากับองค์ชายใหญ่จึงจะอยู่ในลู่วิ่งเดียวกัน สำหรับฉินอวิ๋นฟาน ในการชิงบัลลังก์ครั้งนี้ เขายังคงไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเหมือนเดิมเห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานเอ่ยอย่างแข็งกร้าว “ข้าแต่งต่อว่า แปดดวงตาร่วมชม ชมบุปผาชมจันทร์ชมชิงอี!”ซ่า!!!!ครั้นฉินอวิ๋นฟานกล่าวออกมา ทั้งตำหนักใหญ่เดือดพล่านแล้ว ทุกคนปากอ้าตาค้าง ในดวงตาล้วนเป็นความตกตะลึงและเหลือเชื่อในฐานะที่เป็นขุนนางระดับสูงของต้าเฉียน พวกเขาย่อมเก่งด้านวรรณกรรมระดับหนึ่ง วรรคต่อที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ทำให้พวกเขาหวนคำนึงไม่หยุด“อะไรนะ?”“แปดดวงตาร่วมชม ชมบุปผาชมจันทร์ชมชิงอี???”ยามนี้องค์ชายรองพูดขึ้นด้วยความทึ่ง “วรรคแรกใช้ความคิดเป็นตัวเหนี่ยวนำ ฝากความคิดต่อบ้านเมือง เพิ่มอารมณ์กับความคิดไม่หยุด วรรคต่อกลับฝากอารมณ์รักใคร่สวยหวาน ใช้หน้าบุปผาใต้จันทร์ส่งไมตรีในหัวใจ เพิ่มระดับจนถึงนางเอกเหมียวชิงอี...”ฉับไวตรงจุด หลอมรวมเข้ากับภาพอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแต่งวรรคต่อได้อย่างสมบูรณ์แบบ ประดุจเทพ...“สมบูรณ์แบบนัก ช่างเป็นวรรคต่อที่เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งนัก...”เหมียวชิงอีภายใ
“พี่ใหญ่ ท่านจะยังจะเอาหน้าตาอยู่หรือไม่? แพ้แล้วก็แพ้แล้วสิ ไฉนจึงแพ้ไม่ลงเล่า? นี่ท่านเห็นทุกคนหูหนวกตาบอดหรือ?”ก็ขณะที่องค์ชายใหญ่พยายามโต้แย้งอย่างสุดความสามารถ องค์ชายรองเดินออกมาด้วยใบหน้ากระหยิ่มใจ ถึงเขาจะแพ้ แต่ตอนที่ฉินอวิ๋นฟานต่อวรรคกลอนได้ เขากลับสุขีสโมสรยิ่งกว่าตัวเองชนะเสียอีก“เราไม่ได้แพ้ ใช่ ใช่ น้องเจ็ดเล่นโกง!”เวลานี้ใบหน้าองค์ชายใหญ่ร้อนผ่าว ชัยชนะแต่ละรอบสำคัญอย่างยิ่งยวด เขาต้องพยายามแย้งให้ได้ จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปไม่ได้แม้แต่หนเดียว“อย่างนั้นหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะเบา ๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เหลียงคังจวิ้นแต่งต่อสิ ข้าสู้ต่อก็ได้ แต่... ถ้าครั้งนี้เจ้าต้องคิดกลอนคู่ที่ไม่มีคนรู้จึงจะดี ไม่อย่างนั้นมันจะอธิบายไม่ได้เอานา”“ได้! ท่านพูดเองนะ”เหลียงคังจวิ้นราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตได้ รับปากทันใด ตอนนี้เขาไม่หยิ่งยโสโอหังเหมือนเมื่อครู่แล้ว ทั้งยังจริงจังอย่างยิ่งด้วยครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก “หญิงงามจ้องหน้าต่างอ้างว้างครองตัวเป็นม่าย”“อะไรน่ะ? นี่ นี่ใช่กลอนคู่เล่นส่วนประกอบอักษรข้างหรือ? ใช้ส่วนประกอบอักษรข้างฝาสมบัติ ประกอบเป็นภาพภาพหนึ่ง
อุปนิสัยเช่นนี้หรือองค์ชายองค์อื่นจะเทียบติด?“คิดไม่ถึงจริง ๆ รัชทายาทจะมีความสามารถสูงเช่นนี้? เก็บงำสิบกว่าปี ช่างทำให้พวกเราประหลาดใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแท้ ๆ”“มิน่ารัชทายาทถึงกล้าใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน มีระดับวรรณกรรมเช่นนี้นี่เอง ทำให้พวกเราเลื่อมใสยิ่งแล้ว!”“กลอนคู่ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นแบบอย่างการเรียนรู้ที่บรรดาเก้าแคว้นใหญ่แย่งชิงศึกษา คิดไม่ถึงต้าเฉียนเราจะมีสองอัจฉริยะมังกรหลบหงส์อรุณด้านวรรณกรรม ช่างเป็นบุญของต้าเฉียนเราโดยแท้”......ถ้าบอกว่ากลอนหนึ่งวรรคมิอาจสยบใจมวลชนได้ เช่นนั้นวรรคสองนี้ทำให้คนกราบกรานโดยสิ้นเชิง สายตาที่บรรดาขุนนางใหญ่มองฉินอวิ๋นฟานเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดฟ้ากับดินปัญญาอ่อนที่ชวนให้คนรังเกียจเดียดฉันท์ในสมัยก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์ทางวรรณกรรมสูงสุดในใจของพวกเขา “คิดไม่ถึง ระดับวรรณกรรมของน้องเจ็ดจะถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีก กลอนคู่เช่นนี้ยังต่อได้อย่างคล่องแคล่ว เช่นนั้นชัยชนะรอบนี้ก็ตกเป็นของผู้มีความสามารถแท้จริงแล้ว”องค์ชายรองมองฉินอวิ๋นฟานลึกซึ้งทีหนึ่ง เกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออกทันใด