Share

บทที่ 13 อย่างละหนึ่งพันตำลึง

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "มันคือสิ่งของของฮว๋าเซี่ย หากเสียนเฟยชอบ ก็มาดูก่อน"

ลู่จิ้งเสียนนึกว่าเย่จิ่งอวี้จะมอบของพวกนี้ให้เธอ เธอจึงเดินไปที่โต๊ะด้วยความตื่นเต้น

"นี่คือกระจกงั้นหรือ ส่องชัดมากเลยเพคะ"

จากนั้นก็หยิบลิปสติก ถามด้วยความตะลึง "แล้วนี่คืออะไรหรือเพคะ?"

เย่จิ่งอวี้ขี้เกียจพูดกับเธอ เขาส่งสายตาไปให้หลี่เต๋อฝู

หลี่เต๋อฝูจึงรีบโค้งตัวแล้วแนะนำ "นี่เรียกว่าลิปสติก ใช้แทนผงชาดพ่ะย่ะค่ะ ด้านนี้คือน้ำหอม ทาแล้วจะมีกลิ่นหอมแตะจมูก กลิ่นจะคงอยู่นาน ซึ่งล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อเขาเปิดฝาขวดน้ำหอมออก ลู่จิ้งเสียนก็ได้กลิ่นหอมในทันที และอดตาลุกววาวไม่ได้

"ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเมตตาเพคะ หม่อมฉันชอบทุกอย่างเพคะ"

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง ภายในแฝงแววเย้ยหยัน

และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "อย่างละหนึ่งพันตำลึง"

ลู่จิ้งเสียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความตะลึงงัน

"เอ่อ...ฝ่าบาทจะทรงขายของเหล่านี้ให้หม่อมฉันรึเพคะ?"

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยใบหน้าเฉยชาว่า "ตอนนี้ผู้คนอดอยากล้นบ้านเมือง ภัยแล้งทั่วแผ่นดิน ข้าจะให้เสียนเฟยนำเงินเล็กน้อยมาช่วยเหลือเหล่าพสกนิกร รึว่าเสียนเฟยไม่ยินยอมอย่างนั้นหรือ?"

ลู่จิ้งเสียนมองสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะด้วยสายตาละโมบ

สิ่งที่เรียกว่าลิปสติกนั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งมันสุดยอดกว่าผงชาดที่รสขมฝาดมากจริงๆ แล้วก็น้ำหอมกับกระจกด้วย เธอชอบทุกอย่างเลย

เธอกัดฟันและพูดว่า "ในเมื่อฝ่าบาททรงกระทำเพื่อความสงบสุขของมวลหมู่ราษฎร หม่อมฉันก็ต้องช่วยเหลือเต็มที่ หม่อมฉันขอรับทุกอย่างตรงนี้เพคะ"

เย่จิ่งอวี้มองนางด้วยสายตาเหน็บแนม "เสียนเฟยช่างมีเงิน"

ลู่จิ้งเสียนรีบคุกเข่าลงอย่างลนลาน และพูดด้วยเสียงออดอ้อน "ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทและไทเฮาประทานให้หม่อมฉันทั้งนั้น หม่อมฉันมิได้หักลดจากวังอื่นๆ แน่นอนเพคะ"

"ลุกขึ้นเถอะ หลี่เต๋อฝู ตามเสียนเฟยไปรับเงิน"

เย่จิ่งอวี้หยิบฎีกาขึ้นมาอ่าน เขาไม่แม้แต่ชายตามองลู่จิ้งเสียนเสียด้วยซ้ำ

หลี่เต๋อฝูพูดในใจ ขุนพระ ฝ่าบาทจะขายจริงๆ รึนี่!

เมื่อกราบบังคมทูลลาแล้ว หลี่เต๋อฝูก็ตามลู่จิ้งเสียนไปยังที่อยู่ของเธอ

อยู่ๆ ต้องเสียเงินทองมากมายขนาดนี้ ทำให้ลู่จิ้งเสียนรู้สึกเจ็บใจ แล้วเมื่อมองดูสิ่งของน่าอัศจรรย์เหล่านี้ เงินที่เสียไปก็ยังนับว่าคุ้มค่า

เธอรีบเช็ดผงชาดที่ปากออก แล้วทาลิปสติกแทน

ชุ่ยจู๋พูดชมในทันที "พระสนมทาลิปสติกแล้วดูดีมากเพคะ ปากดูชุ่มชื่น และเป็นมันเงา เย้ายวนชวนหลงใหลมากเพคะ"

ลู่จิ้งเสียนทำปากจู๋ แล้วส่องกระจกดูตัวเอง เธอก็รู้สึกพึงพอใจมากเช่นกัน

จากนั้นเธอก็ทาน้ำหอมไปที่หลังมือเล็กน้อย ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายทั่วห้อง ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งของทั่วๆ ไปจะเเอามาทียบกันได้เลย

ฝ่าบาทขายสิ่งของเหล่านี้ให้กับเธอ ก็พิสูจน์ว่าสำหรับเขาแล้ว ตนเองนั้นมีความแตกต่างอยู่ แม้ว่าเธอจะเสียเงินซื้อของ แต่นั่นก็เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ฝ่าบาทจะต้องซาบซึ้งในความใจกว้างของเธอแน่นอน

เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่จิ้งเสียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

เธอนั่งแต่งหน้าตรงหน้ากระจกเสร็จสรรพ ก็ลุกขึ้นพูดว่า "ชุ่ยจู๋ ไปเดินเยี่ยมแต่ละวังกับข้าหน่อย แม้ว่าตอนนี้พวกนางยังไม่แต่งตั้งยศศักดิ์ แต่อย่างไรเสียวันหลังก็ต้องเป็นพี่เป็นน้องกัน"

ชุ่ยจู๋รู้ว่าเจ้านายตนเองอยากออกไปโอ้อวด จึงรีบมาพยุงมือของลู่จิ้งเสียน

"พระสนม ช้าหน่อยเพคะ..."

ใช้เวลาเพียงหนึ่งช่วงบ่าย เรื่องที่พระสนมเสียนเฟยมีกลิ่นหอมติดตัวก็แพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง

เมื่อรู้ว่าเป็นของขวัญที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้ เหล่าหญิงงามต่างก็อิจฉาตาร้อน

ทุกคนก็หวังเพียงว่าจะได้พบฮ่องเต้โดยบังเอิญสักครั้ง เพื่อจะวอนขอพระราชทานสิ่งของบ้างสักหนึ่งอย่าง

ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดหาวิธีกันให้วุ่น อินชิงเสวียนกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านเพียงวันดุจดั่งผ่านเป็นปี

ตอนที่ให้ของไป เธอมั่นใจมาก คิดว่าทหารคนนั้นสามารถช่วยตัวเองได้แน่นอน

แต่ตอนนี้พอใจเย็นลงแล้วก็แอบรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง

ถ้าเกิดว่าเขามีความภักดีมากเกินไป จนไม่ยอมช่วยตนเองควรจะทำอย่างไรดี?

ตอนนี้พืชผลของเธอเพิ่งจะออกดอก กว่าจะเก็บเกี่ยวได้ต้องรออีกนานแค่ไหนเธอก็ไม่รู้เช่นกัน ทว่าคะแนนสะสมที่อยู่ในมือนั้นชัดเจนมากว่าเหลือเพียง 50 กว่าคะแนนแล้ว

เพื่อป้องกันเจ้าหมาน้อยต้องอดอาหาร อินชิงเสวียนจึงแลกนมผงมาก่อนสิบถุง ที่เหลือก็แลกซื้อแป้งพัพบีบีมาสามตลับ และไม่กล้าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก

เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปสองวันแล้ว คืนนี้คือวันที่เธอกับทหารคนนั้นนัดพบกัน

อินชิงเสวียนทั้งตื่นเต้นและคาดหวัง แต่เพื่อไม่ให้ตัวเองใจร้อนมากเกินไป เธอจึงไปหยอกเล่นเจ้าหมาน้อย

เด็กน้อยมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ วัน เพียงเวลาไม่กี่วันก็ลืมตาได้เต็มตาแล้ว

ดวงตาคู่นั้นทั้งดำและสว่าง ราวกับผลองุ่นสองผล ขนตาก็หนาด เรียงตัวเป็นเส้นราวกับกรีดขอบตาไว้ คิ้วน้อยบางๆ ก็เริ่มหนาขึ้นไม่น้อย

ตอนที่ไม่ยิ้มใบหน้าน้อยๆ นิ่งขรึม ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอยู่บ้าง

ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าอินชิงเสวียนเป็นแม่ของตนเอง ทุกครั้งที่เห็นอินชิงเสวียน เขาจะโบกมือไปมา และส่งเสียงร้องอู้อี้ให้เธอ

ตอนที่อินชิงเสวียนเข้าไปในบ้าน เขาก็กำลังนอนเตะขาอยู่

ขาน้อยอวบแน่นเป็นท่อนๆ

อินชิงเสวียนเห็นว่าน่ารัก จึงจับขาของเขาเอาไว้

"เจ้าหมาน้อย เจ้าหน้าตาน่ารักจริงๆ เลยนะ"

เจ้าหมาน้อยหัวเราะคิกๆ ขึ้นมาทันที

แล้วอินชิงเสวียนปั้นหน้าขรึม พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า "เจ้าหมาน้อย เจ้าน่าเกลียดเสียจริง"

ราวกับเจ้าหมาน้อยจะเข้าใจความหมายของเธอ คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากัน ปากเล็กเบะลงทำท่าจะร้องไห้ทันที

อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้นว่า "ไม่น่าเกลียดๆ เจ้าหมาน้อยคือสุดหล่อที่หล่อสุดในวังนี้ หล่อกว่าพ่อเฮ่องเต้เฮงซวยของเจ้าเป็นหมื่นเท่าเลย"

เจ้าหมาน้อยก็อ้าปากยิ้มพร้อมโบกมือไปมาทันที

ยายหลี่ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกไร้คำบรรยาย

มีใครเขาหยอกล้อกับเด็กแบบนี้บ้าง

ส่วนอวิ๋นฉ่ายกลับแอบขำอยู่ข้างๆ

เจ้านายในตอนนี้แม้ว่ามักจะพูดจาไม่ยับยั้งชั่งใจบ่อยครั้ง แต่กลับทำให้เธอรู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น

ตอนเที่ยง อินชิงเสวียนตักน้ำพุวิญญาณมาแล้วนำไปต้มและอาบให้เจ้าหมาน้อย เด็กน้อยเมื่อเห็นน้ำก็ดีใจมาก ขาน้อยๆ ออกแรงถีบยกน้ำใหญ่

อวิ๋นฉ่ายและอินชิงเสวียนถูกเจ้าตัวแสบถีบน้ำกระเด็นจนเปียนไปทั้งตัว รอจนเขายอมอยู่นิ่ง ทั้งสองคนจึงเข้าใกล้กะละมังอีกครั้ง ทว่าเจ้าหมาน้อยแอ่นท้องขึ้น พร้อมกับปลดปล่อยน้ำพุ

อินชิงเสวียนเกือบโดนฉี่ใส่ เธอจึงใช้มือตีเบาๆ ไปที่ก้นน้อยกลมๆ ของเขาอย่างอดไม่ได้

เจ้าตัวแสบ แสบซนยิ่งกว่าหลานชายของเธอเสียอีก

หลังจากวุ่นวายมาครึ่งชั่วยาม เจ้าหมาน้อยก็เหนื่อยแล้ว และนอนหลับไปในอ้อมอกของยายหลี่

อินชิงเสวียนยกมือขึ้นปาดเหงื่อ การเลี้ยงลูกลำบากใช่เล่นเลย หากไม่มียายหลี่กับอวิ๋นฉ่าย เธอไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองจะเลี้ยงลูกอย่างไร

ตอนบ่าย สองพี่น้องตระกูลหวังโยนก้อนหินเข้ามาในสวน และถามหาสินค้ากับยายหลี่

ยายหลี่ไม่อยากมีเรื่องกับพวกเขา จึงตอบไปว่าเรายังไม่มีของ

พี่น้องตระกูลหวังจึงได้แต่ยอมถอยไป

เพียงพริบตา พระอาทิตย์ก็ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ชัด

ทันทีที่พ้นสามทุ่ม อินชิงเสวียนก็เปลี่ยนใส่ชุดขันที

อวิ๋นฉ่ายอดกังวลไม่ได้ "พระสนม บ่าวไปกับพระองค์ดีกว่าเพคะ"

"ไม่ต้อง คนเยอะจะยิ่งสะดุดตาได้ง่าย วางใจเถอะ ข้าบอกว่าข้ามาจากหอฉงฮวา ที่นั่นน่าจะเป็นที่อยู่ของหญิงงาม ถ้าไม่มีรับสั่งจากฮ่องเต้ แค่ทหารคนเดียว เขาไม่กล้าไปตรวจสอบที่นั่นหรอก"

อินชิงเสวียนพูดจบก็คลานออกไปจากรูบนกำแพง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status