อินชิงเสวียนแสดงสีหน้ายินดีทันที“ขอบคุณท่านตา!”เย่จิ่งอวี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าชายชราจะส่งศิษย์สำนักออกมาด้วยหากมีคนจากสำนักอื่นติดตามมาด้วย ต้องเป็นเพราะได้รับการชักชวนจากชายชราแน่จึงพูดอย่างจริงใจ “ท่านตาคิดรอบคอบเสมอ”“ชาวเป่ยไห่ต้องทนทุกข์ทรมานจากตงหลิวมานาน ทุกครั้งมีแต่รักษาปลายเหตุแต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ มีเพียงกำจัดพวกเขาถึงต้นตอเท่านั้น จึงเป็นวิธีการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง เรื่องนี้เจ้าสำนักหลายสำนักก็เห็นด้วยเช่นกัน”เจ้าสำนักเซี่ยวหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เพียงแต่จิ่งหลานยังเด็ก อาจไม่สามารถโน้มน้าวใจสาธารณชนได้ ฉะนั้นคราวนี้ ข้าจะให้ฮวาเชียนติดตามไปด้วย ในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน ฮวาเชียนพอมีบารมีอยู่บ้าง” สำหรับการจัดแจงของชายชรา สองสามีภรรยาย่อมพอใจมากอู่แล้ว อินชิงเสวียนจึงปล่อยวางความกังวลใจได้ในที่สุด“เช่นนี้แล้ว การเดินทางคราวนี้จะประสบความสำเร็จในเร็ววัน!”เจ้าสำนักเซี่ยวกล่าวว่า “ข้าก็หวังเช่นนั้น เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ที่เสียชีวิตในตงหลิว คนที่ยังมีชีวิตอยู่น่าจะยังเหลือไม่มาก คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ ก็เหลือเพียงจักรพรรดิและทหารองครักษ์จำนวนเ
“ถูกต้อง พวกเจ้าไปทำงานกันเถอะ แม่ต้องกลับก่อนแล้ว”เซี่ยวอิ๋นหวนไม่กล้าอยู่ต่อ เพราะกลัวว่าตัวเองจะทนไม่ได้ มีความคิดถึงอาลัยอาวรณ์แห่งมนุษย์เจ้าสำนักเซี่ยวพูดพร้อมกับเอามือไพล่หลัง “การพรากจากกันชั่วคราว ก็เพื่อได้พบกันอีกครา ไม่จำเป็นต้องเศร้าเสียใจ นี่นับว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิต ต้องมีประสบการณ์ขมขื่นเผ็ดหวาน ถึงจะนับว่าเป็นชีวิตที่ความสมบูรณ์อย่างแท้จริง”เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนโค้งคำนับพร้อมกัน“ผู้เยาว์ได้รับคำสั่งสอนแล้ว”เจ้าสำนักเซี่ยวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ“ไปทำธุระของพวกเจ้าเถอะ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว”ทั้งสองส่งเจ้าสำนักเซี่ยวออกไปนอกประตู ส่วนอินชิงเสวียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความเป็นห่วง“อาอวี้อยากไปอยู่กับท่านแม่หรือไม่”“ไม่จำเป็น บางทีการดำรงอยู่ของข้า อาจเป็นภาระของท่านแม่ด้วย ทุกครั้งที่นางเห็นข้า นางจะคิดถึงฮ่องเต้ผู้ล่วงลับ บางทีการจากลาอาจเป็นเรื่องดี เมื่อปมหัวใจของนางคลี่คลายอย่างสมบูรณ์แล้ว ค่อยพบกันอีกครั้งก็ไม่สาย”เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่นางพบกับเสี่ยวหนานเฟิง วันๆ เอาแต่พูดถึงความเลวร้ายของฮ่องเต้โฉด อินชิงเสวียนก็พอจะเข้าใจความคิดของเซี่ยวอิ๋นหว
เมื่อเห็นหลานชายเซี่ยวอิ๋นหวนยิ่งทุกข์ใจเหมือนโดนมีดกรีด ไม่กล้าหยุดเดินเลยเสี่ยวหนานเฟิงไม่เข้าใจความหมายของการจากลา ดวงตาคู่โตกะพริบน้ำตาคลอ มองดูเหล่าศิษย์อย่างสงสัย ตะโกนเสียงไร้เดียงสา “ท่านตา ท่านย่า!”อินชิงเสวียนรีบปิดปากลูก แล้วกระซิบ “อย่าตะโกน ประเดี๋ยวท่านตากับท่านย่าได้ยินจะเสียใจ”เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่คล้ายไม่เข้าใจ ชี้มือเล็กๆ ไปข้างหน้า เลียนแบบท่าทางของอินชิงเสวียน และพูดด้วยเสียงเด็กๆ “ท่านตา ท่านย่า ออกไปเที่ยว”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปรับลูก ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่ไปเที่ยว ท่านตากับท่านยายกลับบ้านแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงมองไปที่เรือนด้านหลัง แล้วพูดว่า “บ้านๆ อยู่นั่นไง”อินชิงเสวียนอธิบายอย่างอดทน “ที่นั่นไม่ใช่ บ้านของท่านตากับท่านย่าอยู่ไกล เมื่อเจ้าโตขึ้นอีกหน่อย แม่กับพ่อจะพาเจ้าไปเที่ยวที่บ้านท่านย่าท่านตา”เมื่อได้ยินคำว่า “เที่ยว” เสี่ยวหนานเฟิงก็ปรบมือเล็กๆ อย่างมีความสุขทันที“ลูกอยากไป”อินชิงเสวียนหอมแก้มลูกชาย แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ตราบใดที่ลูกเป็นเด็กดี จะพาเจ้าไปที่นั่นแน่นอน”เย่จิ่งหลานมองเข้าไปในลานบ้าน“เจ้า...จะไม่เข
แก้มของอินสิงอวิ๋นเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย แล้วหันกลับไปกระแอมเบาๆ เพื่อบรรเทาความขวยเขิน“สองวันนี้ยังต้องเตรียมอะไรอีกหรือไม่”อินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปดูที่ชายทะเลหน่อย แล้วจะไปเยี่ยมเก่อหงยวนกับต่งจื่ออวี๋ เท่านี้แหละ”อินสิงอวิ๋นพยักหน้าพูดว่า “ได้ ออกจากบ้านมาระยะหนึ่งแล้ว ท่านพ่อกับแม่รองต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ”“เพียงแต่...การตายของจูอวี้เหยียน จะบอกท่านพ่อดีหรือไม่”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมองอินสิงอวิ๋นอินสิงอวิ๋นพูดอย่างใจเย็น “ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ข้าจะพูดเรื่องนี้เอง บางทีท่านพ่ออาจไม่เศร้าเสียใจอย่างที่คิด เขากับจูอวี้เหยียนไม่มีความรักความใกล้ชิดมากนักตั้งแต่แรก มีแค่หน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น”“พี่ใหญ่พูดถูก ถึงอย่างไรจูอวี้เหยียนก็ไม่เคยเห็นเราเป็นครอบครัวเดียวกัน นางเสียชีวิตในต่างถิ่นก็เป็นเพราะนางหาเรื่องใส่ตัวเอง คิดจะร่วมมือกับอาซือหลานน่ะหรือ นางประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว”เมื่อพูดถึงอาซือหลาน อินชิงเสวียนก็มองไปที่เป่าเล่อเอ่อร์อีก เพราะนั่นคือพี่ชายของนางเป่าเล่อเอ่อร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กุ้ยเฟยอย่ากังวลมากนัก แม้ว่าเขาจะเป
หลังจากออกจากมิติแล้ว เย่จิ่งหลานและหวังซุ่นก็ออกมาเช่นกัน ขนย้ายของทุกอย่างที่จำเป็นไปที่รถม้า และมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งอินชิงเสวียนนั่งบนรถม้า เมื่อมาถึงก็พบว่ามีศิษย์จำนวนมากมารวมตัวกันชายฝั่งแล้วคนเหล่านี้มาด้วยความสมัครใจทั้งหมด แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีจุดประสงค์ในการทำลายล้างตงหลิว ตัวอย่างเช่นเก่อหงยวน ที่มาเพราะรู้สึกว่าในสำนักน่าเบื่อเกินไป การได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดส่วนต่งจื่ออวี๋เป็นศิษย์คนสนิทของเฮ่ออวิ๋นทง เขามีนิสัยซื่อบื้อและซื่อสัตย์ อาจารย์บอกให้ไปไหนเขาก็ไปที่นั่น ไม่เคยปฏิเสธเลยนอกจากนี้ยังมีบางคนที่ทนความยากลำบากบนภูเขาไม่ได้ การที่ได้มีกินมีใช้อย่างงสบายกับเย่จิ่งหลาน ไม่มีอะไรต้องกังวล ย่อมดีกว่าการฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนักทุกวันอยู่แล้วแน่นอนว่ายังมีคนจำนวนหนึ่งที่ต้องการทำลายล้างตงหลิวจริงๆ สรุปก็คือ ไม่ว่าความคิดจะเป็นอย่างไร แต่การที่พวกเขาสามารถอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเย่จิ่งหลานได้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วในขณะที่เตรียมส่วนอะไหล่ อินชิงเสวียนก็เตรียมอาหารให้กับทุกคนด้วย แม้ว่าจะเป็นอาหารจานด่วนจากมิติทั้งหมด แต่ศิษย์เหล่านี้ไ
เก่อหงยวนกัดข้าวโพด แล้วพูดขณะที่เคี้ยวอาหาร “ดีจัง สามารถทำธุรกิจเองได้ เจ้าก็เก่งกาจไม่เบาเลย”“ที่ไหนกัน เจ้าต่างหากเป็นจอมยุทธ์หญิงเหาะเหินเดินอากาศได้ ถึงเรียกว่าเก่งกาจจริงๆ”อินชิงเสวียนรู้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่มีเจตนาชั่วร้าย แค่มีนิสัยแข็งกร้าวไปหน่อยเท่านั้นหลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน เก่อหงยวนก็เชิดหน้าชูคออย่างภาคภูมิใจทันที เอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้าในมุม 45 องศา แสดงท่าทางประหนึ่งยอดฝีมือ“อะแฮ่ม เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องลงโทษผู้ขืนใจและกำจัดความชั่วร้าย ข้าจะตวัดกระบี่ในมือนี้ เพื่อชำระสะสางความสกปรกให้กับโลกนี้อย่างแน่นอน”“สมแล้วที่เป็นจอมยุทธ์หญิง ดูการสำนึกรู้ของนางสิ สูงส่งเทียมเมฆาจริงๆ”เย่จิ่งหลานถือปูเดินเข้ามา พออ้าปากพูดก็อวยไม่หยุดมุมปากของเก่อหงยวนแทบจะกระดกขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว“ไม่ต้องห่วง ข้าจะรับรองความปลอดภัยของเจ้าเอง”เย่จิ่งหลานโค้งคำนับด้วยท่าทางเรียบร้อยทันที“เช่นนั้นต้องรบกวนแล้ว”เมื่อมีเขามาเข้าร่วมวงสนทนา บรรยากาศก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใดทั้งหมดคุยกันสักพัก ท้องฟ้าก็มืดแล้วอินชิงเสวียนลุกขึ้นยืน ถึงเวลาต้องกลับไปอยู่กับลู
สามวันต่อมา อินชิงเสวียนก็ออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงสำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม และชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ล้วนทิ้งไว้เหลือเฟือ จนตอนนี้อินชิงเสวียนกลายเป็นคนจนแล้ว อาหารส่วนใหญ่ในมิติก็นำออกมามากกว่าครึ่ง และยังมีคะแนนเหลือเพียงไม่กี่พันเท่านั้น เพื่อสนับสนุนความฝันของเย่จิ่งหลาน คราวนี้นางใช้ทรัพย์สินของครอบครัวไปแทบหมดจริงๆ ช่วงนี้ไม่มีเหตุบังเอิญอะไร คะแนนสะสมในมิติได้รับมาจากการปลูกพืชเท่านั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะหาเงินเลี้ยงชีพได้ ถ้าขืนอยู่ต่ออีกสองสามวัน คงถูกเย่จิ่งหลานปล้นจนไม่เหลืออะไรแน่แม้ว่าเมล็ดพันธุ์ในมิติจะเติบโตได้ภายในไม่กี่วัน แต่เปลี่ยนจากความหรูหราไปสู่ความประหยัดเป็นเรื่องยาก เคยชินกับการเห็นคะแนนนับหมื่น แต่พอมองดูคะแนนไม่กี่ร้อยในตอนนี้ ก็ยากจะทนดูได้จริงๆเสียดายก็แต่ว่าในมิติไม่มีเสียงเตือนใดๆ จากระบบเลย แม้ว่าอินชิงเสวียนอยากจะลองดู แต่ก็ไม่รู้ทิศทาง จึงต้องหลบหนีในเวลากลางคืนบนภูเขาสูง เย่จิ่งหลานคาบบุหรี่ไว้ในปาก มองดูรถม้าที่มองเห็นได้เลือนลางในตอนกลางคืน แล้วถอนหายใจเบาๆ “ความเศร้าที่พรากจากเป็นเฉกเช่นวัชพืชยามวสันต์ ยิ่งไปไกลยิ่งงอกงาม!”หวังซ
ไม่กี่วันต่อมา แต่ละสำนักได้รับจดหมายลับที่ไม่ได้ลงนามในนั้นมีเพียงไม่กี่คำเท่านั้นสมบัติล้ำค่าแห่งยุทธภพ “หนังสือสวรรค์ไร้อักษร” จะถือกำเนิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้มีคุณธรรมจะได้ถือครองด้านล่างมีแผนที่ด้วย และตำแหน่งที่ชี้ตรงกลางคือยอดเขาบรรจบสวรรค์ในเทือกเขาเชื่อมเมฆาทุกคนต่างรู้เรื่องเทือกเขาเชื่อมเมฆาเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยได้ยินชื่อยอดเขาบรรจบสวรรค์มาก่อน และไม่รู้ว่าหนังสือสวรรค์ไร้อักษรคืออะไร เพียงครู่เดียวเองนี้ก็แพร่ขยายเป็นวงกว้างในไม่ช้าก็มีเรื่องราวนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นในหมู่ชาวบ้าน บ้างก็ว่าหนังสือสวรรค์ไร้อักษรเป็นวรยุทธ์ขั้นสุดยอด บ้างก็ว่าเป็นแผนที่ที่บันทึกสมบัติล้ำค่า บ้างก็ว่าเป็นวิธีการบำเพ็ญตน ที่สามารถเป็นเซียนได้ภายในหนึ่งวันเพียงครู่เดียวก็พูดกันเซ็งเซ่เกรียวกราว กระพือให้เกิดการล่าสมบัติกันอย่างบ้าคลั่ง และคนจำนวนมากก็เดินทางตามแผนที่ไปยังเทือกเขาเชื่อมเมฆาอินชิงเสวียนและคณะเดินทางก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน“หนังสือสวรรค์ไร้อักษรคืออะไรกันแน่”เมื่อเห็นสีหน้าสนใจใคร่รู้บนใบหน้าของหญิงสาว เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “สิ่งเห