เธอชอบโจวอวี่ขนาดนั้น โจวอวี่มาเธอคงอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยละมั้ง?เมื่อได้ยินดังนั้น ปลายสายก็เงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็มีเสียงสอบถามแฝงไปด้วยการตำหนิแว่วดังขึ้นมา “ฟู่เจิง! คุณเป็นคนทำให้เธอแท้งใช่ไหม?! ทำไมคุณถึงไม่ยอมปล่อยเธอไป?”โจวอวี่ถามต่ออีก “โรงพยาบาลไหน? ห้องผู้ป่วยอะไร?”ฟู่เจิงรายงานที่อยู่กับเขาไป“ผมจะไปเดี๋ยวนี้” โจวอวี่พูดจบก็วางสายไปผ่านไปครึ่งชั่วโมง โจวอวี่ก็มาถึงหน้าห้องผู้ป่วย เขาเห็นฟู่เจิงเขาไม่คิดว่าความเหี่ยวเฉาของฟู่เจิงในตอนนี้จะมีสาเหตุมาจากเวินเหลียง ส่วนใหญ่แล้วคงเป็นเพราะประธานกรรมการใหญ่ฟู่คุณปู่ของเขาจากไปเขาแค่นเสียงฮึกับฟู่เจิงทีหนึ่ง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยเวินเหลียงคิดว่าเป็นฟู่เจิง เธอหลับตาปี๋ไม่ยอมพูดจาโจวอวี่เดินเข้าไป แล้วนั่งลงตรงข้างเตียง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “อาเหลียง ฉันเอง”เมื่อได้ยินเสียง เวินเหลียงถึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองโจวอวี่ “นายมาได้ยังไง?”“ฉันมาเยี่ยมเธอ” โจวอวี่เห็นอาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาถามขึ้นว่า “กินข้าวเช้าหรือยัง? ให้ฉันป้อนเธอไหม?”“ตอนนี้ฉันไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น” เวิน
ทว่าในจังหวะนี้เอง จู่ ๆ เวินเหลียงก็โยนถ้วยไปบนโต๊ะ เลิกผ้าห่มออกแล้วพุ่งตัวลงไปจากเตียง อาเจียนลงไปในถังขยะฟู่เจิงตกตะลึง เขารีบเปิดประตูเข้าไป แล้วรีบวิ่งไปข้างกายเวินเหลียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตบหลังเวินเหลียงเบา ๆโจ๊กที่เวินเหลียงเพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำ ถูกอาเจียนออกมาจนหมดหลังอาเจียนเสร็จ เวินเหลียงอยากไปล้างปากที่ห้องน้ำ ทว่าฟู่เจิงกลับอุ้มเธอขึ้นมา แล้วพากลับไปบนเตียงเลย “อย่าขยับ”พูดเจ็บเขาก็รีบเทน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง แล้ววางลงตรงหัวเตียง จากนั้นก็ยกถังขยะขึ้นมาเวินเหลียงไม่มองเขา แต่หยิบแก้วมาดื่มน้ำล้างปาก และบ้วนลงในถังขยะ ก่อนจะยกถ้วยโจ๊กมากินอีกครั้งฟู่เจิงเองก็ไม่พูดไม่จา ยืนมองเวินเหลียงกินข้าวอยู่ไกล ๆทว่านึกไม่ถึงเลยว่า หลังเวินเหลียงกินไปอีกสองสามคำก็เป็นอันต้องวางถ้วยลงอีกครั้ง และพาดตัวอาเจียนอยู่ข้างเตียง อาเจียนจนน้ำย่อยออกมา น้ำตาไหลออกมาตรงขอบตาโดยอัตโนมัติอย่างไม่ขาดสายฟู่เจิงรีบเข้ามา ขมวดคิ้วพลางตบหลังเวินเหลียงเบา ๆ แล้วยกถ้วยไปวางไกล ๆ “อย่าเพิ่งกิน เดี๋ยวฉันไปเรียกหมอมาก่อน”ฟู่เจิงสาวเท้ายาวก้าวออกไป ไม่นานเบื้องหลังก็มีหมอท่านหนึ่งเดินตามมาด้ว
“ครับ...ผมเข้าใจแล้ว”มองตามจิตแพทย์เดินออกไป ฟู่เจิงยืนอยู่ที่เดิมนานสองนาน สายตามองไปเบื้องหน้าไกล ๆ คิดพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และคิดอย่างหนักในจังหวะนี้เอง เสียงริงโทนโทรศัพท์ของฟู่เจิงก็ดังขึ้นมาฟู่เจิงได้สติกลับมา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เป็นสายของเลขาหยางแม้เลขาหยางจะเป็นพนักงานของฟู่ซื่อ แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากเลขาส่วนตัวของฟู่เจิงหลังฟู่เจิงลาออกจากฟู่ซื่อกรุ๊ป เขาเองก็ลาออกจากกรุ๊ปเช่นกัน เพื่อมาช่วยฟู่เจิงจัดการการลงทุนและธุรกิจส่วนตัวอย่างอื่นในมือของฟู่เจิง“ฮัลโหล? มีอะไรเหรอ?” ฟู่เจิงรับสาย ในน้ำเสียงเผยให้เห็นความร้อนใจอยู่เล็กน้อยเลขาหยางฟังออก เธอพูดแบบรวบรัด “ประธานฟู่คะ ก่อนหน้าที่ประธานกรรมการใหญ่ฟู่จะสิ้นใจได้ทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ ตอนนี้จัดการเรื่องงานศพเสร็จแล้ว ทนายจะเป็นคนเปิดอ่านพินัยกรรม ที่กรุ๊ปจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ภริยาประธานกรรมการใหญ่ใช้ให้คุณไปที่บริษัทค่ะ!”ภริยาประธานกรรมการใหญ่ก็คือคุณหญิงนั่นเอง จุดมุ่งหมายที่ใช้ให้ฟู่เจิงไปบริษัทชัดเจนเป็นอย่างมากเมื่อคุณท่านจากไป หุ้นที่อยู่ในมือก็ต้องแบ่งให้ลูกหลาน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ฟู่เจิงก็ต้องได้
“จำได้” ลูกกระเดือกของฟู่เจิงกลิ้งขึ้นลงตอนที่เวินเหลียงถูกคนสร้างข่าวลือ เขาไม่ได้ชี้แจงให้เธอ ทั้งยังจะปกปิดเรื่องนี้กับเธอเพราะเธอประสบอุบัติเหตุดวงตาเห็นไม่ชัดอีก ดังนั้นตอนนั้นเขาจึงบอกว่าจะรับปากคำขอของเธอเรื่องหนึ่ง“คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นฉันคิดอะไร?” เวินเหลียงนึกใจลอยละล่องนึกถึงตอนนั้น “ตอนนั้นฉันคิด ยังไงพวกเราก็ต้องหย่ากัน และเรื่องที่ฉันท้องก็คงปิดไม่อยู่ ดังนั้นฉันอยากจะใช้คำขอนี้แลกกับการให้คุณสละสิทธิ์ในการเลี้ยงดู ฉันต้องการเด็กคนนี้! ดังนั้นในตอนที่ฉันอยากจะหย่าที่สุด ฉันก็ยังไม่ยอมใช้สิทธิ์นี้เลย...แต่... ”เวินเหลียงสะอื้น ไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา ไม่มีโอกาสได้ใช้สิทธิ์นี้แล้ว!ถ้อยคำที่พูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจปานมีดที่ทิ่มแทงหัวใจของฟู่เจิง ตอกย้ำเขาอย่างชัดเจนว่าเขาเคยทำอะไรลงไปบ้าง!ที่แท้เธอก็วางแผนให้ตัวเองกับลูกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วและเขากลับมัวแต่รักษางานของฉู่ซืออี๋ ไม่รับรู้ความอยุติธรรมของเธอเลยแม้แต่น้อยไม่รอให้ฟู่เจิงพูด เวินเหลียงพูดต่อ “คุณรู้ไหมว่าตอนที่ฉันถูกด่าว่าเป็นมือที่สาม แฟนคลับของฉู่ซืออี๋พูดอะไร? เขาบอกว่า เขาสาปให้ฉันมีลูกไม่ได้ตล
พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสาเหตุการเสียชีวิตของคุณปู่ แต่สนใจการแบ่งหุ้นของบริษัทหลังจากคุณปู่เสียต่างหากฟู่ซื่อกรุ๊ปไม่เหมือนกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั่วไป ถือเป็นธุรกิจของตระกูล นี่เท่ากับว่าการคัดเลือกส่งเสริมประธานกรรมการบริษัทเป็นแค่ฉากหน้า ปกติแล้วในตระกูลฟู่ใครถือหุ้นมากที่สุดก็จะได้ดำรงตำแหน่งและธุรกิจของตระกูลก็จะหมายถึงคนในตระกูลถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่ หุ้นข้างนอกมีอยู่แค่ประมาณร้อยละสามสิบเท่านั้น รวมถึงหุ้นย่อย ๆ ด้วยที่เหลืออีกร้อยละเจ็ดสิบ ร้อยละสิบอยู่ในมือของอารอง อีกร้อยละสิบอยู่ในมือของอาหญิงฟู่ชิงเยว่ ส่วนฟู่เจิงกับฟู่เยว่มีกันอยู่คนละร้อยละห้าในมือคุณปู่มีอยู่ร้อยละสี่สิบ จะแบ่งอย่างไรนั้นเป็นส่วนสำคัญ มันจะตัดสินว่าใครจะได้เป็นประธานกรรมการบริษัทกรุ๊ปคนต่อไปประธานกรรมการบริษัทคือคนที่ใหญ่สุดในกรุ๊ป แทบจะตัดสินทิศทางการพัฒนาของบริษัท และตัดสินผลประโยชน์ของเหล่าผู้ถือหุ้นด้วยอีกทั้งหลังจากเปลี่ยนประธานบริหารและประธานกรรมการบริษัทเสียชีวิต หุ้นของกรุ๊ปตกรุนแรงกว่าเมื่อก่อน ถึงผู้รับผิดชอบที่เป็นโฆษกจะออกหน้า อธิบายว่าการเปลี่ยนประธานบริหารจะไม่มีผลต่อแผนนโยบา
อารองฟู่เจี๋ยเข้าใจขึ้นมา รู้ว่าการที่คุณปู่ทำอย่างนี้ก็เพื่อบริษัทจึงไม่ได้ว่าอะไรถ้าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือของคุณย่า อนาคตจะต้องแบ่งอีกครั้ง ฟู่เจิงทำเพื่อบริษัทมากมาย จะได้หุ้นมากหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดาหลังจากผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ประหลาดใจกันแล้วก็รับเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็วฟู่เจี๋ยยุ่งอยู่กับบริษัทร้านอาหารของตัวเอง ไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจของบริษัทเท่าไร ถ้าให้เขานั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ จะไม่วางใจฟู่ชิงเยว่อยู่เมืองนอกหลายปี ไม่ค่อยยุ่งงานในบริษัทเหมือนกันฟู่เซิงไม่มีหุ้นอยู่ในมือ อยู่แต่ในศูนย์วิจัยและพัฒนาคุณย่าดำเนินกิจการบริษัทไม่เป็นคิดไปคิดมา ไม่มีใครเหมาะจะนั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทไปมากกว่าฟู่เจิงแล้วเพียงแต่น้องชายเป็นประธานกรรมการบริษัท พี่ชายเป็นประธานบริหาร คิดแล้วก็พิลึกอยู่หน่อย ๆอย่าให้พูดเลยว่าสีหน้าประธานเกาซับซ้อนขนาดไหนตอนที่เขาเสนอให้ปลดภาระงานของฟู่เจิง ด้วยอยู่ในภาวะที่ประธานกรรมการบริษัทยังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ ใครจะคิดว่าประธานกรรมการบริษัทจะจากไปแบบปัจจุบันทันด่วนเขาจำต้องยอมรับว่าตอนนี้มีแต่ฟู่เจิงดำรงตำแหน่งประ
“คิดถึงสิ ลุงก็คิดถึงเธอมากนะ ตอนนี้ลุงอยู่บ้าน” ฟู่เจิงหันกล้องไปถ่ายวิวรอบ ๆ ให้เธอดู“เฮอะ! หนูไม่เชื่อหรอก! คุณลุงมีคุณป้าแล้ว ยังจะคิดถึงหนูอีกเหรอ?” ว่าแล้วเธอก็ชะเง้อมองข้างหลังของฟู่เจิง “คุณลุงขา แล้วคุณป้าล่ะ?”ฟู่เจิงสีหน้านิ่งไป “เขาไม่สบาย อยู่ที่โรงพยาบาลแน่ะ”ใบหน้าเล็ก ๆ ของฟู่ซือฝานฉายอารมณ์เป็นห่วง “หา? ฉีดยามันเจ็บนะ ฝานฝานกลัวโดนฉีดยาที่สุดเลย เมื่อไรคุณป้าจะกลับคะ?”“อีกหลายวันน่ะ”“คุณลุงขา ถ้าคุณป้าฉีดยาเสร็จแล้ว คุณลุงต้องเอาเค้กให้คุณป้ากินนะ กินเค้กแล้วจะหายเจ็บ”ฟู่เจิงขำพรืด “ได้ ลุงจะเอาเค้กให้คุณป้ากินนะ”ฟู่ชิงเยว่มาคุยต่อ พูดกับซือฝานว่า “ฝานฝาน ไปทำการบ้านเถอะ”เวลาท้องถิ่นของลอสแอนเจลิสช้ากว่าเวลาปักกิ่งสิบหกชั่วโมง ทางเจียงเฉิงเป็นเวลาเช้าสิบเอ็ดโมง ส่งทางลอสแอนเจลิสยังเป็นตอนกลางคืนของเมื่อวาน ฟู่ซือฝานเพิ่งจะกินข้าวเย็นเสร็จพอได้ยินฟู่ชิงเยว่พูดอย่างนี้ เด็กน้อยจึงทำปากจู๋ “หนูอยากคุยกับคุณลุงนี่นา”ฟู่ชิงเยว่รู้ว่านี่เป็นแค่วิธีการหนึ่งในการเลี่ยงทำการบ้านของเด็กน้อยเท่านั้น“ถ้าไม่ทำการบ้านก็ห้ามกินเค้ก”ใบหน้าเล็ก ๆ ของฟู่ซือฝานคิดหน
คนที่ลงมาจากที่นั่งด้านหลังทั้งทางซ้ายและทางขวาสองคน คนหนึ่งคือประธานเกา ส่วนอีกคนหนึ่งคือประธานฉีฟู่เจิงไม่ได้ปฏิเสธการรับแขก แต่เชิญพวกเขาสองคนเข้าห้องทำงานแล้วนั่งลงดื่มน้ำชาหลังจากโอภาปราศรัยกันเสร็จ ประธานเกาก็แจ้งการตัดสินของการประชุมผู้ถือหุ้นฟู่เจิงฟังแล้วกลับนิ่งเฉย ชงน้ำชาให้ประธานทั้งสองด้วยท่วงท่าสง่างาม แสดงออกว่าตอนนี้ตัวเองยังไม่มีความคิดกลับไปทำงานที่ฟู่ซื่อแบบอ้อม ๆสาเหตุมีสองอย่าง หนึ่งคือคุณปู่เสียชีวิต จากนั้นภรรยาของตัวเองก็แท้ง สองเรื่องนี้สะเทือนใจเขามาก เขาต้องการเวลาเยียวยาจิตใจระยะหนึ่ง ไม่มีกะจิดกะใจไปมุ่นอยู่กับงานในบริษัทสองคือเขาเคยบอกแล้วว่ามีความคิดไม่สอดคล้องกับคณะกรรมการบริษัท และตอนนี้ฟู่เยว่ก็นั่งตำแหน่งประธานบริหาร เขาไม่อยากให้พี่น้องต้องสู้กันเองประธานเกาแลกสายตากับประธานฉีด้วยความจนใจ หลังจากดื่มน้ำชาสองแก้วแล้วก็คว้าน้ำเหลวกลับแต่ตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทว่างเว้นหนึ่งวัน อารมณ์ของผู้ถือหุ้นทั้งหลายก็จะไม่ผ่อนคลายหนึ่งวันภายหลังประธานฉีมาอีกสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนเดิมเวินเหลียงอยู่โรงพยาบาลห้าวัน วันที่ห้าถังซือซือมาเยี่ยม