เฉียวซุนพูดเบา ๆ กับคนขับ “หยุดรถหน่อยค่ะ!”คนขับเหยียบเบรก และหยุดรถตรงข้างถนน เขาหันศีรษะ แล้วถามด้วยความสงสัย “คุณเฉียวมีอะไรรึเปล่าครับ? ”เสียงของเฉียวซุนนิ่งสงบ “ฉันอยากลงไปเดินเล่นหน่อยน่ะค่ะ! คุณกลับไปก่อนนะคะ”คนขับมองย้อนกลับไปด้านหลัง และเดาว่าเธอคงรู้สึกอยากรำลึกความหลัง ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ “คุณเฉียวคงอยากจะไปดูที่ที่เคยอาศัยอยู่สินะครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอคุณอยู่ที่นี่นะครับ”เฉียวซุนฝืนยิ้ม “เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเองค่ะ”คนขับลังเล แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง เขาลงจากรถไปเปิดประตูให้เฉียวซุน เขายังพูดออกไปอย่างชาญฉลาดอีกว่า “คุณเฉียววางใจเถอะครับ ผมจะไม่ปากมากต่อหน้าคุณหลินแน่นอน”เฉียวซุน ......เธอไม่ได้อธิบาย หยิบผ้าคลุมไหล่เบา ๆ แล้วเดินตรงไปยังบ้านที่แสนโดดเดี่ยวพระจันทร์ส่องแสงเจิดจ้ารองเท้าส้นสูงของเฉียวซุนเหยียบบนพื้นกระเบื้อง ส่งเสียงที่ทั้งคมชัดและดูโดดเดี่ยว ราวกับสวนฉินนี้เป็นเหมือนบ้านร้างเธอเดินมาถึงหน้าประตู แล้วเงยหน้าขึ้นมองคำที่สลักว่าสวนฉินบ้านหลังนี้ เคยมีความทรงจำในวัยเด็กของเธอบ้านหลังนี้ ก็เคยมีช่วงเวลาดี ๆ ระหว่างเธอกับลู่เ
เธอพยายามดิ้นรน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยลู่เจ๋อล็อกตัวเธอเอาไว้แน่น มือซ้ายของเขาแข็งแรงมาก เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาสีเข้ม เผยให้เห็นแววตาที่ชัดเจนของชายคนนั้น......เฉียวซุนไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาถูกกระตุ้นหรือเปล่าลู่เจ๋อค่อย ๆ คลายมือเพื่อปล่อยเธอเขาไม่เพียงแค่ปล่อยเธอไป เขายังขอโทษเธอ ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอีกด้วย “ผมต้องขออภัยด้วยครับ คุณเฉียว เมื่อกี้ผมคงเลอะเลือนไป! ”ริมฝีปากของเฉียวซุนสั่นเทา จนแทบจะยืนไม่ไหวในเวลาเดียวกันนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น......เธอเหลือบมองไปที่ลู่เจ๋อ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าของเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสายของลู่จิ้นเซิง เขาอยากนัดเธอออกไปพบ เขาพูดด้วยท่าทีที่สุภาพมาก ๆ โดยเขาบอกว่าเขาอาจจะช่วยคลายเรื่องกลุ้มใจของเธอได้เฉียวซุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบตกลงรอจนเธอวางสายโทรศัพท์ ลู่เจ๋อก็มองดูเธอ แล้วพูดว่า “คุณสนิทกับลู่จิ้นเซิงมากเลยเหรอ? ”“ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว” เฉียวซุนพูดอย่างใจเย็นเธอค่อย ๆ ดึงศักดิ์ศรีของเธอกลับคืนมา เธอมองไปทางลู่เจ๋อ แล้วเธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมาได้ ตอนนั้นเธอได้
เมื่อประตูรถถูกเปิดออกภายในรถเหลือเพียงแค่คนสองคน พื้นที่แคบ ๆ ภายใน ทำให้ต่างฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ......ซึ่งทำให้ความรู้สึกผู้คนไม่มีทางหนีรอดออกไปได้แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวังมากที่สุดเลยก็คือเฉียวซุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา แต่กลับไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปลู่เจ๋อลดกระจกลงครึ่งบาน แล้วจ้องมองด้านนอกอยู่เงียบ ๆ น้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่ก็ถือว่าค่อนข้างอ่อนโยน “เด็ก ๆ อยู่ไหนกัน ทำไมคุณถึงไม่พาพวกเขากลับมาด้วย? เจ้าหนูลู่ฉวินเองก็น่าจะสองขวบแล้วสินะ! ”แม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ในเวลานี้ ดวงตาของเฉียวซุนก็กลับแดงก่ำขึ้นมาอยู่ดีที่แท้เขาเองก็รู้เรื่องมาตั้งนานแล้วเขารู้มานานแล้วว่าเธอท้อง เขารู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของเจ้าหนูลู่ฉวิน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่ต้องการ......ตัวเธอกลับยิ้มรอเยาะเย้ยอยู่ที่เมืองเซียง รอเขาตั้งนานขนาดนั้นแต่ว่าเรื่องพวกนี้ เธอก็ไม่สามารถถามออกไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จะยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิมอีกเฉียวซุนพยายามควบคุมสติอารมณ์ของตัวเอง แล้วถามกลับไปว่า “แล้วคุณต้องการอะไร? ”สีหน้าของลู่เจ๋อดูไร้อารมณ์ “ผมกำลังนึกถึงสัญญ
เฉียวซุนกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์โถงทางเข้าที่มืดมิดและอ้างว้าง เธอยืนพิงประตูและหายใจหอบเบา ๆจนถึงตอนนี้ ขาของเธอก็ยังคงอ่อนแรงอยู่......แม้ว่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าหากกลับมาที่เมือง B ยังไงก็ต้องได้เจอกับลู่เจ๋อเข้าให้สักวัน แต่เธอไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ทุกสิ่งที่เขาทำกับเธอที่หน้าประตูสวนฉิน นั้นทำให้เธอต้องตกใจสัญชาตญาณของผู้หญิงบอกกับเธอว่า ลู่เจ๋อในตอนนี้อันตรายมาก เธอไม่ควรกลับเมือง B แต่ว่าโรคจมูกอักเสบของเจ้าหนูลู่เหยียนนั้นค่อนข้างร้ายแรง และเขาก็ไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเซียงเฉียวซุนเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นถึงได้ยกมือขึ้นเพื่อเปิดไฟแสงเจิดจ้า ส่องเข้าที่ใบหน้าอันละเอียดอ่อนและเรียวเล็กของเธอ ทั้งขาวและดูนุ่มนวล แม้ว่าเธอเพิ่งจะให้กำเนิดลูกสองคน แต่ก็ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะทำอะไรเธอไม่ได้ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน รูปร่างหน้าตาของเธอแทบไม่เปลี่ยนไปเลยหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ยืดตัวขึ้น เดินไปที่ตู้เก็บแอลกอฮอล์ เปิดตู้แล้วหยิบขวดแชมเปญออกมาค่ำคืนเช่นนี้ เหมาะแก่การดื่มเป็นอย่างยิ่งเพิ่งจะเทแชมเปญใส่แก้ว หลินซวงก็โทรมาหาเธอ เขาบอกเธออย่างอ่อนโยนว่า อีกเดี๋ยวเขาจะมีงานสังสร
ไม่นาน รถก็สตาร์ท......ลู่เจ๋อไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาได้แต่นั่งเงียบ ๆ อาจจะมองไปที่แขนขวาของเขาบ้างบางครั้ง เขาคิดว่า ถ้าแขนข้างนี้กลับมาใช้งานได้ก็คงดี เพราะต่อให้ขาทั้งสองข้างของเขาเดินไม่ได้ เขาก็ยังพอที่จะมีความกล้าอยู่บ้าง......เพื่อที่จะขอร้องเธอให้กลับมาอยู่ข้างกายเขาแต่น่าเสียดาย ที่ชีวิตของมนุษย์ไม่มีคำว่า ‘ถ้าหากว่า’......วันรุ่งขึ้น เฉียวซุนและลู่จิ้นเซิงก็ได้นัดเจอกันเดิมที เฉียวซุนแค่อยากจะดื่มกาแฟ และพูดอะไรสักสองสามคำ จากนั้นก็จะกลับเลย แต่ลู่จิ้นเซิงยืนกรานว่าอยากจะทานข้าวด้วยกัน เขาพูดในสายโทรศัพท์เอาไว้ว่า “เฉียวซุน พวกเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว คุณจะไม่ไว้หน้ากันหน่อยเหรอ? ”สุดท้าย พวกเขาก็ได้นัดทานข้าวที่คลับสุดหรูลู่จิ้นเซิงไม่มีอารมณ์ที่จะทานอะไรเลย เพราะส่วนใหญ่เขามุ่งความสนใจไปที่เฉียวซุนเฉียวซุนไม่คิดว่า เขาจะถูกใจหรือคิดอะไรกับเธอแบบนั้นอันที่จริงแล้ว ลู่จิ้นเซิงแค่ใช้เธอเป็นสิ่งที่ช่วยให้หวนคิดถึงหลินเซียวก็เท่านั้นเธอวางแอลกอฮอล์ที่ใช้เปิดต่อมรับรสลงเบา ๆ และพูดอย่างใจเย็น “ลู่จิ้นเซิง ฉันรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร คุณก็แค่อยากจะรู้ว่าเธอเป็นยัง
เฉียวซุนไม่รู้ว่า ผู้ชายที่นอกใจต่างก็มีโทรศัพท์มือถือสองเครื่องหรือไม่ขณะที่ลู่เจ๋อกำลังอาบน้ำ คนรักของเขาก็ส่งรูปเซลฟี่มาให้เธอเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาละอ่อนและสวย แต่เธอกลับสวมเสื้อผ้าชั้นสูงที่ไม่เหมาะกับวัยของเธอเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่พอสมควร[คุณลู่ ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดนะคะ]เฉียวซุนมองภาพนั้นอยู่เป็นเวลานานจนรู้สึกเจ็บตา เธอรู้มาโดยตลอดว่ามีคนอยู่ข้างกายของลู่เจ๋อ แต่เธอไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิงแบบนี้ไปได้ นอกจากอกหักแล้ว เธอยังรู้สึกประหลาดใจกับรสนิยมของสามีอีกด้วยเธอรู้สึกว่า ตัวเธอเสียใจจริงๆ ที่ไปได้เห็นความลับของลู่เจ๋อเข้าจากนั้นเสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลู่เจ๋อก็ออกมาด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยหยดน้ำ เสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวเหมือนหิมะของเขาห่อกล้ามเนื้อหน้าท้องและหน้าอกที่แข็งแรง ทำให้เขาดูสูงและเซ็กซี่แบบสุดๆ“จะดูอีกนานแค่ไหน?” เขาหยิบโทรศัพท์ออกจากมือของเฉียวซุน เหลือบมองเธอ และเริ่มแต่งตัวเขาไม่มีท่าทางลำบากใจแบบคนที่โดนภรรยาจับได้เลยแม้แต่น้อย และเฉียวซุนก็รู้ดีว่า ความมั่นใจนี้มาจากความสามารถท
หกปี เธอรักเขามาหกปีเต็ม!เฉียวซุนหลับตาลง……เฉียวซุนไม่รอให้ลู่เจ๋อกลับมา คืนวันศุกร์ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับตระกูลเฉียวมีข่าวออกมาว่า บุตรชายคนโตของตระกูลเฉียว เฉียวสือเยี่ยน เพราะคดีเศรษฐกิจของกลุ่มบริษัทสกุลเฉียว อาจจะถูกตัดสินจำคุกสิบปีสิบปี ก็เพียงพอที่จะทำลายคนคนหนึ่งได้แล้วในคืนนั้น คุณพ่อเฉียวมีเลือดออกในสมองเฉียบพลันจึงต้องเข้าโรงพยาบาล อาการอยู่ในขั้นวิกฤติจึงจำเป็นต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเฉียวซุนยืนอยู่ที่ทางเดินของโรงพยาบาล ต่อสายหาลู่เจ๋ออย่างต่อเนื่อง แต่โทรหาหลายครั้งก็ไม่มีคนรับสาย ในขณะที่เธอกำลังจะล้มเลิก ลู่เจ๋อก็ส่งข้อความวีแชทมาหาเธอเป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน พูดเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง[ผมยังอยู่ที่เมือง H หากมีเรื่องอะไรติดต่อเลขาฉินได้เลย]เฉียวซุนโทรไปอีกครั้ง คราวนี้ลู่เจ๋อรับสาย และเธอก็พูดอย่างกระวนกระวายใจขึ้นมาว่า “ลู่เจ๋อ พ่อของฉัน...”ลู่เจ๋อพูดตัดบทเธอในน้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความรำคาญ “ต้องการใช้เงินใช่ไหม? ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว หากต้องการใช้เงินอย่างเร่งด่วนให้ติดต่อเลขาฉิน... เฉียวซุน คุณกำลังฟังอยู่หรือเปล่า
สามวันต่อมา ลู่เจ๋อก็กลับมาถึงเมือง Bช่วงพลบค่ำ ความมืดปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ รถอาร์วีสีดำแวววาวก็ขับเข้าไปในวิลล่าอย่างช้าๆ หยุดและดับเครื่องยนต์คนขับเปิดประตูลู่เจ๋อลงจากรถ แล้วใช้มือปิดประตูเบาะหลัง เมื่อเห็นคนขับจะยกกระเป๋าเดินทางเขาจึงพูดอย่างนิ่งๆว่า “เดี๋ยวผมยกเอง”ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องโถง คนรับใช้ในบ้านก็มาต้อนรับ “เมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดเรื่องขึ้นกับคุณพ่อของคุณนายค่ะ คุณนายจึงอารมณ์ไม่ค่อยดี ตอนนี้เธออยู่ชั้นบนค่ะ!”เรื่องของตระกูลเฉียว ลู่เจ๋อรับรู้แล้วในใจเขารู้สึกกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปชั้นบน เปิดประตูห้องนอน และเห็นเฉียวซุนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งกำลังจัดเรียงสิ่งของอยู่ลู่เจ๋อวางกระเป๋าเดินทางลง ปลดเนกไทแล้วนั่งข้างเตียง พินิจดูภรรยาหลังจากแต่งงานแล้ว เฉียวซุนชอบทำงานบ้าน จัดระเบียบ และทำขนมหวานมาโดยตลอด... ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาที่ยอดเยี่ยมของเธอในใจของลู่เจ๋อเธอก็คงไม่ต่างอะไรจากแม่บ้านเวลาผ่านไปนานสองนาน เฉียวซุนไม่ได้พูดอะไรเลยลู่เจ๋อกลับมาจากทริปธุรกิจรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร เขาก็ค