ตอนที่วิ่งออกจากลานบ้านของหลี่ชิวจวี๋ เขาก็รู้สึกเสียใจทันทีถ้ารู้ว่าหลี่ชิวจวี๋จะจงใจจะแกล้งเขา ทำให้เขายืนอยู่ที่ประตู โดยไม่สามารถกลับบ้านได้เขาจะเด็ดเดี่ยวสักครั้ง อุ้มหลี่ชิวจวี๋สาวงามคนนี้ขึ้นมาแล้วโยนเธอลงบนเตียง หลังจากนั้นก็จัดการเธอให้หนำใจ!เมื่อจัดการหลี่ชิวจวี๋จนหนำใจแล้ว ดูสิว่าเธอจะยังกล้าหัวเราะเยาะตนเองแบบนั้นอีกไหม!แต่ครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลยอย่างน้อยจางหยวนก็รู้ว่า หลี่ชิวจวี๋ไม่ได้ตอบตกลงที่จะมีลูกกับหลินจงเฟยคนที่เธอชื่นชอบจริงๆก็คือ ตนเอง!หลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ๆ จางหยวนพ่นลมหายใจออกมาทางปากเบาๆ ในใจของเขาก็รู้สึกสงบขึ้นมามากเรื่องของหลี่ชิวจวี๋ สามารถพักไว้ก่อนได้เขาเองก็ต้องใช้เวลา คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องระหว่างพวกเขาสองคนด้วย!เมื่อตอนใกล้เที่ยง แม่ของเขาหวังฮุ่ยก็กลับมา ด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยเมื่อเห็นดังนี้ จางหยวนก็รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วเอารถสามล้อไปจากในมือของเธอ“แม่ครับ แม่เป็นอะไรไป?ไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านเหรอ?ทำไมถึงได้หน้านิ่วคิ้วขมวดกลับมาล่ะครับ?”หวังฮุ่ยถอนหายใจยาวๆ: "เฮ้อ! อาหยวน ลูกยังจำป้าหลิวของลูกได้ไหม? ก็คือคนท
รอยยิ้มที่ปลอบโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจางหยวน: "แม่ครับ แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ! ลูกชายของแม่รับปากเรื่องอะไรไว้ มีเรื่องไหนบ้างที่ทำไม่เคยทำสำเร็จ? ผมมีความมั่นใจครับ!"ด้วยคำพูดเหล่านี้ของจางหยวน ทำให้หวังฮุ่ยมีความมั่นใจมากขึ้นทันทีอันที่จริง นับตั้งแต่จางหยวนกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง คำพูดที่เขาเคยพูด ล้วนกลายเป็นเรื่องจริงในที่สุด!เธออดไม่ได้ที่จะตบไหล่ของจางหยวน: "อาหยวน สมแล้วที่เป็นลูกชายที่ดีของแม่จริงๆ! แม่ภูมิใจในตัวลูกมากนะ!"เมื่อพูดถึงตรงนี้ หวังฮุ่ยก็สังเกตเห็นว่า ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเที่ยงแล้วเธอจึงรีบล้างมือแล้วเข้าไปในครัว สวมผ้ากันเปื้อนและเริ่มทำอาหารตอนที่ทางอาหารกลางวัน สองแม่ลูกเล่าเรื่องนี้ให้จางต้าซานฟังพ่อของเขาจางต้าซานไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้คัดค้าน แต่ถามจางหยวนว่าเขามีความมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะสามารถรักษาสวีจ้วงจ้วงให้หายขาดได้จางหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: "ถ้าเส้นประสาทในไขกระดูกสันหลังที่หักของเขาไม่ตายทั้งหมด ผมก็มีความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ!"“แบบนี้นี่เอง!”จางต้าซานตอบกลับหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กำชับจางหยวนอีกครั้
ในห้องนอน มีชายหนุ่มที่เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยนัยน์ตาที่เหม่อลอย และมีชามบะหมี่ที่ยังไม่ได้กินชามหนึ่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นลูกชายของป้าหลิวสวีจ้วงจ้วงไม่ได้เจอกันมาสองสามปีแล้ว เขากลับไม่ดำคล้ำเหมือนเมื่อก่อน หน้าตาก็หล่อเหลามากขึ้นเพียงแต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับจางหยวนแล้วยังห่างกันชั้นมากหวังฮุ่ยก็เหลือบมองสวีจ้วงจ้วง และอดไม่ได้ที่จะถามป้าหลิว“น้องหลิว จ้วงจ้วงยังไม่ยอมกินข้าวอีกเหรอ?”เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ป้าหลิวก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา“ไม่กิน ใครเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่กิน! ฉันล่ะกลัวจริงๆว่าเขาจะหิวจนล้มป่วยอีก!”ในเวลานี้ หวังฮุ่ยพูดถึงเรื่องที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้: "น้องหลิว ที่พี่พาอาหยวนมาที่นี่ในครั้งนี้ อันที่จริงแล้วเพราะอยากให้เขาช่วยรักษาจ้วงจ้วง!"ป้าหลิวเช็ดน้ำตา ด้วยสีหน้าท่าทางที่งุนงง“พี่หวัง อาหยวนของพี่เรียนรู้วิธีรักษาผู้คนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ฉันได้ยินมาว่า เขาสามารถรักษาโรคให้ไก่ได้ แถมยังรักษากาฬโรคไก่ในหมู่บ้านพวกพี่ด้วย!”เมื่อกล่าวถึงสิ่งนี้ ใบหน้าของหวังฮุ่ยก็ดูภูมิใจ: "เธอยังไม่รู้เรื่องนี้! ตอนที่อาหยวน
หลังจากตรวจสอบชีพจรได้ครู่หนึ่ง ใบหน้าของจางหยวนก็เผยรอยยิ้มออกมาแม้ว่าสวีจ้วงจ้วงจะได้รับบาดเจ็บที่เส้นประสาทไขสันหลังหนักมาก แต่โชคดีที่เขายังคงรักษาเส้นประสาทส่วนใหญ่เอาไว้ได้!จางหยวนคิดกับตนเองว่า ถ้าตนเองลงมือรักษา เขาจะกลับมาเป็นปกติและลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งแน่นอน!และระยะเวลาในการพักฟื้นอาจจะสั้นกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้!เมื่อได้ข้อสรุปในใจแล้ว จางหยวนก็วางมือของสวีจ้วงจ้วงลง แล้วหันกลับมาพูดกับหวังฮุ่ยและป้าหลิวว่า"ผมแน่ใจห้าถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ว่าจ้วงจ้วงจะสามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง!"เมื่อได้ยินดังนี้ ใบหน้าของป้าหลิวก็ดูประหลาดใจสวีจ้วงจ้วงที่อยู่บนเตียง อดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งตัว แล้วหันหน้าไปมองจางหยวนนับตั้งแต่เขาถูกแพทย์ประจำโรงพยาบาลประจำเทศมณฑลประกาศว่าเป็นอัมพาตตลอดชีวิตครอบครัวของพวกเขายังเชิญแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงมาตั้งหลายคนแต่หลังจากที่คนเหล่านี้จับชีพจรของสวีจ้วงจ้วงแล้วพวกเขาทั้งหมดก็ส่ายหัวและถอนหายใจ เพื่อแสดงว่าตนเองไม่สามารถรักษาได้ โดยไม่มีข้อยกเว้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จางหยวนเป็นคนแรกที่กล้าพูดว่า มั่นใจว่าจะทำให้สวีจ้วงจ้วงกลั
ส่วนศีรษะของเต่า อยู่ที่ตำแหน่งจุดบาเหลียวบนหลังส่วนล่างของเขาพอดี!นี่ไม่ใช่รสนิยมที่ไม่ดีของจางหยวนนี่คือศาสตร์การฝังเข็มชั้นยอดศาสตร์หนึ่งที่เขาตั้งใจแสดงออกมาศาสตร์การฝังเข็มเต่ายืดอายุ!อย่างที่ทราบกันดีว่า เต่ามีอายุที่ยืนยาวดังนั้นคนโบราณที่รักษาสุขภาพ ก็จะเรียนรู้จากเต่าในระดับหนึ่งกระดูกสันหลังของมนุษย์ เรียกอีกอย่างว่าเสามังกรในมุมมองของคนโบราณ กระดูกสันหลังเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณของมนุษย์!กระดูกสันหลังตรง หมายถึงเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงพลังและความมีชีวิตชีวาคนแก่ชราหลังงอหลังคด ก็หมายความว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานศาสตร์การฝังเข็มเต่ายืดอายุ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่จะกระตุ้นเส้นประสาทไขสันหลัง และส่งเสริมการซ่อมแซมกระดูกสันหลังด้วยตนเอง!แม้ว่าสวีจ้วงจ้วงจะยังหนุ่มยังแน่น แต่เส้นประสาทไขสันหลังก็ได้รับความเสียหาย จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการแบบนี้เข้ามาช่วยในการฟื้นฟู!แน่นอนว่า แม้ว่าศาสตร์การฝังเข็มเต่ายืดอายุจะยอดเยี่ยม แต่ผลที่ได้จะไม่เกิดขึ้นในทันที และจะต้องฝังเข็มหลายครั้งถึงจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนอันที่จริงแล้วตอนนี้สิ่งที่มีบทบาทหลักในการทำให้ได้ผล คือแก
ในเวลานี้ หวังฮุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็รีบถามว่า: "จ้วงจ้วง ที่หลานบอกว่าขาทั้งสองข้างมีความรู้สึกแล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบไหนเหรอ?"“ป้าหวังครับ ผมรู้สึกว่าขาของผมร้อนครับ ตั้งแต่ผมเป็นอัมพาตมา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าขาของผมร้อนครับ!” สวีจ้วงจ้วงพูดพร้อมสะอื้นพอได้ฟังเขาพูดแบบนี้ ป้าหลิวก็รีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วกอดเขาเอาไว้่ทันทีสองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ฟูมฟายกันยกใหญ่หวังฮุ่ยที่อยู่ด้านข้างเช็ดหางตาเพราะภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ทำให้รู้สึกตื้นตันใจประดุจว่าเป็นตนเองตอนนั้นจางหยวนกลายเป็นคนปัญญาอ่าน จางต้าซานก็เป็นอัมพาตอยู่บนเตียงเธอเป็นผู้หญิงตั้วคนเดียว ที่ต้องประคับประคองครอบครัวตามลำพังถ้าเทียบกับป้าหลิวในตอนนี้แล้ว ลำบากกว่ามาก!อย่างน้อย สามีของป้าหลิว เสาหลักของตระกูลสวีไม่ได้มีปัญหาอะไรเมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว หวังฮุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่จางหยวนลูกชายของตนหากไม่ใช่เป็นเพราะจางหยวนกลับมามีสติสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และแสดงศาสตร์ทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ออกมาตอนนี้ตนเองคงจะเป็นเหมือนเพื่อนสนิทคนนั้น ที่น้ำตานองหน้าตลอดทั้งวัน!จากนั้นไม่นาน เมื่
ป้าหลิวรีบลุกขึ้นเพื่อชักชวนทั้งสองให้อยู่ต่อ โดยบอกว่าจะเลี้ยงข้าวเย็นพวกเขา แต่ถูกหวังฮุ่ยปฏิเสธไปในเวลานี้ จู่ๆป้าหลิวก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ จึงรีบกลับไปที่ห้องของตนเองเธอกลับออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเงินหนึ่งแสนบาทที่อยู่ในมือ" อาหยวน ขอบคุณที่หลานรักษาจ้วงจ้วง ตอนนี้ป้าหลิวมีเงินอยู่ในมือแค่หนึ่งแสนบาท หลานเอาไปก่อนนะ ! วันหน้าถ้าป้าหลิวมีเงินมากขึ้น เป้าจะเอาเงินรักษาให้หลานอีก!" ป้าหลิวพูดกับจางหยวน“ป้าหลิวครับ คือว่า…” สีหน้าของจางหยวนเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็มองป้าหลิวด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เงินนี้ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ!”หวังฮุ่ยยังพูดด้วยน้ำที่เสียงทุ้มว่า: "ใช่แล้ว น้องหลิว ครอบครัวของเธอใช้เงินเป็นจำนวนมากในการรักษาจ้วงจ้วง! เป็นเวลาที่จะต้องใช้เงินพอดี!"“ตอนนี้ถ้าเธอเอาเงินหนึ่งแสนบาทออกมา ก็เท่ากับว่าไม่เห็นแก่หน้าพี่นะ? เพราะพี่เห็นว่าพวกเราสองคนเป็นเพื่อนกัน ถึงได้ขอให้อาหยวนมาช่วยดูอาการจ้วงจ้วงให้!”“ไม่ว่ายังไงก็ตาม จ้วงจ้วงก็เรียกพี่ว่าป้าหวัง! เอาแค่ประเด็นนี้ อาหยวนจึงไม่สามารถรับเงิน ค่ารักษาเขาได้!”คำพูดของหวังฮุ่ย ทำให้นัยน์ตาของป้าหลิวเปลี
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกลับมา ลุงจางต้าเฉิงก็กล่าวคำอำลาเช่นกันก่อนไป จางต้าเฉิงยังถามหวังฮุ่ยเรื่องหนึ่งด้วย“พี่สะใภ้ พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมบอกว่า อยากจะขายที่ดินหนึ่งไร่ข้างทางหลวง! พี่ช่วยเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย อย่าให้เขาขายที่ดินเลย!” จางต้าเฉิงกล่าว“จะว่ายังไง นั่นก็คือหลุมศพของบรรพบุรุษเชื้อสายเดียวกันกับพวกพี่! อย่าไปรบกวนคุณปู่รองคุณย่ารองทั้งสองท่านของผมเลย!”คนชนบทให้ความสำคัญกับหลุมศพของบรรพบุรุษเป็นอย่างมากในด้านนี้ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจะดีกว่าเว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุสุดวิสัย ไม่เช่นนั้นจะไม่ย้ายหลุมฝังศพของบรรพบุรุษเด็ดขาดหลังจากได้ยินจางต้าเฉิงพูดแล้ว หวังฮุ่ยก็รีบพูดขึ้นว่า“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก! ที่ดินติดทางหลวง พวกเราจะไม่ขายเด็ดขาด!”ก่อนหน้านั้น หวังฮุ่ยและจางต้าซานเคยคิดที่จะขายที่ดินไร่นั้นตอนนั้นครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นมาก ทั้งสองคนจึงได้ตัดสินใจด้วยความจนปัญญาแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!ไม่ต้องพูดถึงว่าครอบครัวของพวกเขาเพิ่งได้รับเงินสี่หมื่นบาทจากการที่จางหยวนขายโสมแม้ว่าจะไม่มีเงินสี่หมื่นบาท แต่แค่ศาสตร์ทางการแพทย์ของจางหย