ฉินเย่ตอบเธออย่างเย็นชา "ไปกันเถอะ" “เธอไปแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของฉินเย่ดูเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด "ไม่งั้นจะให้อยู่รอตุณรึไง? คุณรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?" เสิ่นหยินอู้ "..." เอามาอีกแล้ว นี่มันแทบจะเป็นน้ำเสียงตำหนิของที่คนเป็นพี่น้องกัน เป็นแบบนี้ทุกที! เสิ่นหยินอู้สลัดมือออกจากมือของเขาและตอบอย่างไม่มั่นใจว่า "แน่นอนว่าฉันรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่แล้วมันยังไงล่ะ? หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว มันก็มีเพียงแค่โยวโยวเท่านั้นที่รับตำแหน่งต่อจากฉันชั่วคราวได้ แน่นอนว่าฉันต้องไปพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือเป็นเพื่อนเธอ " สีหน้าของฉินเย่ยังคงเย็นชา "จะพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือจำเป็นต้องเป็นสถานที่แบบนี้เหรอ?" "ถ้างั้นต้องเป็นที่ไหนล่ะ?" เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "คุณว่าอะไรนะ?" เมื่อนึกถึงเรื่องการพบกันกับเฉินเฉินในคืนนี้ เสิ่นหยินอู้ยังคงรู้สึกโมโหอยู่มาก เฉินเฉินไม่เคารพเธอเพราะช่วงนี้ฉินเย่ชอบพาเจียงฉูฉู่มาที่บริษัท ซึ่งมันทำให้เกิดข่าวลือมากมายในบริษัทที่ไม่เป็นผลดีกับเธอ ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าเธอเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งซึ่งไม่ต้องการ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเธอไม่ควรขุ่นเคือ
ระหว่างทางกลับ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เงียบ สีหน้าของฉินเย่มืดมน มือของเขากำพวงมาลัยแน่นมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แรงที่เขากำนั้นแรงมากจนดูเหมือนว่าเขาต้องการจะฉีกพวงมาลัยออกเป็นชิ้นๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดก่อนขึ้นรถ ภายในใจของฉินเย่ก็รู้สึกหดหู่ ในอดีต เขาไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดถึงมัน เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ฉินเย่มองไปที่เสิ่นหยินอู้ ตั้งแต่เธอขึ้นรถมา เธอก็เอาแต่ขดตัวอยู่บนที่นั่งแล้วหลับตาลง ราวกับว่าเธอปิดกั้นโลกทั้งใบจนเหลือเพียงแค่เธอคนเดียว หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันกับเธอมาหลายปี ฉินเย่จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเธอทำงานหนักแค่ไหนเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง? แต่วันนี้เธอรู้สึกหงุดหงิด ในระหว่างทางที่เขามา เขาได้ฟังหลินโยวโยวบรรยายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เธอก็ลังเล ฉินเย่ฉลาดแค่ไหนกันเชียว? เขาถามเชิงบังคับให้เธอพูดประโยคต่อไปในทันที สมกับที่หลินโยวโยวเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆเธอ โยวโยวเห็นโอกาสจึงพูดว่า "ประธานฉิน ถ้าฉันบอกคุณ คุณจะมาตำหนิฉันไม่ได้เด็ดขาดนะคะ แล้วก็ห้ามบอกพี่หยินอู้ว่าฉันบอกคุณนะคะ"
คุณนายฉินยังไม่ได้พักผ่อน หลังจากเห็นว่าเธอปลอดภัยหายห่วงแล้ว เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คุณนายจับมือของเธอแล้วตีเบาๆ จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความจริงจัง "ย่าไม่รู้ว่าถ้าถึงตอนนั้นการผ่าตัดจะสำเร็จหรือไม่ ถ้าไม่สำเร็จ ย่าอาจไม่มีโอกาสได้เจอพวกเธอ ย่าแก่แล้ว และไม่ได้มีความปรารถนาใดเป็นพิเศษ ย่าแค่หวังว่าพวกเธอจะปลอดภัยจากภยันตรายทุกอย่างตลอดไป” หลังจากได้ยิน สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป “คุณย่าคะ ย่าพูดอะไรน่ะคะ? การผ่าตัดจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และย่าจะได้อยู่กับพวกเราไปอีกนานๆค่ะ! วันหลังคุณย่าอย่าพูดคำที่น่าหดหู่แบบนี้อีกนะคะ ไม่งั้นหนูจะโกรธคุณย่า” คุณนายฉินสังเกตเห็นว่าน้ำเสียงและสายตาของเธอล้วนเปลี่ยนไป จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ย่ารู้แล้วว่าแม่สาวน้อยคนนี้ของย่าเป็นห่วงย่าโอเค โอเค ย่าจะพยายามให้ตัวเองไม่เป็นอะไร” หลังจากพูดจบ เธอก็จิ้มไปที่แก้มของเสิ่นหยินอู้ที่กำลังป่องด้วยความโกรธเบาๆ “แม่สาวน้อย...ย่ามีความลับเล็กๆน้อยๆจะบอก” “ความลับ? ความลับอะไรเหรอคะ?” สายตาที่เต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ “เมื่อกี้ไอ
แต่ในท้ายที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเธอกลับมาที่ห้อง เธอก็พบฉินเย่นั่งอยู่บนโซฟา เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่คุณย่าพูด เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่เสื้อผ้าของเขาโดยไม่รู้ตัว เป็นแบบที่คุณย่าพูดจริงๆ เขาสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีดำตัวเดียวและนั่งพิงอยู่บนโซฟาสีเข้ม ออร่าที่มืดมนของเขาแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับโซฟา เสิ่นหยินอู้คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันจนเป็นแบบวันนี้ ที่จริงแล้ว แม้ทั้งคู่จะไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เพียงแต่ก็ไม่ได้สนิทกันเท่ากับคนที่เป็นสามีภรรยากัน การที่เธอมาถึงตรงนี้ได้ มันก็เป็นเพราะเขาช่วยเธอมามาก เสิ่นหยินอู้รู้ว่าเธอควรก้มศีรษะลงก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอยืนอยู่ตรงนั้นและมองฉินเย่อย่างเนิ่นนาน ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่พูดอะไรและเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเงียบๆเพื่ออาบน้ำ เมื่อเธอออกมา ฉินเย่ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนอนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีเสียงข้อความสองสามดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของเธอ เสิ่นหยินอู้หยิบมันออกมาดูและพบว่าเป็นหมายเลขที่เธอไม่รู้จัก “ยัยเด็กน้อย นี่เบอร์ของฉันเอง อย่าลืมบั
ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าทั้งสองจะมีสงครามเย็นกันกี่ครั้ง ฉินเย่ก็มักจะเป็นคนที่ทำลายกำแพงน้ำแข็งระหว่างพวกเขาก่อนเสมอ แน่นอนว่า แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่สีหน้าของเขาก็ยังดูแย่อยู่มาก หากเธอเมินเขา เขาจะยิ่งโกรธและกัดฟันพูดคุยกับเธอต่อไป หลังจากที่เธอคิดได้ เธอจึงพยักหน้าเบาๆ "ได้" จากนั้นสีหน้าของฉินเย่ก็อ่อนโยนขึ้น หลังอาหารเย็น ทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน เดิมทีเสิ่นหยินอู้ต้องการขับรถเอง แต่ทันทีที่เธอเดินอ้อมไปทางที่นั่งคนขับ เธอก็เห็นฉินเย่กระจกและมองเธออย่างเย็นชา "ขึ้นรถ" เมื่อคิดว่าทั้งสองคนไปงานรวมตัวด้วยกันในตอนเย็น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาเงียบใส่กันตลอดทาง เมื่อถึงที่บริษัท ต่างฝ่ายก็ต่างเดินไปที่ทำงานของตัวเอง ทันทีที่เสิ่นหยินอู้นั่งลง เธอก็ได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทของเธอโจวชวงชวง “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? การผ่าตัดของคุณย่าฉินเลื่อนออกไปแบบนี้ งั้นเรื่องของพวกเธอก็ต้องเลื่อนออกไปด้วยใช่ไหม?” "อืม" “อ่า แล้วได้บอกหรือเปล่าว่าเราต้องเลื่อนออกไปนานแค่ไหน?” “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ตอนนี้คุณย่ายังพักผ่อนอยู่ น่าจะต้องแล้วแต่คุณย่าน่ะ” “……” โจ
เสียงที่เย็นชาดังออกมาจากโทรศัพท์ แม้ว่าเสิ่นหยินอู้คิดที่จะตัดสาย แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เสียงก็ดังออกมาเองจนจบ เสิ่นหยินอู้ "....." ทำยังไงดี? เธอคิดว่าชวงชวงไปทำธุระเสร็จแล้ว และเธอเดาว่าเมื่อชวงชวงกลับมาก็คงจะตะโกนด่าใส่เธอเกี่ยวกับไอสารเลวที่แย่กว่าเจ้านายของชวงชวง ใครจะไปรู้ว่าชวงชวงจะพูดถึงเรื่องของเธอ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าของหยินอู้ก็เปลี่ยนไป เธอลุกขึ้นและเปิดประตู ด้านนอกประตูนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอให้หลินโยวโยวปิดประตูในตอนที่เธอออกไป เธอคงไม่น่าจะอยู่ตรงนี้แล้วถึงจะถูกต้อง เธอคงไม่ได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้ อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ยังคงไม่วางใจ เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและสำรวจอยู่สักพักหลัง จากแน่ใจว่าไม่มีใคร เธอจึงกลับเข้าห้องไป จากนั้นเธอก็ลบข้อความเสียงที่โจวชวงชวงส่งมาให้เธอทิ้ง จากนั้นก็ต่อว่าชวงชวงอย่างรุนแรง เมื่อเห็นว่าเธอโกรธ โจวชวงชวงก็รีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว และขอโทษเธอด้วยวิธีต่างๆมากมาย เธอแค่ตื่นเต้นเกินไป ครั้งหน้าจะไม่ให้เป็นแบบนี้อีก ในอีกด้านหนึ่งณ บันได
เพราะสาเหตุก็มาจากฉินเย่ เนื่องจากเมื่อครู่นี้เขาตกใจเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เมื่อหลินโยวโยวเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร เธอก็ลดเสียงลงแล้วถามว่า "คุณว่ามันเป็นแบบนั้นไหม? หรือว่าคุณไม่คิดว่านี่เป็นการหักหลังงั้นเหรอ?" หลี่ผิงจุนไม่มีอะไรจะพูด เมื่อคิดแทนเลขาเสิ่น เขาก็เข้าใจได้ และถึงขั้นโกรธแทนเธอด้วยซ้ำ “คุณไม่พูดนี่คือคุณยอมรับแล้วใช่ไหม? งั้น…” หลินโยวโยวพูดเบาๆว่า “เรื่องในวันนี้ พวกเราเก็บไว้เป็นความลับกันก่อนแล้วกัน” หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่ผิงจุนก็พยักหน้าเห็นด้วย “ผมรู้ เรื่องแบบนี้ เราไม่ควรพูดถึงมันด้วยซ้ำ” “งั้นก็ดี งั้นก็ถือซะว่าเราไม่ได้ยินก็แล้วกัน ที่เลขาเสิ่นเป็นอยู่ในตอนนี้ก็น่าสงสารมากพอแล้ว เราไม่ควรสร้างปัญหาให้เธอเพิ่ม” "แต่...." หลี่ผิงจุนขมวดคิ้ว "ผมไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมเลขาเสิ่นถึงไม่บอกประธานฉินล่ะ? ถ้าเธอบอกประธานฉิน บางทีประธานฉินอาจจะไม่ติดต่อไปมาหาสู่กับเจียงฉูฉู่อีกเลยก็ได้" "โอ้ย" หลินโยวโยวทำเสียงที่ดูเหยียดหยามมาก "นี่นายอายุเท่าไรแล้ว ยังมาพูดเรื่องบ้าบอที่ใช้ลูกมาเป็นข้ออ้างเพื่อผูกมัดผู้ชายเอาไว้อีก" หลี่ผิงจุนรู้สึกป
"ผู้ชายหลายใจ!" “คุณพูดว่าอะไรนะ?” ฉินเย่หรี่ตาลงด้วยความไม่พอใจ ออร่าของเขารุนแรงขึ้นมาในทันที เสียงที่เย็นชาทำให้ผู้ช่วยหลี่ได้สติ ให้ตายเถอะ ไม่ใช่ว่าเขาแค่สาปแช่งอยู่ในใจเพื่อความสะใจหรอ? ทำไมเขาถึงพูดออกมาล่ะ? หลี่ผิงจุนรู้สึกพูดไม่ออกกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในที่ทำงาน เขาจึงรับมือกับมันได้อย่างรวดเร็ว “ขอโทษทีครับประธานฉิน ผมไม่ได้พูดถึงคุณ เมื่อคืนผมดูละครน้ำเน่ากับแม่มา พระเอกในเรื่องนั้นมันเป็นผู้ชายหลายใจ!” ใช่แล้ว ถูกต้อง เขาอธิบายออกไปแบบนี้ ละครน้ำเน่า? ฉินเย่ขมวดคิ้วและจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ "นี่คือสิ่งที่คุณคิดในเวลาที่คุณทำงานหรอ?" โอ้ย คิดเรื่องนี้แล้วมันทำไมล่ะ? ตอนที่คุณทำงาน คุณก็ไปเล่นชู้กับผู้หญิงด้วยไม่ใช่หรอ? ฮ่าๆๆ! แน่นอนว่าหลี่ปิงปิงไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้ออกมา “เปล่าครับประธานฉิน จู่ๆผมก็แค่นึกขึ้นมาได้ระหว่างทางมาที่นี่ ที่สำคัญคือละครเรื่องนี้น้ำเน่าเกินไป แล้วพระเอกก็น่าขยะแขยงจริงๆ เขาไปพัวพันกับผู้หญิงสองคนโดยไม่ทำตัวให้ชัดเจนกับคนใดคนหนึ่ง ประธานฉินว่า แบบนี้ไม่ใช่ผู้ชายหลายใจหรอครับ?” “ผมไม่มีเวลามาฟังคุ