เมื่อเทียบกับโม่ไป๋ที่ยังคงมีความรู้สึกเป็นเด็กอยู่เมื่อห้าปีที่แล้ว เขาในตอนนี้ดูโตขึ้นอย่างมั่นคงและสง่างาม ซึ่งทำให้ผู้คนแทบจะละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย “โม่ไป๋” ทุกคนยืนมาขึ้นเพื่อทักทายเขา โม่ไป๋ยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าให้ทุกคน สายตาของเขามองสำรวจไปรอบๆสถานที่ เขาไม่เห็นคนที่เขาต้องการจะเจอ ดังนั้นเขาจึงหยุดคิด คืนนี้ยัยเด็กน้อยคงจะไม่ได้ไม่มาสินะ? ไม่น่าใช่ ฉินเย่ยังไม่ปรากฏตัว และด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของเธอ เธอก็คงจะมากับฉินเย่ ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ ที่ด้านหลังเขาก็มีเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น "ขอถามหน่อย……" "ฉูฉู่!" ก่อนที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นจะพูดจบ คนในห้องก็ตะโกนเรียกชื่อของเจียงฉูฉู่ขึ้นมา ฉูฉู่ก็เข้าใจได้ว่าห้องนี้เป็นสถานที่ที่เธอกำลังหาอยู่ โม่ไป๋หันกลับไป เขากวาดสายตาไปมองเจียงฉูฉู่ที่แต่งตัวเซ็กซี่ และก้มหัวพยักหน้าให้เธอ ภายในดวงตาของเจียงฉูฉู่เปล่งประกายอย่างน่าทึ่ง ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายตรงหน้าเธอทำให้เธอจำได้อย่างรวดเร็วว่าบุคคลนี้เป็นใคร “โม่ไป๋??” หลังจากคำถามที่มีความตกใจเล็กน้อยของเธอ โม่ไป๋พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยและยกมือขึ้นเพื่อดัน
จนกระทั่งมีคนในห้องถามว่า "ฉินเย่จะมางานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของโม่ไป๋ไหม?" “ต้องมาอยู่แล้วล่ะ ตอนนั้นพวกเขาเป็นถึงเพื่อนสนิทกัน” “ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยล่ะ?” ใช่สิ ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยล่ะ? เจียงฉูฉู่มองไปที่โทรศัพท์ของเธอโดยไม่รู้ตัว เธอส่งข้อความไปหาฉินเย่ก่อนออกมา โดยถามว่าเขาถึงไหนแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาจะยังไม่ตอบเธอ ดังนั้นเจียงฉูฉู่จึงเดาว่าเขาอาจจะกำลังขับรถอยู่ ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะตอบข้อความ แต่เธอก็มาถึงแล้ว และเวลาผ่านไปนานมากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มา แล้วก็ไม่ได้ตอบกลับข้อความของเธอ เจียงฉูฉู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเพื่อนของเธอเห็นเธอถือโทรศัพท์ ในแววตาของเธอก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา จากนั้นก็พูดต่อหน้าทุกคนว่า "ฉูฉู่ ทำไมเธอไม่โทรไปถามฉินเย่ล่ะ? ถ้าเธอโทรไป เขารับสายแน่นอนอยู่แล้ว" หลังจากได้ เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่เพื่อนคนที่พูดโดยไม่รู้ตัว เพื่อนคนนั้นขยิบตาให้เธอเป็นการส่งสัญญาณให้เธอโทร อันที่จริง ฉูฉู่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร พวกเธอแค่อยากช่วยฉูฉู่พิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างฉูฉู่กับฉินเย่ต่อหน้าทุกคน แต่...
และถ้ามีความรู้สึกให้แก่กันจริงๆก็คบกันไปนานแล้ว ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันโดยแต่งตัวแบบนี้ นั่นทำให้ทุกคนต้องถอนหายใจเล็กน้อย และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเจียงฉูฉู่ที่อยู่ตรงนั้น ในตอนนี้เจียงฉูฉู่รู้สึกรับไม่ได้อยู่ภายในใจ เนื่องจากสองคนนี้แต่งตัวแบบนี้ จึงดูเหมือนว่าเธอกำลังโดนพวกเขาต่อยหน้าเข้าให้ ความตื่นตระหนกในใจของเธอแผ่ขยายออกไป สิ่งต่างๆเริ่มอยู่เหนือการควบคุมของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อมีผู้คนมากมายอยู่ตรงนั้น เธอก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองต้องเสียหน้าได้ เมื่อคิดถึงถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็ยืนขึ้นและเดินไปหาเสิ่นหยินอู้ และควงแขนของเธออย่างอบอุ่น “ไม่เป็นไร มาช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก มาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว เธอนั่งด้วยกันกับฉันสิ” เสิ่นหยินอู้ได้เห็นธาตุแท้ของเธอ และรู้ว่าเธอชอบแสดงละครต่อหน้าทุกคน ดังนั้นเมื่อเธอควงแขนของหยินอู้ หยินอู้ก็หรี่ตาลงและก็ไม่ปฏิเสธ หยินอู้เดินตามเธอไปและนั่งข้างๆเธอ ทุกคนประหลาดใจ สายตามองไปยังใบหน้าของทั้งสองคนครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ฉินเย่นั่งลงข้างๆโม่ไป๋โดยธอัตโนมัติ "มาแล้ว"
ประโยคนี้ จริงๆแล้วเจียงฉูฉู่ๆพนันกับมัน เนื่องจากพฤติกรรมของฉินเย่ในช่วงนี้แปลกมาก หากเธอไม่ได้ใช้บุญคุณที่เสิ่นหยินอู้ติดเธอไว้เพื่อควบคุมเธอ เธอคงสงสัยว่า เสิ่นหยินอู้จะบอกฉินเย่เกี่ยวกับเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอไปแล้ว สิ่งที่น่าตลกคือ แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะเป็นศัตรูหัวใจของเธอ แต่ในด้านการรักษาคำพูด เจียงฉูฉู่ก็ยังคงเชื่อในตัวเธอ ไม่เช่นนั้น...เธอคงไม่พยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้เสิ่นหยินอู้เป็นหนี้บุญคุณเธอ! อย่างที่คิด หลังจากที่เธอพูดคำพูดนั้น อารมณ์ของทุกคนก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีก “สถานะอะไร?” ทุกคนหัวเราะ "ฉูฉู่ เธอคงไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เย่อยู่ในสถานะที่มีภรรยาอยู่แล้วใช่ไหม?" “พระเจ้า พวกเขาแต่งงานปลอมๆหนิ ใครไม่รู้บ้างว่าเธอเป็นหนึ่งเดียวในใจของเย่ล่ะ” “ใช่แล้ว และฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้ก็เป็นเพื่อนวัยเด็กกัน ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็กๆ ระหว่างทั้งสองคนจะรักกันได้ยังไง?” ทุกคนพูดคุยกันเอง จากนั้นฉินเย่ก็ขมวดคิ้วและมองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่รู้ตัว เสิ่นหยินอู้ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาและจิบมันเบาๆด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เธอจิบมันและพบว่าน้ำผลไม้มีรสชาติที่ไ
“ซูเชี่ยว…” เจียงฉูฉู่ดึงเพื่อนที่อยู่ข้างเธอแล้วพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีว่า "หยุดพูดได้แล้ว" “ฉูฉู่ เธอดึงฉันไว้ทำไมล่ะ? ฉันแค่กำลังพูดกับเธออย่างเป็นกันเอง คุณหนูเสิ่นคงไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นใช่ไหม?” ในขณะที่เธอกำลังพูด เสิ่นหยินอู้ก็หยิบแก้วไวน์แดงที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา มือของเธอที่ถือแก้วทรงสูงนั้นแกว่งไปมาเบาๆ และของเหลวสีแดงก็เปล่งประกายแวววับอย่างมีเสน่ห์ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง การกระทำนี้ทำให้ใบหน้าของซูเชี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เธอคิดจะทำอะไร?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองเธอ สายตาเธอมีความประหลาดใจแฝงอยู่เล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็นึกอะไรบางอย่างได้และหัวเราะออกมาดังๆ "ทำไมล่ะ? คุณคิดว่าฉันจะสาดใส่คุณเหรอ? ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ใจแคบ และจะไม่ทำให้ไวน์แดงต้องสัมผัสกับใบหน้าของคุณหรอก ” แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอพูดจาเหน็บแนมจนทำให้ใบหน้าของซูเชี่ยวดูแย่มาก เธอต้องการจะระเบิดอารมณ์ และก็ถูกฉูฉู่ที่อยู่ข้างๆจับไว้ จากนั้นฉูฉู่ก็ส่งสายตาไปให้เธอ ในที่สุด ซูเชี่ยวก็สงบลง แต่เธอกลับเบะปากอย่างไม่พอใจ ภายในดวงตา
ภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงัด พวกคนที่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะมีโชว์เกิดขึ้น พวกเขาต่างก็เงียบกริบเหมือนกับไก่ ในอากาศดูเหมือนว่าจะปกครุมไปด้วยออร่าที่เย็นยะเยือก ฉินเย่นั่งอยู่ตรงนั้น เขามองไปยังหญิงสาวผมสีเหลืองด้วยดวงตาที่เย็นชา สายตาของเขาดุร้ายรุนแรงราวกับดาบที่คมกริบ ความเย่อหยิ่งที่ทะนงตนของหญิงสาวก็ลดลงไปในทันที เธอก็หดตหัวหดคอและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้เธอไปสบตากับฉินเย่โดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาคู่นั้นของเขาดูเหมือนกับจะฆ่าเธอให้ตาย เธอหดตัวอยู่ที่ด้านหลังเจียงฉูฉู่ ในตอนนี้ เจียงฉูฉู่ไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนหน้าไว้ได้อีกต่อไป เธอมองไปที่ซูเชี่ยวซึ่งแอบอยู่ข้างหลังเธอ และทำได้เพียงขอร้องฉินเย่ “เย่ อย่าโกรธเลยนะ ซูเชี่ยวเป็นคนพูดจาโผงผาง แต่ที่จริงเธอก็ไม่ได้คิดทำร้ายอะไร ซูเชี่ยว รีบขอโทษเสิ่นหยินอู้สิ” ภายในดวงตาของซูเชี่ยวมีความไม่พอใจแวบขึ้นมา ฆ่าเธอให้ตายยังจะดีเสียกว่าให้เธอมาขอโทษเสิ่นหยินอู้ แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่น่าสะพรึงกลัวคู่นั้นของฉินเย่ เธอจึงทำได้เพียงมองไปที่เสิ่นหยินอู้ และกัดฟันแล้วพูดว่า "ฉันขอโทษ"
ซูเชี่ยวจับชายเสื้อของเจียงฉูฉู่แน่น เธอเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ "ฉูฉู่....." ที่จริงแล้ว ที่เธอกล้าที่จะหยิ่งทะนงเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะว่าฉูฉู่มีตำแหน่งที่สำคัญอันยากที่จะสั่นคลอนอยู่ในใจของฉินเย่ ตราบใดที่ฉูฉู่ขอร้องเขา ฉินเย่ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้จะกลับตาลปัตร “ฉูฉู่ ช่วยฉันด้วย” ซูเชี่ยวดึงชายเสื้อของเจียงฉูฉู่ และขอร้องเธอด้วยเสียงเบาๆ ภายในใจของฉูฉู่ยุ่งเหยิงไปหมด เธอต้องการช่วยซูเชี่ยวเพราะซูเชี่ยวต้องการพิสูจน์ตำแหน่งของเธอในหัวใจของฉินเย่ต่อหน้าทุกคน แต่ตอนนี้ฉินเย่แน่วแน่มาก มากจนไม่แม้แต่จะมองตาเธออีกต่อไป จี้ชิงเป่ยซึ่งนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆมาโดยตลอด ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพูดเบา ๆ “ฉูฉู่ ไม่ต้องพยายามโน้มน้าวเขาแล้ว ตอนนี้เขาโกรธจนควันขึ้นหัวแล้ว มันไม่มีประโยชน์” เมื่อได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็ตอบสนองในทันทีและมองไปที่ฉินเย่ เขาลดสายตาต่ำลง ขนตาสีดำยาวของเขาซ่อนอารมณ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในดวงตาของเขาไว้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความโกรธที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายของเขาได้ เขากำลังโกรธอยู่ เจียงฉูฉู่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าหากเธอขอร้องแทนซูเชี่ยวอีกครั้งในเวลา
มันช่างชัดเจนนักว่านี่คือสายตาของใคร แต่เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจ เธอถือแก้วแล้วก้มศีรษะลงเพื่อจิบมัน แน่นอนว่ามันมีรสชาติเหมือนกันกับแก้วที่เธอดื่มก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ใกล้มากพอ โม่ไป๋ก็สามารถมองเห็นริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอที่กำลังจิบเบาๆอยู่ที่ปากแก้ว สีที่ริมฝีปากของเธอแตกต่างจากปากแก้ว เมื่อมองไปเรื่อยๆก็ทำให้เขารู้สึกปากแห้งเล็กน้อย โม่ไป๋ยกมือขึ้นไปดันแว่นตาเล็กน้อย และบังคับให้ตัวเองลากสายตาไปทางอื่น และถามเบาๆว่า "เธอไม่สนใจแล้วหรอ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว โม่ไป๋ยิ้มเล็กน้อยและลดเสียงของเขาลง “ผมหมายความว่า ทุกคนพูดแบบนั้นหมด เธอไม่สนใจเลยเหรอ?” ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างสองคำถามก่อนและหลัง ต้องไม่ต้องสน ถึงจะไม่สนใจคำพูดของคนพวกนั้นได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดเช่นนั้น มุมปากของเธอก็โค้งงอขึ้น “ก็มันคือเรื่องจริง” พวกเขาทั้งสองแต่งงานปลอมๆกัน แล้วมันมีอะไรที่พูดออกมาไม่ได้ล่ะ? สนใจไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ดวงตาของโม่ไป๋ที่ซ่อนอยู่หลังแว่นมืดลงเล็กน้อย และมันก็มีความกังวลแฝงอยู่ เสิ่นหยินอู้ที่เป็นเช่นนี้ทำให้เขาถึงก