เมื่อโจวชวงชวงได้ยินเรื่องการทำแท้ง ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบโต้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว"ทะ ทำไมกัน?"“จะทำไมอีกล่ะ?”"แต่……"โจวชวงชวงพูดอย่างไม่เต็มใจว่า: "สองปีนะ เธออยู่กับเขามาสองปีแล้ว เขาไม่มีความทรงจำกับเธอสักครึ่งนาทีเลยเหรอ? และลูกคนนี้ก็ไม่ใช่ของใครอื่น นั่นเป็นลูกของฉินเย่เลยนะ ในฐานะสามีและพ่อ เขามีความเมตตาบ้างไหม?”เสิ่นหยินอู้เงียบไปหากก่อนที่จะส่งข้อความไป เธอได้จินตนาการถึงฉินเย่สักนิดจินตนาการในตอนนี้ของเธอก็สลายไปแล้วอย่างแท้จริงบนอินเตอร์เน็ตมีคำพูดที่เป็นที่นิยมมากพูดเอาไว้ว่าอย่างไร?โอ้ ใช่แล้ว……ลูกของคุณจะเป็นลูก ก็ต่อเมื่อเขารักคุณเมื่อไม่รักคุณ ไม่ต้องพูดถึงลูกเลย แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำโจวชวงชวงกล่าวต่อว่า: "ต่อให้ไม่นับสองปีนี้ แต่เธอก็เติบโตมาด้วยกัน เป็นคู่รักที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือไง? หยินอู้ เธอไม่ได้บอกกับเขาไปชัดเจนหรือเปล่า? ไม่เช่นนั้น..…. ""ชวงชวง" เสิ่นหยินอู้ขัดจังหวะเธอขึ้นอย่างใจเย็น "อย่าพูดอะไรอีกเลย"เรื่องนี้ ยิ่งพูดถึงมากขึ้นเท่าไหร่ก็มีแต่จะทำให้เธออับอายมากขึ้นเท่านั้นครั้งเดียวก็เพียงพ
ไม่แปลกใจเลยที่เธอตื่นขึ้นมาในรถของฉินเย่"พี่หยินอู้ พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าประธานฉินนั้นกังวลแค่ไหนในตอนที่ฉันไปบอกประธานฉินว่าพี่หมดสติไป"เมื่อหลินโยวโยวพูดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ คือกำลังพยายามทำให้ตัวเองพอใจอยู่หรือเปล่า?เธอจึงพิจารณาและตอบไปว่า: "จริงเหรอ? กังวลขนาดไหนเหรอ?"หลินโยวโยวยิ้มเล็กน้อยอย่างเขินอาย“ถึงอย่างไรฉันก็อยู่ที่ฉินกรุ๊ปมาหลายปีแล้ว นอกจากเมื่อวาน ฉันก็ไม่เคยเห็นประธานฉินแสดงสีหน้าเช่นนี้มาก่อนเลยค่ะ ในเวลานั้นข้าง ๆ เขามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงกำลังรายงานเรื่องงานต่อเขาอยู่ พอได้ยินว่าพี่หมดสติไปแล้ว แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ยังเพิกเฉยใส่ และเขาก็วิ่งเข้ามาอุ้มพี่ขึ้นรถไปโดยตรงด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลมากเลยค่ะ”พอพูดมาถึงในตอนท้ายของประโยค หลินโยวโยวก็กระพริบตาแล้วพูดว่า: "ประธานฉินต้องใส่ใจพี่มากแน่นอนค่ะ""ใช่เหรอ?"เสิ่นหยินอู้มองดูเธอแล้วพูดว่า: "เมื่อวานเธอเห็นผู้หญิงคนอื่นข้างกายเขาหรือเปล่า?"ประโยคเดียว ก็ทำให้ความคิดของหลินโยวโยวที่จะต่อสู้กับCPของสำนักงานก็มอดดับลงไปอย่างสิ้นเชิงเธอยืนอยู่ตรงจุดเดิมเป็นเวลานาน โดย
“ว้าว ถ้าคุณว่าแบบนั้น ฉันคิดว่ามันก็เป็นไปได้นะ”“ก็ใช่ไง ผู้หญิงรวยๆที่ไหนจะทำงานเป็นเลขาในบริษัทหละ?”“แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมถึงต้องอยากแต่งงานปลอมๆหละ”“ คิดว่าคงต้องมีเหตุผลแหละ ฉันได้ยินมาว่าเลขาเสิ่นและประธานฉินโตมาด้วยกัน ในตอนที่ตระกูลเสิ่นล้มละลาย ประธานฉินก็คบหาอยู่กับเธอ เขาคงอยากจะช่วยเหลือเธอ พอมันเป็นยังงี้ ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครกล้าที่จะรังแกเลขาเสิ่นแล้ว”“แบบนี้นี่เอง ประธานฉินของเราเป็นคนดีจริงๆ”“ฉันยังเคยได้ยินมาว่า ประธานฉินของเรารอเจียงฉูฉู่คนนั้นที่เดินทางไปต่างประเทศอยู่ตลอดเลยแหละ ช่างเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์และรักเดียวใจเดียวจริงๆ ก็สมกับเป็นประธานฉินของเราแหละน้า”ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังคุยกัน เสิ่นหยุนอู้ก็ยืนฟังอยู่ข้างหลังโดยไม่ขยับไปไหน สีหน้าของเธอสงบราวกับว่าคนที่กำลังถูกนินทาอยู่นั้นไม่ใช่ตัวเธอจนกระทั่งรถของเจียงหนิงฉวนมาจอดอยู่ตรงหน้าทุกคน จากนั้นหน้าต่างรถก็ถูกลดระดับลง ทำให้เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเจียงหนิงฉวน "ขึ้นมาบนรถเถอะ"เสิ่นหยินอู้ขึ้นไปบนรถของเจียงหนิงฉวนต่อหน้าต่อตาทุกคนหลังจากที่รถขับออกไปไกลแล้ว คนเหล่านั้นที่เพิ่งคุย
เจียงหนิงฉวนไม่ได้พูดประโยคถัดไป แต่น้ำเสียงของเขาได้แสดงอารมณ์ของเขาออกมาอย่างชัดเจนเขารู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากเสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงรู้สึกขอบคุณที่เขาไม่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของเธอ ไม่เช่นนั้นน้ำเสียงของเขาคงจะแย่ยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก อาจเป็นเพราะความเงียบของเธอ ดังนั้นเจียงหนิงฉวนจึงไม่ได้พูดอะไรอีกและพาเธอไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากสั่งอาหารแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า "รอพี่ที่นี่สักพัก พี่จะออกไปข้างนอกสักสิบนาที" “โอเค” เสิ่นหยินอู้พยักหน้า ไม่มีแรงมากพอที่จะอยากรู้ว่าเขาต้องการจะไปทำอะไร สิบนาทีต่อมา เจียงหนิงฉวนกลับมาพร้อมกับถุงใบหนึ่ง "เอาไปสิ" "อะไรหนะ?" เจียงหนิงฉวนพูดว่า "ยาไง เธอไม่ได้ป่วยอยู่เหรอ? โตขนาดนี้แล้ว เธอก็ควรจะมียาที่ใช้บ่อยๆเตรียมไว้กับตัวเองบ้างนะ ถ้ารู้สึกไม่สบายจะได้มียากิน" เสิ่นหยินอู้มองดูถุงด้วยความสับสน "แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไร" “ถ้างั้นก็เตรียมไว้สำหรับครั้งต่อไป” "ก็ได้" เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับถุงยาไว้ ในนั้นบรรจุยาสามัญประจำบ้านที่หาได้ทั่วไปเอาไว้ ซึ่งค่อนข้างครอบคลุมพอสมควร “ขอบคุณค่ะพี่หนิ
เจียงหนิงฉวนกลับมาจากความคิดของเขา เขามองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เธอแต่งตัวเรียบง่ายมาก ผมที่ยาวคลุมไหล่ทัดไว้หลังใบหูแบบลวกๆ วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงดูสวยราวกับป่วยเป็นโรค ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร เจียงหนิงฉวนเป็นคนที่มีความตระหนักรู้ในตนเอง เขารู้อยู่เสมอว่าเขาไม่ดีเท่าฉินเย่และไม่คู่ควรที่จะไปเปรียบเทียบกับเขา เมื่อตระกูลเสิ่นล้มละลาย เขาไปหาเธอในหลายๆที่ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ไม่ได้มีตำแหน่งและฐานะอะไรมาก เขาจึงไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยเธอได้เลย แม้กระทั่งประธานของบริษัทแห่งหนึ่งยังบอกกับเขาโดยตรง “เจียงหนิงฉวน คุณเก่งและโดดเด่นมาก ผมเห็นถึงศักยภาพและความสามารถของคุณ แต่ตอนนี้ครอบครัวเสิ่นตกต่ำแล้ว คนฉลาดควรรู้ว่าจะต้องตัดสินใจยังไง คุณสามารถมาที่บริษัทของผมได้” ในเวลานั้น หลายคนไม่เพียงแต่ไม่อยากยื่นมือมาช่วย แต่ถึงขนาดต้องการแย่งชิงตัวเขาไปด้วยซ้ำ “ตระกูลเสิ่นจะไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีก แต่ให้จะมีบางคนเต็มใจที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในตอนนี้ ตระกูลเสิ่นก็ไม่มีวันรักษาความรุ่งโรจน์เหมือนดั่งในอดีตเอาไว้ได้” “ดังน
เธอตอบกลับว่า "เดี๋ยวกลับไปตอนเริ่มงาน" หลังจากนั้น ฉินเย่ก็ไม่ตอบกลับ เธอเก็บโทรศัพท์ของเธอลงไปแล้วพูดกับเจียงหนิงฉวนว่า "ฉันรู้ พี่หนิงฉวน" สายตาของเจียงหนิงฉวนมองไปที่โทรศัพท์ของเธอครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ข้อความจากเขาเหรอ?" เสิ่นหยินอู้หยุดชั่วคราวและพยักหน้า เจียงหนิงฉวนไม่พูดอะไรได้อีก พวกเขาทั้งสองกินอาหารที่เหลือต่ออย่างเงียบๆและเช็คบิล จากนั้นเจียงหนิงฉวนก็ไปส่งเธอ เมื่อเสิ่นหยุนอู้เข้าไปในลิฟต์ เธอก็พบว่าเจียงหนิงฉวนตามเธอเข้ามา เธอประหลาดใจเล็กน้อย "พี่ก็จะไปเหรอ?" เพราะที่ทำงานที่ทั้งสองคนทำงานอยู่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เจียงหนิงฉวนสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วพูดด้วยสีหน้าสงบ "พี่จะไปหาประธานฉิน มีเรื่องจะรายงานพอดี" หลังจากออกจากลิฟต์แล้ว เจียงหนิงฉวนก็ยกมือขึ้นและมองไปที่เวลาบนนาฬิกาของเขา จากนั้นก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า “เหลืออีกสิบนาทีก่อนที่จะเริ่มทำงาน คงไม่เหมาะที่จะไปหาประธานฉินในตอนนี้” เสิ่นหยินอู้พูดว่า "ถ้างั้นก็ไปอยู่ที่ห้องทำงานของฉันสักพัก" "ได้" เมื่อไปที่ห้องทำงานของเสิ่นหยินอู้ ไม่จำเป
เมื่อถูกเขามองด้วยสายตาเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็สูญเสียความเป็นตัวเองไปเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เธอออกไปตอนเที่ยง เขาไม่ได้มาที่บริษัทด้วยกันกับเจียงฉูฉู่หรือ? ทำไมเจียงฉูฉุ่ถึงไม่อยู่ในห้องทำงานของเขา? ขณะที่เธอกำลังคิด เจียงหนิงฉวนก็ถามอะไรบางอย่างกับเธอ เสิ่นหยินอู้จึงเรียกสติกลับคืนมาได้และตอบสนองอย่างรวดเร็ว เมื่อรายงานสิ้นสุดลง เจียงหนิงฉวนก็เตรียมที่จะออกไป ฉินเย่พยักหน้าอย่างไม่แยแส ทันทีที่เจียงหนิงฉวนเดินออกไป สายตาของฉินเย่ก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่ปกปิดใดๆ ก่อนหน้านี้เธอยืนอยู่ข้างหลังเจียงหนิงฉวน และยังให้เขาบังเธอไว้ ในตอนนี้ จะเลี่ยงก็เลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ ในเวลานี้ จู่เจียงหนิงฉวนที่กำลังจะเดินไปถึงประตูห้องทำงานก็หันกลับมามองที่เสิ่นหยินอู้ "หยินอู้ พรุ่งนี้พี่จะมารับเธอตอนเที่ยงอีกนะ?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ทำตัวไม่ถูก ฉินเย่ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น “ประธานฉิน คุณคงไม่ถือสาสินะถ้าผมจะขอคุยกับเลขาเสิ่นสักหน่อย?” เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว เขากำลังจะทำอะไร? แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบสนองอะไ
หรือเขาแค่แกล้งทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น? “ทำไมคุณถึงไม่พูดหละ?” ฉินเย่บีบคางของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความว้าวุ่นใจของเธอ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “เป็นอะไรไปหละ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่คุ้นเคยตรงหน้า ริมฝีปากสีชมพูของเขาเปิดออก แต่เขากลับลังเลที่จะพูด เธออยากจะพูดและถามอะไรบางอย่างจริงๆ แต่เมื่อคำพูดนั้นกำลังจะออกมา เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอนั้นไร้เรี่ยวแรง... เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ ถ้าหากเขาก้มหน้าลงและถามเธอว่า "ผมแค่อยากเหลือศักดิ์ศรีไว้ให้คุณ ก็เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เสิ่นหยินอู้ ทำไมคุณถึงไร้เดียงสาขนาดนี้?" ถ้าเขาพูดอย่างนั้น แล้วจะทำยังไงหละ? ตอนนี้ทุกคนก็รู้หมดแล้ว ถ้าเธอจัดการมันอย่างเงียบๆด้วยตัวเอง มันก็คงจะดีกว่า “ไม่มีอะไร” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว ดวงตาของฉินเย่หม่นลงเล็กน้อย มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขารู้สึกว่าช่วงนี้เธออารมณ์แปรปรวนอยู่บ่อยๆ จู่ๆเธอก็ดูห่างเหินกับเขามาก ไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกเสน่หาที่พวยพุ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสิ้นเชิงใน ฉินเย่ป