หาไม่เจอต่อให้ขุดดินห้องหนังสือลึกลงไปสามฟุต พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินก็หาไม่เจอ“นายท่าน ไม่มีขอรับ”“ทางนี้ก็ไม่มีขอรับ…”“ไม่มีขอรับ…”ภายในห้องหนังสือที่ยุ่งเหยิง เฟิงเจิ้งอวี้ยืนอยู่ตรงใจกลางสุด อยู่ท่ามกลางความยุ่งเหยิง สองมือไขว้หลัง ดวงตาปิดสนิทมาโดยตลอดเขาประมาทเกินไป!ตอนนั้น หลังจากเหตุการณ์โรคระบาดในเมืองตงหนิงถูกเปิดเผย เขาก็ไม่ควรเก็บอูหนูไว้แล้ว หากฆ่าอูหนูทิ้งตั้งแต่แรก ก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในวันนี้หรือจดหมายฉบับนั้นยังอยู่ในมืออูหนู?หรืออูหนูอยากข่มขู่เขา?เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากจะข่มขู่ อูหนูก็ปรากฏตัวนานแล้ว และไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้ทันใดนั้น มีบางอย่างแลบเข้ามาในสมองเฟิงเจิ้งอวี้เงยหน้ากะทันหัน พุ่งออกไปกระชากคอเสื้อองครักษ์ลับคนหนึ่ง เสียงที่ตั้งคำถามสั่นเล็กน้อย“วันนั้น ห่อผ้าที่สกัดกั้นตรงประตูวัง แน่ใจนะว่าขวางไว้ทั้งหมดแล้ว?”ความหมายของเขาคือ ขวางห่อผ้าลับไว้หนึ่งใบ ยังมีใบอื่นอีกใช่หรือไม่? ความหมายของเขาคือ จวนอ๋องเฉินไม่ได้ส่งห่อผ้าออกไปแค่หนึ่งใบ แต่เป็นสองใบ สามใบ หรือมากกว่านั้น?องครักษ์ลับนึกถึงความเป็นไปได้นี้ย้อนหลัง พลันตื่นตระหนก“
คืนนี้ ฝนตกปรอยๆ ลมเย็นพัดผ่านเย็นเข้ากระดูก หนาวเย็นราวกับเข้าสู่ฤดูหนาวในชั่วค่ำคืนจวนอ๋องเฉิน“ฮัดชิ้ว…” เสียงจามที่ชัดเจนทำลายความเงียบของจวนอ๋อง“พระชายา คืนนี้หนาวเป็นพิเศษ รีบคลุมเสื้อคลุมให้ดี ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ” เยว่เอ๋อร์คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้ฉู่เชียนหลีอย่างเอาใจใส่มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีซุกอยู่ในแขนเสื้อ นางสูดน้ำมูก เดินเข้าไปในเรือนหานเฟิง“ไปเรียกคนมาสองคน ยกเฟิงเย่เสวียนออกไป ข้าจะนอนเตียงของเขา”เยว่เอ๋อร์ “?”มึนงงครู่หนึ่ง “เพราะ เพราะอะไร?”“เพราะเขานอนอยู่บนเตียงหลายวันแล้ว อุ่นผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว ต้องอุ่นแน่นอน”เยว่เอ๋อร์ “...”“นอนกับข้าไม่อุ่นกว่าหรือ?”ภายในห้อง เฟิงเย่เสวียนหยอกล้อด้วยรอยยิ้มฉู่เชียนหลีเงยหน้าขึ้น เบิกตากว้าง “เจ้าลงจากเตียงทำไม?!”เห็นเพียง เฟิงเย่เสวียนที่นอนอยู่บนเตียงสามวันสามคืน เวลานี้ยืนอยู่ข้างโต๊ะ เขาใช้สองมือยันโต๊ะ พยุงร่างกายไว้ แม้สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย แต่สามารถฝืนยืนได้อย่างมั่นคงแล้วหานเฟิงตั้งสติยืนอยู่ข้างๆ อย่างตื่นตัว ยกสองมือขึ้น อยู่ในท่าพร้อมยก หากนายท่านโซเซยืนไม่มั่นคง เขาสามารถเข้าไปพยุงท
ยามดึก หนาวมาก บนถนนไม่มีชาวบ้านนานแล้ว สายลมพัดผ่าน แสงเทียนสั่นไหว เงาสรรพสิ่งพลิ้วไหว เงียบสงบเป็นพิเศษในคืนที่ฝนตก ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงวิ่งผ่านอย่างรวดเร็วพั่บๆๆ…เงาคนหลายสายถูกสะท้อนไปที่กำแพง พวกเขาสวมชุดเกราะ ถือหอกยาวหรือกระบี่ยาว เดินประชิดทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว…วังหลวงประตูวังลงกลอนนานแล้ว ผู้คนในวังต่างก็พักผ่อนแล้ว มีเพียงทหารรักษาพระองค์ยืนท่ามกลางสายฝน เชิดหน้ายืดอกเฝ้าพระราชวังฝนตกหนักมากขึ้นทุกทีซ่า!ฝนสาดกระเซ็นลงมา หมอกที่มืดครึ้มลอยขึ้น นอกรัศมีเจ็ดแปดเมตรมองเห็นไม่ชัดเจน ราวกับในสายฝนอันยุ่งเหยิง เหมือนมีเสียงบางอย่างปะปนอยู่หูของทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูขยับ เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เช็ดฝนบนใบหน้าทิ้ง มองไปทางบนถนนที่อยู่ไกลออกไปบนถนน มีหมอกปกคลุม มองเห็นภาพไม่ชัดเจน ทว่าในความคลุมเครือ เหมือนมีของสีดำกลุ่มหนึ่ง ค่อยๆ เข้าใกล้ราวกับกระแสน้ำขึ้น…ขยี้ตา มองอีกครั้งคลื่นน้ำ?ไม่ได้ตาฝาด!ทหารรักษาพระองค์สะกิดคนข้างๆ “นี่ จางโก๋ว เจ้าดูที่ถนนนั่นสิ มีอะไรบางอย่างใช่หรือไม่?”ทหารรักษาพระองค์ที่ชื่อจางโก๋วหันไปมอง เขาโบกมือ
จางโก๋วตกใจเล็กน้อย รู้สึกถึงความผิดปกติรางๆ กล่าวปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม“ให้รัชทายาทเป็นห่วงแล้ว ตอนนี้มือสังหารหนี้ออกจากวังแล้ว ทหารรักษาพระองค์กำลังไปตามจับ ตอนนี้ในวังปลอดภัย ฝ่าบาทก็ปลอดภัยเช่นกัน รัชทายาทโปรดวางใจขอรับ”เขาปฏิเสธที่จะเปิดประตูวางวังหลวงเป็นสถานที่สำคัญ นอกจากทหารรักษาพระองค์ และองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ คนอื่นๆ ไม่อนุญาตให้พกอาวุธเข้าไปเฟิงเจิ้งอวี้ยกเปลือกตาขึ้น เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง กล่าวถามเสียงดัง“ข้ามาเพื่ออารักขา หรือเจ้าสงสัยข้า?”“ข้าน้อยไม่กล้าขอรับ!”จางโก๋วตกใจจนรีบคุกเข่าทันที กล่าวอย่างตื่นตระหนก“ข้าน้อยพูดความจริงขอรับ ไม่กล้ามีเจตนาขัดคำสั่งท่าน! รัชทายาทโปรดพิจารณาขอรับ!”เหอะ!เฟิงเจิ้งอวี้หัวเราะ สถานที่ที่เขาอยากไป หาใช่มดเหล่านี้สามารถขวางทางได้?เขาตั้งใจส่งคนไปก่อเรื่องที่ทหารองครักษ์เงา ดึงดูดความสนใจเฟิงเย่เสวียน แล้วสั่งให้มือสังหารบุกรุกวังหลวง ล่อทหารรักษาพระองค์ครึ่งหนึ่งออกไป ตอนนี้ในวังเหลือทหารรักษาพระองค์เพียงแปดร้อยนายส่วนเขา นำทหารชั้นยอดมาห้าพันนาย!รอเฟิงเย่เสวียนกลับมา รอตอนที่ฮ่องเต้รู้ตัว ทุกอย่างมันก็
ฉู่เชียนหลี?!เฟิงเจิ้งอวี้รู้สึกประหลาดใจมาก ดึกเช่นนี้แล้ว จู่ๆ นางมาปรากฏตัวนอกประตูวังได้อย่างไร? หรือว่าได้รับข่าวอะไร? เป็นไปไม่ได้!เฟิงเย่เสวียนไปค่ายทหาร ไม่มีทางรู้เรื่องในวัง ฉู่เชียนหลีมาได้อย่างไร?มองดูผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากกลางอากาศ ทันใดนั้นทำเอาเฟิงเจิ้งอวี้ที่เตรียมวางแผนชิงบัลลังก์ไปไม่ถูกแล้วฉู่เชียนหลีค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ กวาดมองทหารที่มืดสนิทแวบหนึ่ง เอียงศีรษะ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน“ดึกเช่นนี้แล้ว ฝนยังตกหนักเช่นนี้ รัชทายาทไม่นอนอยู่บ้านดีๆ นี่จะทำอะไร?”นางยิ้มแย้ม ให้ความรู้สึกเหมือนรู้อยู่แล้วยังจะถามเฟิงเจิ้งอวี้จ้องนางอย่างเย็นชา ไม่อยากสนใจนางเลยสักนิด หากยังเสียเวลาต่อไป รอเฟิงเย่เสวียนรู้ตัว ก็ไม่ทันแล้วเขาชูกระบี่ขึ้น กล่าวเสียงดังอย่างเย็นชา“เข้าวัง!”“ช้าก่อน!” ฉู่เชียนหลีเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางเขาไว้ “รัชทายาทไม่ควรไม่รู้กฎที่ว่านอกจากทหารรักษาพระองค์ ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพกอาวุธเข้าวังกระมัง?”เขากลับดีมาก ไม่เพียงตนเองพกอาวุธ ยังจะพาทหารเข้าไปด้วยช่างเป็นความคิดสุมาเจียว คนเดินถนนยังรู้จริงๆ!ใจกล้ายิ่งนัก!เฟ
ในค่ำคืนที่ฝนตก เสียงที่แข็งแกร่งสายหนึ่งดังฉีกอากาศทุกคนหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงชายสวมชุดผาวสีหมึกค่อยๆ เดินมา…อ๋องเฉิน?เฟิงเย่เสวียน?เฟิงเจิ้งอวี้เห็นเขา รู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อเห็นทหารองครักษ์เงาที่ฝีเท้าพร้อมเพรียง และได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีที่อยู่ข้างหลังเขา สายตาเคร่งขรึมจนถึงขีดสุดทันทีเขาไปค่ายทหารแล้วไม่ใช่หรือ?มาเร็วเช่นนี้เลย?เขา…ถูกจับได้นานแล้ว?ฉู่เชียนหลีมองเฟิงเย่เสวียน ตะลึงงันครู่หนึ่ง คำนวณเวลาที่เขาไปกลับค่ายทหาร เป็นไปไม่ได้ที่จะมาเร็วเช่นนี้ หรือว่า…เขาไม่ได้ไปค่ายทหาร? แต่ซุ่มอยู่ที่นี่มาโดยตลอด?เช่นนี้ก็เท่ากับว่า เขารู้เรื่องที่รัชทายาทจะก่อกบฏนานแล้ว? หานเฟิงถือร่มกระดาษน้ำมัน เฟิงเย่เสวียนกุมบาดแผลที่หน้าท้อง ค่อยๆ เดินเข้ามา ทหารองครักษ์เงาที่อยู่ข้างหลังเหยียบย่ำน้ำฝน สาดกระเซ็นลอยขึ้นสูง น่าเกรงขามอย่างยิ่งเดินเข้ามาใกล้ เงยหน้า“ดึกเช่นนี้แล้ว พี่ใหญ่มาทำอะไรที่นี่?”เขาถามทั้งที่รู้อยู่แล้วสีหน้าเฟิงเจิ้งอวี้เคร่งขรึมเป็นพิเศษ เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียน มีความคิดที่เลวร้ายที่สุดปรากฏขึ้นในใจ…เฟิงเย่เสวียนมาแล้ว แสดงว่าเข
เปรี้ยง…สายฟ้าแลบฉีกท้องฟ้ายามค่ำคืน ฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว ฝนที่ตกกระหน่ำเหมือนน้ำท่วมที่ทำลายเขื่อนภายในห้องทรงอักษรฮ่องเต้นั่งอยู่หลังโต๊ะมังกร ถือพู่กันไว้ในมือ ตรวจฎีกาไม่หยุด สายฟ้าแลบสะท้อนใบหน้าข้างของเขา เขาเม้มปากแน่น หน้าบึ้ง ความเกลียดชังแผ่ซ่านอยู่ในความว่างเปล่าการกระทำที่ตรวจฎีกาเร็วขึ้นเรื่อยๆและเขียนอักษรเร็วขึ้นเรื่อยๆซ่า!ซ่าๆ!ซ่าๆๆ!ทันใดนั้น ลุกขึ้นฉับพลัน โยนพู่กันทิ้ง สองมือจับขอบโต๊ะ คำรามด้วยความโกรธ พลิกโต๊ะคว่ำโดยตรง!ปัง!กลุ่มขันทีตกใจจนเข่าอ่อนคุกเข่าลงพื้น “ฝ่าบาทพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ฝน ตกลงมาตลอดคืน รุ่งสางจึงจะซาประชุมเช้าภายในตำหนักต้าเฉิน ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยยืนอยู่ในตำแหน่งของตนเองอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่มืดมน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ก็นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำเหล่าขุนนางรู้สึกถึงความผิดปกติเต๋อฝูขันทีข้างกายมองสีหน้าเขาอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง หลังจากนั้นสองสามวินาที เดินออกไปข้างหน้าสองก้าว กล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาทมีราชโองการ!”ขุนนางนับร้อยคุกเข่าเต๋อฝูหยิบม้วนกระดาษสีเหลืองสดมาจากถาด
ฉู่เชียนหลีตะลึงงันทันที หลุบตาลงเล็กน้อย มองไปทางจดหมายที่อยู่บนโต๊ะข้างในจดหมายฉบับนี้ได้เล่าเรื่องราวที่รัชทายาทมีเจตนากบฏ จิ่งอี้เป็นคนส่งเข้าวัง คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้สามารถคาดเดาความสัมพันธ์ของนางกับจิ่งอี้ผ่านจดหมายฉบับนี้สายตาเฉียบคมมาก!นางรีบตอบกลับทันที “ตอนที่หม่อมฉันไปจัดการโรคระบาดในเมืองตงหนิง บังเอิญได้รู้จักกับเถ้าแก่จิ่ง ศึกษายาและช่วยเหลือราษฎรร่วมกับเขา เคยมีมิตรภาพต่อกันหลายวัน”“หลังจากกลับเมืองหลวง เคยไปมาหาสู่กันหนึ่งครั้ง พวกเราเป็นเพื่อนกันเพคะ”“หือ?” ฮ่องเต้มองฉู่เชียนหลีด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทำให้คาดเดาความคิดของเขาในเวลานี้ไม่ออกเมื่อคืน เขาได้รับข้อความสองข้อความข้อความแรกมาจากอ๋องเฉิน อีกข้อความมาจากจิ่งอี้จิ่งอี้เป็นสามัญชน เถ้าแก่ของโรงหมอแห่งหนึ่ง กลับมีใจอุทิศตนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ และยังสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของรัชทายาท เกรงว่าไม่ใช่คนธรรมดาแต่เขากลับพบว่าจิ่งอี้กับฉู่เชียนหลีมีความเกี่ยวข้องกันหากฉู่เชียนหลียืมมือจิ่งอี้ มีความคิดนอกรีตอะไร…ดวงตาที่ขุ่นมัวของฮ่องเต้ขรึมลงเล็กน้อย “เขาเป็นคนฉลาด กลับไม่ยอมเข้าร