จางโก๋วตกใจเล็กน้อย รู้สึกถึงความผิดปกติรางๆ กล่าวปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม“ให้รัชทายาทเป็นห่วงแล้ว ตอนนี้มือสังหารหนี้ออกจากวังแล้ว ทหารรักษาพระองค์กำลังไปตามจับ ตอนนี้ในวังปลอดภัย ฝ่าบาทก็ปลอดภัยเช่นกัน รัชทายาทโปรดวางใจขอรับ”เขาปฏิเสธที่จะเปิดประตูวางวังหลวงเป็นสถานที่สำคัญ นอกจากทหารรักษาพระองค์ และองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ คนอื่นๆ ไม่อนุญาตให้พกอาวุธเข้าไปเฟิงเจิ้งอวี้ยกเปลือกตาขึ้น เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง กล่าวถามเสียงดัง“ข้ามาเพื่ออารักขา หรือเจ้าสงสัยข้า?”“ข้าน้อยไม่กล้าขอรับ!”จางโก๋วตกใจจนรีบคุกเข่าทันที กล่าวอย่างตื่นตระหนก“ข้าน้อยพูดความจริงขอรับ ไม่กล้ามีเจตนาขัดคำสั่งท่าน! รัชทายาทโปรดพิจารณาขอรับ!”เหอะ!เฟิงเจิ้งอวี้หัวเราะ สถานที่ที่เขาอยากไป หาใช่มดเหล่านี้สามารถขวางทางได้?เขาตั้งใจส่งคนไปก่อเรื่องที่ทหารองครักษ์เงา ดึงดูดความสนใจเฟิงเย่เสวียน แล้วสั่งให้มือสังหารบุกรุกวังหลวง ล่อทหารรักษาพระองค์ครึ่งหนึ่งออกไป ตอนนี้ในวังเหลือทหารรักษาพระองค์เพียงแปดร้อยนายส่วนเขา นำทหารชั้นยอดมาห้าพันนาย!รอเฟิงเย่เสวียนกลับมา รอตอนที่ฮ่องเต้รู้ตัว ทุกอย่างมันก็
ฉู่เชียนหลี?!เฟิงเจิ้งอวี้รู้สึกประหลาดใจมาก ดึกเช่นนี้แล้ว จู่ๆ นางมาปรากฏตัวนอกประตูวังได้อย่างไร? หรือว่าได้รับข่าวอะไร? เป็นไปไม่ได้!เฟิงเย่เสวียนไปค่ายทหาร ไม่มีทางรู้เรื่องในวัง ฉู่เชียนหลีมาได้อย่างไร?มองดูผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากกลางอากาศ ทันใดนั้นทำเอาเฟิงเจิ้งอวี้ที่เตรียมวางแผนชิงบัลลังก์ไปไม่ถูกแล้วฉู่เชียนหลีค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ กวาดมองทหารที่มืดสนิทแวบหนึ่ง เอียงศีรษะ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน“ดึกเช่นนี้แล้ว ฝนยังตกหนักเช่นนี้ รัชทายาทไม่นอนอยู่บ้านดีๆ นี่จะทำอะไร?”นางยิ้มแย้ม ให้ความรู้สึกเหมือนรู้อยู่แล้วยังจะถามเฟิงเจิ้งอวี้จ้องนางอย่างเย็นชา ไม่อยากสนใจนางเลยสักนิด หากยังเสียเวลาต่อไป รอเฟิงเย่เสวียนรู้ตัว ก็ไม่ทันแล้วเขาชูกระบี่ขึ้น กล่าวเสียงดังอย่างเย็นชา“เข้าวัง!”“ช้าก่อน!” ฉู่เชียนหลีเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางเขาไว้ “รัชทายาทไม่ควรไม่รู้กฎที่ว่านอกจากทหารรักษาพระองค์ ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพกอาวุธเข้าวังกระมัง?”เขากลับดีมาก ไม่เพียงตนเองพกอาวุธ ยังจะพาทหารเข้าไปด้วยช่างเป็นความคิดสุมาเจียว คนเดินถนนยังรู้จริงๆ!ใจกล้ายิ่งนัก!เฟ
ในค่ำคืนที่ฝนตก เสียงที่แข็งแกร่งสายหนึ่งดังฉีกอากาศทุกคนหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงชายสวมชุดผาวสีหมึกค่อยๆ เดินมา…อ๋องเฉิน?เฟิงเย่เสวียน?เฟิงเจิ้งอวี้เห็นเขา รู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อเห็นทหารองครักษ์เงาที่ฝีเท้าพร้อมเพรียง และได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีที่อยู่ข้างหลังเขา สายตาเคร่งขรึมจนถึงขีดสุดทันทีเขาไปค่ายทหารแล้วไม่ใช่หรือ?มาเร็วเช่นนี้เลย?เขา…ถูกจับได้นานแล้ว?ฉู่เชียนหลีมองเฟิงเย่เสวียน ตะลึงงันครู่หนึ่ง คำนวณเวลาที่เขาไปกลับค่ายทหาร เป็นไปไม่ได้ที่จะมาเร็วเช่นนี้ หรือว่า…เขาไม่ได้ไปค่ายทหาร? แต่ซุ่มอยู่ที่นี่มาโดยตลอด?เช่นนี้ก็เท่ากับว่า เขารู้เรื่องที่รัชทายาทจะก่อกบฏนานแล้ว? หานเฟิงถือร่มกระดาษน้ำมัน เฟิงเย่เสวียนกุมบาดแผลที่หน้าท้อง ค่อยๆ เดินเข้ามา ทหารองครักษ์เงาที่อยู่ข้างหลังเหยียบย่ำน้ำฝน สาดกระเซ็นลอยขึ้นสูง น่าเกรงขามอย่างยิ่งเดินเข้ามาใกล้ เงยหน้า“ดึกเช่นนี้แล้ว พี่ใหญ่มาทำอะไรที่นี่?”เขาถามทั้งที่รู้อยู่แล้วสีหน้าเฟิงเจิ้งอวี้เคร่งขรึมเป็นพิเศษ เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียน มีความคิดที่เลวร้ายที่สุดปรากฏขึ้นในใจ…เฟิงเย่เสวียนมาแล้ว แสดงว่าเข
เปรี้ยง…สายฟ้าแลบฉีกท้องฟ้ายามค่ำคืน ฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว ฝนที่ตกกระหน่ำเหมือนน้ำท่วมที่ทำลายเขื่อนภายในห้องทรงอักษรฮ่องเต้นั่งอยู่หลังโต๊ะมังกร ถือพู่กันไว้ในมือ ตรวจฎีกาไม่หยุด สายฟ้าแลบสะท้อนใบหน้าข้างของเขา เขาเม้มปากแน่น หน้าบึ้ง ความเกลียดชังแผ่ซ่านอยู่ในความว่างเปล่าการกระทำที่ตรวจฎีกาเร็วขึ้นเรื่อยๆและเขียนอักษรเร็วขึ้นเรื่อยๆซ่า!ซ่าๆ!ซ่าๆๆ!ทันใดนั้น ลุกขึ้นฉับพลัน โยนพู่กันทิ้ง สองมือจับขอบโต๊ะ คำรามด้วยความโกรธ พลิกโต๊ะคว่ำโดยตรง!ปัง!กลุ่มขันทีตกใจจนเข่าอ่อนคุกเข่าลงพื้น “ฝ่าบาทพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ฝน ตกลงมาตลอดคืน รุ่งสางจึงจะซาประชุมเช้าภายในตำหนักต้าเฉิน ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยยืนอยู่ในตำแหน่งของตนเองอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่มืดมน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ก็นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำเหล่าขุนนางรู้สึกถึงความผิดปกติเต๋อฝูขันทีข้างกายมองสีหน้าเขาอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง หลังจากนั้นสองสามวินาที เดินออกไปข้างหน้าสองก้าว กล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาทมีราชโองการ!”ขุนนางนับร้อยคุกเข่าเต๋อฝูหยิบม้วนกระดาษสีเหลืองสดมาจากถาด
ฉู่เชียนหลีตะลึงงันทันที หลุบตาลงเล็กน้อย มองไปทางจดหมายที่อยู่บนโต๊ะข้างในจดหมายฉบับนี้ได้เล่าเรื่องราวที่รัชทายาทมีเจตนากบฏ จิ่งอี้เป็นคนส่งเข้าวัง คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้สามารถคาดเดาความสัมพันธ์ของนางกับจิ่งอี้ผ่านจดหมายฉบับนี้สายตาเฉียบคมมาก!นางรีบตอบกลับทันที “ตอนที่หม่อมฉันไปจัดการโรคระบาดในเมืองตงหนิง บังเอิญได้รู้จักกับเถ้าแก่จิ่ง ศึกษายาและช่วยเหลือราษฎรร่วมกับเขา เคยมีมิตรภาพต่อกันหลายวัน”“หลังจากกลับเมืองหลวง เคยไปมาหาสู่กันหนึ่งครั้ง พวกเราเป็นเพื่อนกันเพคะ”“หือ?” ฮ่องเต้มองฉู่เชียนหลีด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทำให้คาดเดาความคิดของเขาในเวลานี้ไม่ออกเมื่อคืน เขาได้รับข้อความสองข้อความข้อความแรกมาจากอ๋องเฉิน อีกข้อความมาจากจิ่งอี้จิ่งอี้เป็นสามัญชน เถ้าแก่ของโรงหมอแห่งหนึ่ง กลับมีใจอุทิศตนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ และยังสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของรัชทายาท เกรงว่าไม่ใช่คนธรรมดาแต่เขากลับพบว่าจิ่งอี้กับฉู่เชียนหลีมีความเกี่ยวข้องกันหากฉู่เชียนหลียืมมือจิ่งอี้ มีความคิดนอกรีตอะไร…ดวงตาที่ขุ่นมัวของฮ่องเต้ขรึมลงเล็กน้อย “เขาเป็นคนฉลาด กลับไม่ยอมเข้าร
เมื่อราชโองการประกาศออกมา ทั้งเมืองหลวงเหมือนหม้อข้าวต้มเดือดปุดๆ เดือดพล่านราวกับจะระเบิด“รู้หรือยัง? เนื่องจากรัชทายาทฆ่าคนดี ทำให้ฮ่องเต้ผิดหวังมาก ดังนั้นจึงถูกปลด!”“ไม่ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าเป็นเพราะเขาไม่มีลูกชาย ไม่สามารถสืบทอดทายาทรุ่นหลัง ใครสามารถให้กำเนิดหลานชายองค์โต คนนั้นจะถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทคนใหม่…”“เหมือนว่าได้กระทำความผิดครั้งใหญ่…”“บลาๆ…”ทุกคนเจ้าพูดหนึ่งคำ ข้าพูดหนึ่งประโยค น้ำลายสาดกระเซ็นไปทั่ว ซุบซิบทะยานขึ้นฟ้าเวลานี้ จวนรัชทายาทถูกเหล่าทหารปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา สามก้าวหนึ่งคน ห้าก้าวหนึ่งหน่วย ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ ชาวบ้านมากมายยืนดูห่างๆ ชะโงกศีรษะอย่างคึกคักชายวัยกลางคนสวมเสื้อเนื้อหยาบคนหนึ่ง แบกเข่งที่ใส่ผักจนเต็มสองเข่งพยายามเข้าไป กลับถูกทหารคนหนึ่งขวางไว้“หยุดอยู่ตรงนั้น! ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกจวนรัชทายาท!”ชายวัยกลางคนคนนั้นถูกผลักจนเกือบล้ม จับเข่งที่หนักอึ้งไว้ “โอ๊ย! ใต้เท้า ข้าน้อยส่งผักให้จวนรัชทายาทประจำทุกวัน รับเงินแล้ว ก็ต้องส่งของนะขอรับ!”“หากไม่ส่งผลักเข้าไป ปล่อยให้คนในจวนอดตายก็คงไม่ได้กระมัง…หร
“ไร้ประโยชน์!”“ไอ้พวกลูกสุนัข”“ไอ้พวกสารเลว!”เฟิงเจิ้งอวี้เหวี่ยงกระบี่ด้วยความโกรธแค้น ฟันสิ่งของใกล้ๆ ที่สามารถสัมผัสถึงมั่วซั่ว เสื้อผ้ายุ่งเหยิง ราวกับเป็นคนบ้า“อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากงล่ะ? กงเจิ้งหงล่ะ! ให้เขามา!”กงเจิ้งหงเป็นมือซ้ายมือขวาของเขาหลายปีมานี้ เรื่องมากมายที่เขาทำ ล้วนวางแผนโดยกงเจิ้งหง“หากข้าเป็นอะไรไป เขาก็อย่าคิดหลุดพ้น!”“รัชทายาท…”เวลานี้เอง นอกประตู ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบคนหนึ่งวิ่งเข้ามา กระชากหนวดที่อยู่บนใบหน้าทิ้ง ถอดหมวกผ้าที่สกปรกออกจากศีรษะ กลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากงเจิ้งหง!เฟิงเจิ้งอวี้เห็นเขา วิ่งเข้าไปราวกับเห็นความหวังเสี้ยวสุดท้าย “ใต้เท้ากง!”เขาจับมือเขา “เร็ว! ฮ่องเต้ประกาศราชโองการปลดรัชทายาทแล้ว ยิ่งกว่านั้นจะกักบริเวณข้าสามปี ข้าจะถูกปลดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด รีบคิดหาวิธีเร็ว!”เขาไม่อยากจบสิ้นทั้งเช่นนี้หากยึดสถานะรัชทายาท และกักบริเวณสามปี ปล่อยให้เขามีชีวิตเช่นนี้ ไม่สู้แทงเขาตายในกระบี่เดียวยังดีเสียกว่ากงเจิ้งหงกวาดมองความยุ่งเหยิงข้างนอกแวบหนึ่ง วิ่งเข้าไปในห้องหนังสือ ปิดประตูอย่างระมัดระวัง“รัชทา
จวนอ๋องเฟิง“เป็นอย่างไร?” พระชายาอ๋องเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่ม ข้อมือพลิกขึ้น วางอยู่บนโต๊ะ มองไปทางฉู่เชียนหลีที่กำลังตรวจชีพจรให้นางไม่เจอกันหลายวัน สีหน้านางดูดีขึ้นมากฉู่เชียนหลีจับชีพจรสักพัก เหลือบมองท่าทางที่ร้อนใจของพระชายาอ๋องเฟิงแวบหนึ่ง นางค่อยๆ เก็บมือกลับ เอ่ยปากอย่างใจเย็น“ผลข้างเคียงที่เกิดจากการแท้งลูก บำรุงแล้วเจ็ดแปดส่วน”“เช่นนั้นข้าสามารถตั้งครรภ์หรือไม่!” นางรีบกล่าวถามต่อนี่จึงจะเป็นปัญหาที่นางห่วงปัจจุบันรัชทายาทถูกปลด ส่วนอ๋องเฟิงที่เป็นลูกชายคนที่สองมีคุณสมบัติเป็นรัชทายาทที่สุด พระชายาอ๋องเฟิงย่อมอยากตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกในเร็ววันแต่ลูกใช่สิ่งที่อยากมีก็สามารถมีได้เลยหรือ?ฉู่เชียนหลีกล่าวอย่างไม่เร่งไม่รีบ “ร่างกายของท่านยังคงแย่มาก ต้องค่อยๆ บำรุงไปเรื่อยๆ เดิมทีก็เป็นร่างกายที่ตั้งครรภ์ยากอยู่แล้ว ถ้าหากฝืนตั้งครรภ์จนได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถรักษาไว้เสมอไป”พระชายาอ๋องเฟิงไม่อยากฟังคำพูดตามสูตรเหล่านี้ หลายปีมานี้ นางฟังจนหูแทบด้านแล้วตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง“ไม่ว่าเจ้าต้องการเงินเท่าไร เงินทองไข่มุกอัญมณีหรือของอะไรก