ฉู่เชียนหลีย่อมจำได้อยู่แล้วตอนนั้น ทุกคนก้าวออกมาตำหนินาง คิดว่านางเป็นคนจิตใจอำมหิต วางแผนทำร้ายทายาทราชวงศ์ มีเพียงพระชายาอ๋องติ้งที่พูดแทนนางและก็เพราะเรื่องนี้ นางกับพระชายาอ๋องติ้งจึงได้ผูกมิตรภาพร่วมกันแต่เพราะเหตุใดนางต้องรักษาพระชายาอ๋องเฟิงล่ะ?อาจเป็นเพราะมีศัตรูเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ไม่สู้มีสหายเพิ่มขึ้นหนึ่งคน? หรืออาจเป็นเพราะพระชายาอ๋องเฟิงแต่งงานแปดปี อายุใกล้สามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีลูก ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ไม่สามารถเป็นแม่คน มันไม่สมบูรณ์ คงจะประมาณว่าสงสารนาง?ฉู่เชียนหลียิ้มแย้ม “พี่อวี๋ ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร รู้จักแยกแยะ”พระชายาอ๋องติ้งตบหลังมือนาง กล่าวกำชับ“เจ้านี่นะ ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถทำให้เจ้าเจ็ดหลงหัวปักหัวปำ…โอ๊ย ไม่สนใจเจ้าแล้ว เจ้าจะทำอะไรระวังหน่อยก็แล้วกัน นิสัยของพระชายาอ๋องเฟิงโหดเหี้ยมมาก มีแค้นต้องชำระ ไม่ใช่คนดีอะไร”ท่าทางที่กำชับอย่างเอาใจใส่ของนางอ่อนโยนมาก ใจดีมาก ทำให้คนอยากใกล้ชิดนางโดยไม่รู้ตัวบนตัวนางมักจะมีกลิ่นอายเช่นนี้อ่อนโยน สบายๆเพราะตลอดหลายปีมานี้ นางไม่แย่งไม่ชิง ไม่สนใ
กลิ่นหอมสายนี้พิเศษมาก ยิ่งกว่านั้นไม่คุ้นเคย ไม่ใช่กลิ่นจากตัวนางทันใดนั้น นางนึกถึงผู้หญิงเหมียวเจียงที่แต่งตัวต่างถิ่น สามารถเข้าออกห้องหนังสือได้อย่างอิสระคนนั้น…แววตาฉู่เชียนหลีขรึมลงเล็กน้อย ปล่อยเฟิงเย่เสวียน ถอยหลังสองสามก้าว มองใบหน้าของเขาอย่างคาดคะเนเงียบๆ“เป็นอะไร?”เหมือนเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เอียงศีรษะ ถามนางอย่างไม่เข้าใจคนยังคงเป็นเฟิงเย่เสวียนคนเดิม แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าโดยไม่รู้ตัวฉู่เชียนหลีดึงสายตากลับ “ช่วงนี้เจ้ายุ่งมาก อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ระวังการพักผ่อน”นางเดินกลับไปที่ข้างโต๊ะ หยิบชามกับตะเกียบขึ้น ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำอาหารมื้อนี้ดำเนินไปอย่างเงียบๆระหว่างนั้น เฟิงเย่เสวียนคีบอาหารให้นางไม่หยุด ปลอกต้นหอมซอย แกะก้างปลาเหมือนเมื่อก่อน รู้รสชาติและความชอบของนางเป็นอย่างดีหลังอาหารเฟิงเย่เสวียนยังมีงาน เขาไปทำงานต่อทั้งที่ยังบาดเจ็บ“ข้าเปลี่ยนยาให้เจ้า?” ฉู่เชียนหลีลุกขึ้นเขาหันกลับ “หลายวันนี้เจ้าเป็นห่วงข้า กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ หานอิ๋งเปลี่ยนยาให้ข
พลันสีหน้ากงเจิ้นหงเคร่งขรึมตอนนั้น…ตระกูลเซียว เซียวกุ้ยเฟย…ขุดเรื่องเกือบยี่สิบปีก่อนออกมาพูด ก่อให้เกิดภาพมากมาย ทำให้สีหน้าเขาน่าเกลียดอีกครั้ง“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร!”พลันฉู่เชียนหลีหัวเราะ “มันก็จริง ท่าทางที่เป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ ของท่าน ไม่รู้อะไรจริงๆ”“ตอนนั้น ท่านไม่ได้ล่อลวงเซียวกุ้ยเฟย”“ตอนนั้น หลังจากเรื่องถูกเปิดเผย ท่านไม่ได้บ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ และไม่ได้ทำให้เซียวกุ้ยเฟย เซียวกุ้ยเฟยเป็นคนชอบท่าน นางขึ้นเตียงท่านอย่างหน้าไม่อาย ทั้งหมดเป็นความผิดของเซียวกุ้ยเฟย”นางกลับคำพูดอย่างจริตจะก้าน ทำให้สีหน้ากงเจิ้นหงยิ่งอยู่ยิ่งแลดูน่าเกลียด“ตอนนี้ ท่านก็ไม่ผิดเช่นกัน ท่านไม่ได้ออกอุบายให้รัชทายาท ไม่ได้สมคบคิดกับรัชทายาท ทั้งหมดเป็นความคิดของรัชทายาท”นางดัดเสียง กล่าวอย่างมีจริต“ปีที่แล้ว เฟิงเย่เสวียนทำสงคราม ท่านไม่ได้ซื้อตัวรองแม่ทัพของเขา ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ตอนปราบโจร ท่านไม่ได้สมคบคิดโจร ทำให้เขาตกหน้าผา และไม่ได้ส่งมือสังหารไปแอบลอบสังหารเขา”“เรื่องโรคระบาดของเมืองตงหนิง ก็ไม่ใช่ท่านยุยงรัชทายาท จงใจแพร่เชื้อโรคระบาด”“เรื่องเหล่านี้ไม่ใ
นี่เป็นโรคฉุกเฉินที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือภายในไม่กี่นาที ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาในฐานะที่เป็นหมอ ฉู่เชียนหลีสมควรช่วยชีวิตคนแต่หากนางนำอุปกรณ์การแพทย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในกำไลเฉียนคุนออกมา จะทำให้เกิดข้อสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ของที่คนโบราณไม่เคยเห็น ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏกลางอากาศ หากนางถูกมองว่าเป็น ‘ปีศาจหญิง’ อะไรล่ะอีกอย่าง กงเจิ้นหงเคยทำเรื่องชั่วๆ ไว้มากมายเช่นนั้น บางทีสมองตายฉับพลันอาจเป็นการลงโทษจากสวรรค์ที่มีต่อเขาในเวลาสั่นๆ สองวินาที ฉู่เชียนหลีปล่อยมือแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคนเจ็บไม่ช่วยตั้งแต่เป็นหมอ ในใจกลับไม่มีความรู้สึกผิดใดๆนางลุกขึ้นยืน มองดูกงเจิ้นหงที่กลิ้งไปกลิ้งมา ดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดบนพื้น เอ่ยปากอย่างเฉยเมย“คงคิดไม่ถึงกระมัง ก่อกรรมทำชั่วมาทั้งชีวิต ยังไม่ทันถูกกฎหมายลงโทษ กลับต้องมาตายเพราะสมองตาย”ไม่มีใครทำร้ายเขานี่ล้วนเป็นกรรมที่เขาสมควรได้รับ“เออ…”กงเจิ้นหงเบิกตากว้าง การแสดงออกบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด ดวงตาแดงก่ำจนแทบมีเลือดไหล ใบหน้ากลายเป็นสีม่วง ร่างกายชักกระตุกอย่างรุนแรง อีกไม่นานก็จะไม่ไหวแล้วเมื่อ
ฉู่เชียนหลีได้ยินแล้ว สีหน้าเย็นชาทันทีอะไรคือนางบีบคั้นกงเจิ้นหงตาย? เขาเกิดภาวะสมองตายฉับพลัน เกี่ยวอะไรกับนาง?มองดูหานอิ๋งที่ยื่นแขนออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา และถึงขั้นมีความเป็นปรปักษ์เล็กน้อย นางหัวเราะอย่างเย็นชา“นี่ก็คือท่าทีที่เจ้าคุยกับข้าหรือ?”หานอิ๋งชะงักครู่หนึ่งนายท่านของนางคืออ๋องเฉิน ไม่ใช่ฉู่เชียนหลี นางไม่จำเป็นต้องนอบน้อมถ่อมตนต่อฉู่เชียนหลี แต่มองดูท่าทางที่หัวเราะอย่างเย็นชาของฉู่เชียนหลี ความโค้งที่เย็นเฉียบตรงมุมปาก และสายตาที่ลึกมองไม่เห็นก้นบึ้ง พริบตานั้น เหมือนกับมองเห็นเงาของนายท่าน…นางเหม่อลอยครู่หนึ่ง หลังจากหวนขึ้นสติ ก็รีบเอ่ยปาก“ชีวิตของกงเจิ้นหงเป็นของนายท่าน ท่านลงมือโดยพลการ ทำลายแผนการของนายท่าน! มีเรื่องมากมายที่นายท่านยังไม่ทันได้ทำ มีคำพูดมากมายที่นายท่านยังไม่ทันได้ถาม”“นี่คือความแค้นของนายท่าน ถึงคราวที่ท่านต้องมาช่วยตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรู้สึกขบขันนางไม่ได้แตะแม้แต่เส้นผมของกงเจิ้นหง ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความผิดของนาง?น่าขำ!“ข้าจะทำอะไร ไปที่ไหน เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” นางถือถุงที่แย่งมาจากมือกงเจิ้นหง ยกเท้าเด
เวลาร่วงเลยไปอย่างเงียบๆ ตามเสียงสายลม…แผ่นหลังเฟิงเย่เสวียนตากลมเย็นอันเปล่าเปลี่ยว ยิ่งแลดูโดดเดี่ยวห่างออกไปหลายเมตรหานอิ๋งยืนอยู่ตรงนั้น มองดูอย่างเงียบๆ ไม่ได้เดินเข้าไป ไม่ได้เอ่ยปาก ไม่ได้รบกวน เฝ้าคุ้มกันเงียบๆไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรเสียงที่แหบแห้งของเขาดังขึ้น “พระชายาล่ะ?”หานอิ๋งชะงักครู่หนึ่ง จึงจะเดินไปข้างหน้าสองก้าว กล่าวตอบเสียงเบา “หลังจากพระชายาออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”เฟิงเย่เสวียนหลุบตาลงก่อนหน้านี้ตอนอยู่จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา เขามองเห็นกงเจิ้นหงที่ตายแล้ว ความแค้นของตลอดหลายปีพังทลายในพริบตา เขาวิ่งจากไปอย่างเร่งรีบเหมือนสูญเสียแรงสนับสนุนความผิดปกติของเขา บางทีอาจทำให้นางตกใจ“หลังจากพระชายากลับมาบอกข้าด้วย” เขาลุกขึ้นยืน จัดแจงชุดผาวสีหมึกที่ยุ่งเหยิงครู่หนึ่ง ลูบป้ายหลุมศพเซียวกุ้ยเฟยอย่างแผ่วเบา หลังจากมองอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เตรียมตัวจากไปหานอิ๋งเม้มปากเบาๆ อยากพูดแต่ก็ลังเลเรื่องของพระชายา…นางรู้สึกว่าพระชายากับนายท่านไม่ใช่คนโลกเดียวกัน พระชายาไม่สามารถเข้าใจนายท่าน ยิ่ง…ไม่คู่ควรกับนายท่าน
นึกถึงตรงนี้ ความเร่าร้อนของฉู่เชียนหลีมอดดับทันที เหมือนกับโดนน้ำเย็นกะละมังหนึ่งราดใส่ศีรษะ หมดอารมณ์ที่จะทำอะไรแล้ว“ช่างเถอะ”น้ำเสียงเฉยเมย “ไม่จำเป็นต้องมาเสียแรงกายแรงใจกับเรื่องที่ไม่จำเป็นพวกนี้”โยนส้มกลับเข้าไปในถาดผลไม้ พร้อมกับหยิบสมุดบัญชีที่วางอยู่บนโต๊ะ ก้มหน้าก้มตาพลิกดูบรรยากาศภายในห้อง กลับผิดปกติในระหว่างความคลุมเครือ…จางเฟยมองไปทางเฟิ่งหราน เฟิ่งหรานมองไปทางจางขาเป๋ จางขาเป๋มองไปทางจิ่งอี้ ทั้งสี่ใช้สายตาสื่อสารกันอย่างเงียบๆจางเฟย : นี่คุณหนูเป็นอะไร?เฟิ่งหราน : นอกจากเรื่องของผู้ชาย ยังจะเป็นอะไรได้อีก?จางขาเป๋ : หรืออ๋องเฉินรังแกคุณหนู?จิ่งอี้มองดูใบหน้าข้างที่เฉยเมยของนาง ราวกับไม่ใส่ใจอะไรเลย แต่เขารู้ นางกำลังโมโห ยังคงคิดถึงอ๋องเฉินดูเหมือนพวกเขาจะทะเลาะกันเวลานี้ สำหรับเขาแล้ว มันคือโอกาสที่หายากในการแทรกเข้าไปแต่คำพูดมาถึงปลายลิ้น เขากลับพูดไม่ออกเขาทำไม่ได้…เขาทำเช่นนี้ไม่ได้เม้มปาก กลืนคำพูดกลับเข้าไป เรียบเรียงคำพูดใหม่แล้วกล่าว “คุณหนู การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ คือการทะเลาะกัน เดินเข้าหากัน หยอกล้อกัน ต่างฝ่ายต่างปรับตัวอย่างต่
ฉู่เชียนหลีออกจากโรงหมอ ระหว่างกลับจวน ตลอดทางล้วนเป็นคำพูดต่างๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์รัชทายาท…ไม่ไกลนัก ทหารสองกลุ่มวิ่งไขว้กันมา กลุ่มหนึ่งวิ่งไปทางซ้าย กลุ่มหนึ่งวิ่งไปทางขวา ต่างก็วิ่งไปยังทิศทางของตนเองหลังขบวน เป็นร่างเงาที่คุ้นเคย“อ๋องหลี?”นางมองไปด้วยความประหลาดใจ เฟิงเจิ้งหลีที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรหันหน้าเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ก็บังเอิญมองเห็นนางพอดี“พระชายาอ๋องเฉิน!”ดวงตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย ในส่วนลึกของแววตาอ่อนโยนเหมือนต้นฤดูใบไม้ผลิ หลังจากหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับทหารที่อยู่ข้างๆ ทหารสองกลุ่มต่างก็จากไป ส่วนเขาเดินไปทางฉู่เชียนหลีฉู่เชียนหลีเห็นมาดของเขา กล่าวถามอย่างประหลาดใจ“นี่ท่านกำลัง…”“ลาดตระเวนเมืองหลวง” เขาหยิบป้ายคำสั่งสีดำชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่หมดหนทาง “เสด็จพ่อมอบหมายภารกิจใหม่ให้ข้า”ลาดตระเวนเมืองหลวง กำจัดภัยที่แอบแฝง ปกป้องความปลอดภัยของราษฎรเหมือนหัวหน้าเทศกิจในยุคปัจจุบันเล็กน้อยหลังจากรัชทายาทถูกปลด อำนาจในมือของเขาถูกแบ่งและกระจายไปให้องค์ชายแต่ละคนอ๋องเฟิงดูแลกรมขุนนาง อ๋องเจวี๋ยรับช่วงอำนาจทางทหารขอ