อวิ๋นอิงโกรธจนถึงขีดสุด อยากฉีกร่างผู้ชายตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้ แต่นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แค่สองกระบวนท่าก็เสียท่า ถูกถีบเข้าที่ท้องเต็มๆ“พู่!”นางกลิ้งออกไปไกลประมาณเจ็ดแปดเมตร ชนใส่เสาจนกระอักเลือดมีบาดแผลทั่วร่างเจ็บไปหมดทั้งร่างแทบไม่มีจุดใดที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์“แค่ก…แค่กๆ…” ร่างที่ผอมบางของนางเจ็บจนขดตัวเฟิงเจิ้งอวี้บิดข้อมือและหมุนคอ เลียริมฝีปากบางที่แห้งผากเบาๆ “ไอ้ตัวที่ไม่รู้จักเจียมตัว!”คิดว่าเขาถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาทแล้ว ก็ตกต่ำแล้วหรือ?เหอะ!เกรงว่าข้างนอกคงจะมีคนรอดูเรื่องตลกของเขาไม่น้อย คิดว่าเขาจบสิ้นทั้งเช่นนี้แล้ว? น่าขำ รอกงเจิ้นหงช่วยเขาออกไป พวกนกสองหัวเหล่านั้น เขาจะกำจัดให้หมดด้วยมือตนเอง!เดินออกไปข้างหน้า “พูด ใครส่งเจ้ามา?”“แล้วเจ้ารู้เรื่องโรคระบาดของเมืองตงหนิงได้อย่างไร?”อวิ๋นอิงแอบฟังเรื่องนี้มาจากบทสนทนาของอ๋องเฉินกับพระชายา หลายวันมานี้ นางฝึกกระบี่อย่างหนัก เพียงเพื่อรอแก้แค้นตอนที่รู้ข่าวรัชทายาทถูกปลด เกิดความโกลาหล นางคิดว่าโอกาสมาถึงแล้วโอกาสที่จะแก้แค้นให้บิดามารดา!แต่นางไร้ประโยชน์ นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ข
วันนี้ ต่อให้เขาฆ่าเด็กสาวที่ชื่ออวิ๋นอิงคนนี้ ก็ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์เขา!“เป็นเขา…”อวิ๋นอิงที่หมอบอยู่บนพื้นเจ็บจนสั่นไปทั้งร่าง ยกดวงตาที่แดงก่ำและปนน้ำตาขึ้น มองไปทางเฟิงเจิ้งอวี้อย่างยากลำบาก“พระชายา เป็นเขา…”น้ำตาของนางไหลออกมา“เขาแพร่เชื้อโรคระบาดในเมืองตงหนิง ทำให้พ่อแม่ข้าตาย ทำให้คนมากมายตาย…บาปของเขาหนาเกินกว่าจะให้อภัย มือของเขาเปื้อนเลือด ทำไมถึงยังไม่ถูกลงโทษ…”หรือราษฎรที่บริสุทธิ์เหล่านั้นต้องตายเปล่า?หรือชีวิตของราษฎรต่ำต้อย ไม่นับเป็นชีวิต?หรือชีวิตขององค์ชายสูงศักดิ์กว่า?ฉู่เชียนหลีกอดอวิ๋นอิงที่บาดเจ็บสาหัสอย่างปวดใจ ในใจยิ่งมีเปลวไฟแห่งความโกรธลุกโชนบัญชีแค้นบางอย่าง ถึงเวลาที่ควรชำระแล้วจริงๆ! “เจ้าคิดว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำ ฮ่องเต้ไม่รู้อย่างนั้นหรือ!” นางเงยหน้าขึ้น มองไปทางเฟิงเจิ้งอวี้ที่หยิ่งผยองจนถึงขีดสุด นางโกรธมากกลับหัวเราะแทน“รู้ จะไม่รู้ได้อย่างไร?” เฟิงเจิ้งอวี้ยิ้มอย่างไม่เกรงกลัวไม่เพียงรู้เท่านั้น ยังเป็นใจกับเขาด้วยฮ่าๆๆ!“ฉู่เชียนหลี เจ้าคิดว่าเพราะอะไรข้าถึงบีบบังคับสละราชสมบัติ?” เขาถาม “เป็นเพราะเฟิงเย่เสวียนส่งคนลอ
เสียงตวาดที่อ้อนแอ้นดังขึ้น ยกฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง“ฉู่เชียนหลี!”เฟิงเจิ้งอวี้โกรธแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเป็นโอรสคนโปรดของสวรรค์ ได้รับความสนใจอย่างมาก นอกจากฮ่องเต้ ยังไม่เคยโดนใครตบหน้ามาก่อนเขาคว้ามือเล็กที่เหวี่ยงเข้าหาใบหน้าไว้ พลันออกแรงบิด มืออีกข้างที่ว่างคว้าไปทางผมของนางฉู่เชียนหลีเงยหน้าหลบ อาศัยแรงยึดจากร่างกายเขา แทงเข่าออกไปอย่างแรง“ไอ้เศษสวะชิงหมาเกิด ไอ้ขยะหน้าคนใจหมา ถึงว่าอายุเลขสามแล้ว ยังไม่มีลูกชายสักคน!”“อ๊า!”ส่วนที่เปราะบางที่สุดของผู้ชายถูกโจมตี เจ็บปวดจนหน้าม่วง ร่างกายอ่อนระทวย เวลาไม่กี่วินาทีนั่นเหมือนสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดหลังจากเหวี่ยงฝ่ามือครั้งแล้วครั้งเล่า“ในฐานะที่เป็นองค์ชาย เจ้าไม่เพียงไม่ช่วยเหลือราษฎร ยึดการช่วยเหลือคือความสุข กลับกันเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ใช้ของส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และยังภาคภูมิใจกับมันอีก!”“แม่เจ้าสอนเจ้าเช่นนี้หรือ!”“กล้าแตะต้องคนของข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”ฉู่เชียนหลีลงมืออย่างไร้ความปรานีนางโกรธ รู้สึกโกรธแทนราษฎรผู้บริสุทธิ์ที่ตายไปของเมืองตงหนิง รู้สึกโกรธที่รัชทายาทไม่รู้จักกลับใจ ไม่ให
“นี่เรียกว่าการให้ท้ายลูกตนเอง” นางเช็ดไม้เท้าตีสุนัขที่เปื้อนเลือด พร้อมย่อส่วนกลับไป แล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ“เฟิงเจิ้งอวี้ ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้าในห้องขังแห่งนี้ คิดทบทวนกรรมชั่วของเจ้าให้ดีเถอะ มีข้าฉู่เชียนหลีอยู่หนึ่งวัน เจ้าก็เลิกเพ้อฝันที่จะได้ออกมาใช้ชีวิตอีกเลย!”ยกมือขึ้นโยนจดหมายปึกหนึ่งออกไปฟึ่บ...จดหมายเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นของรัชทายาท ทั้งยัดเยียดความผิด ทั้งวางแผนทำร้าย ทั้งฆ่าคน...จดหมายทุกฉบับ ล้วนจดบันทึกความชั่วร้ายแรงแต่ละอย่างเอาไว้ เพียงแค่ถูกเปิดโปง ชาวบ้านทั่วทั้งแคว้นตงหลิงก็จะพร้อมใจกันประท้วงขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ราชาแห่งสวรรค์มา ก็ปกป้องเฟิงเจิ้งอวี้ไม่ได้ฉู่เชียนหลีเดินย้อนกลับไปที่ริมกำแพง “อวิ๋นอิง!”“พระชายา ข้า...มะ...ไม่เป็นอะไร...อัก...”ทันทีที่พูดจบ หัวของสาวน้อยก็หล่นลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายที่สูบผอมนั้นเต็มไปด้วยเลือด ยุ่งเหยิง อ่อนแอ ทำให้คนรู้สึกสงสาร“อวิ๋นอิง!”“ไม่ต้องกังวล นางเพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น!” เฟิงเจิ้งหลีตรวจสอบลมหายใจของอวิ๋นอิง จับมือทั้งสองข้างของนางวางลงบนลำคอของตนเอง แล้วแบกนางขึ้นมาทันทีที่ลุกขึ
ยามราตรี เป็นเวลาดึกมากแล้ว...ตอนที่ฉู่เชียนหลีเดินออกมาจากในห้อง ความมืดมิดยามราตรีก็มืดสนิทราวกับน้ำ ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงลมหนาวที่พัดพา เงาที่พัดไหวไปตามสายลม รวมทั้ง...แผ่นหลังอันอบอุ่นของชายหนุ่มในชุดสีเหลืองนวลในค่ำคืนอันเหน็บหนาว เฟิงเจิ้งหลีเฝ้าอยู่ด้านนอกมาตลอด...เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปลายจมูกถึงได้รู้สึกปวดร้าวขึ้นมาอย่างประหลาดเป็นเพราะเขาช่วยเหลือ จึงตามหาอวิ๋นอิงเจอตอนที่รัชทายาทกำลังจะฆ่าอวิ๋นอิง ก็เป็นเขาที่พุ่งตัวเข้าไป ใช้ร่างกายของตนเองรับการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตนั้นถ้าหากไม่มีเขาละก็ เกรงว่าอวิ๋นอิงคงจะตายไปแล้ว...ทันใดนั้น เหมือนว่าเฟิงเจิ้งหลีจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง หันหลังกลับ “จัดการแผลของนางเรียบร้อยแล้ว?”ฉู่เชียนหลีรีบสูดจมูก สะกดกลั้นอารมณ์ ทำท่าทางเรียบเฉยเช่นปกติ พลางพยักหน้า พลางเดินเข้าไปหา“ดึกป่านนี้ ยังลำบากท่าน...”“ไม่ลำบากหรอก เฝ้าระวังความปลอดภัยของทุกคนในเมือง คือหน้าที่ของข้า” เขาแสดงป้ายคำสั่งสีดำที่แขวนอยู่บริเวณเอว รอยยิ้มอ่อนโยนและสง่างามหน่วยลาดตระเวนแห่งเมืองหลวง ถึงแม้ว่าตำแหน่งจะเล็ก แต่ประโยชน
“อ๋องเฉิน!”เฟิงเจิ้งหลีเห็นผู้ที่มา รีบดึงเสื้อผ้าลง ไม่ได้สนใจอาการปวดที่บริเวณบั้นเอว รีบลุกขึ้น ถอยหลังออกไปสามกัน เว้นระยะห่างกับฉู่เชียนหลี“ข้าได้รับบาดเจ็บเพราะไม่ทันระวัง เมื่อครู่นี้พระชายาอ๋องเฉินกำลังทายาให้ข้า เดิมทีข้าคิดว่าทายาเสร็จแล้วก็จะส่งนางกลับจวนอ๋องเฉิน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาที่นี่”เขาเอ่ยปากกล่าวอธิบายก่อน ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดเฟิงเย่เสวียนเดินเข้าไปใกล้เขายืนอยู่หน้าประตู จ้องมองทั้งสองคนที่อยู่ด้านในห้อง ร่างกายสะท้อนด้วยแสงเทียน เงาทอดยาว ไปจนถึงพื้นด้านในห้อง ในทิศทางตรงกันข้ามกับแสงไฟ มองสีหน้าเขาไม่ชัดเจนเขากำลังจ้องมองคนทั้งสอง เม้มริมฝีปากบางแน่นจนเป็นเส้นตรง สายตาลึกลับ ยากที่จะคาดเดาอารมณ์ฉู่เชียนหลีมองเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงเคลื่อนสายตา ไม่อยากพูดมากเฟิงเย่เสวียนเห็นท่าทางลุ่มลึกของนาง ประกายในดวงตายิ่งอึมครึมกว่าเดิม สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง พยายามระงับอารมณ์บางอย่างลงไป สาวเท้ายาวเดินเข้าไป จับข้อมือของนางขึ้นมา“เวลาดึกมากแล้ว!”มีแค่คำพูดหนาวสะท้านเพียงประโยคเดียวพูดจบ ก็ลากนางเดินออกไปทางด้านนอก“อ๋อง...” เฟิงเจิ้งหลีกำ
ไปหาเขามีประโยชน์บ้าอะไร!เขายุ่งจนไม่เห็นเงาตั้งแต่เช้ายันมืด เอาแต่คลุกตัวอยู่ในห้องหนังสือไม่ออกมา อยู่กับสตรีชาวเหมียวเจียงคนนั้น ไม่รู้ว่ากำลังทำเรื่องน่าละอายใจอะไรกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะย้อนกลับมาตำหนินางน่าขัน!นางปัดฝุ่นบนหัวไหล่ “เรื่องเล็กน้อยของอวิ๋นอิง จะกล้าไปลำบากเจ้าที่วัน ๆ เอาแต่ยุ่งอยู่กับงานราชการได้อย่างไร?”“เจ้า!”เขาได้ยอมลดท่าทีลงแล้ว แต่นางกลับได้คืบจะเอาศอกเขาเม้มริมฝีปาก “พูดจาดี ๆ”“ข้าพูดจาดีแล้ว” ฉู่เชียนหลียิ้ม “เรื่องเล็กแค่นี้ไม่มีทางลำบากเจ้าหรอก แล้วก็ไม่กล้ารบกวนเจ้าเช่นกัน ข้าสามารถจัดการเองได้ เจ้ารีบไปทำธุระของเจ้าเถอะ ทำอะไรที่ควรทำ ข้ากลับแล้ว”พูดจบ ก็สาวเท้าเดินจากไป“ฉู่เชียนหลี!”เขาเรียกนาง แต่ฝีทางของนางไม่ได้หยุดลง“ฉู่เชียนหลี!” เขาจ้องมองแผ่นหลังของนาง น้ำเสียงที่เย็นชาใกล้จะระเบิดออกมาหญิงสาวค่อย ๆ เดินจากไปไกล ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น“ฉู่เชียนหลี!”โครม!เขาโมโหจนถีบรถเข็นไม้ที่อยู่ด้านข้างจนล้มคว่ำ แล้วก็กระทืบอีกหลายครั้งอย่างรุนแรงเพื่อระบายอารมณ์ให้ตายเถอะ!เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาไม่ได้โมโห นางโมโหอะไร?เข
เช้าวันใหม่กลางเมืองหลวง ข้อวิจารณ์เกี่ยวกับรัชทายาทยังคงไม่หยุด จวนรัชทายาทยังคงมีกองกำลังทหารมากเฝ้าอยู่ ห้ามผู้ใดเข้าออก และเฟิงเจิ้งอวี้ ได้เริ่มตื่นตระหนกแล้วกงเจิ้นหงตายแล้ว จุดอ่อนยังอยู่ในมือของฉู่เชียนหลีอีก เขากังวลว่าเสด็จพ่อจะปกป้องเขาไม่ได้ จึงพยายามคิดหาหนทางเพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทแต่ไม่ว่าจะก่อเรื่อง ตะโกน มอบหมายคนไป ถ่ายทอดคำพูด ไม่ว่าจะวิธีการไหน ก็ไม่เป็นผล...วังหลวงห้องทรงพระอักษรนับตั้งแต่หลังจากที่รัชทายาทถูกปลด ฝ่าบาทไม่ได้ทรงว่าราชกิจเป็นเวลาสามวันติดต่อกันแล้ว ฎีกาทั้งหมดของทุกวันถูกส่งไปยังห้องทรงพระอักษร ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหมดเองก็ไม่กล้ามาเสนอหน้าต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท แต่ละคนหลบหลีกให้ไกลบรรดาขันทีคอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง รอบคอบกว่าตอนปกติสิบเท่าเต๋อฝูยกชาร้อนที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ มาถ้วยหนึ่ง เดินเข้ามา มองใบหน้านิ่ง ตั้งใจอ่านฎีกาแวบหนึ่ง ฝ่าบาทที่พระพักตร์ไร้อารมณ์ แต่กลับมีรัศมี เขาเองก็ระวังมากเช่นกัน“ฝ่าบาท เมื่อคืนนี้ทรงบรรทมแค่เพียงหนึ่งชั่วยาม จะพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”วางชาร้อนลง แล้วเดินไปบีบไหล่ให้ฝ่าบาทคำพูดมากมา