ไม่นานนักอ๋องทั้งสี่ก็มาถึงตำหนักของเจิ้งกุ้ยเหริน!สำหรับเรื่องเช่นนี้ หวังหยวนและอ๋องหลงซีทราบความจริงอยู่แล้ว จึงทราบว่าคงไม่มีอันตรายใดแก่ไท่จื่อมากนัก จึงไม่ได้กังวลนัก!แต่กลับเป็นอ๋องเจิ้นตงที่แสร้งทำเป็นกังวล!ส่วนอ๋องถูหนานนั้นกังวลมากอย่างแท้จริง จนเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ!เจิ้งกุ้ยเหรินนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยใบหน้าซีดเผือด รู้สึกกังวลยิ่งนัก!ส่วนอันกุ้ยเหรินพ่นลมหายใจเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ!“วันนี้เป็นวันแรกที่ข้าได้พบหน้ากุ้ยเหรินทั้งสอง ข้าคือหวังหยวน ขอถวายบังคม”ขณะนี้หวังหยวนพูดขึ้นแล้วมองดูพวกนางทั้งสอง ขณะประสานมือโค้งคำนับอันกุ้ยเหรินได้ฟังเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาทันที“ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านหมิงถันมานานแล้วว่ามีสติปัญญาล้ำเลิศ ครั้นได้พบเจอเช่นนี้ก็ช่างน่าทึ่งนัก”อันกุ้ยเหรินพูดอย่างสุภาพ ส่วนเจิ้งกุ้ยเหรินก็ฝืนใจยิ้ม“ขอถวายบังคมท่านอ๋องเป่ยหลิงเพคะ”ใบหน้าของเจิ้งกุ้ยเหรินแฝงไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แตกต่างจากอันกุ้ยเหรินที่แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวกระนั้นหวังหยวนก็ไม่ได้ตัดสินว่าเจิ้งกุ้ยเหรินเป็นผู้ที่อ่อนแอไร้พิษสงจากเพียงการกระทำนี้!ตร
เมื่ออ๋องเจิ้นตงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “จริงอยู่ เรื่องนี้ต้องจัดการแก้ไขให้เรียบร้อย!”“เจิ้งกุ้ยเหริน พวกเราทั้งสี่เป็นขุนนางผู้ช่วยไท่จื่อแทน แม้จะไม่อาจปกครองวังชั้นในได้ แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องของวังชั้นในได้เช่นกัน!”“บัดนี้ไท่จื่อประชวรเช่นนี้ เจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธการต้องโทษได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายให้ชัดเจน!”เมื่ออ๋องเจิ้นตงพูดจบก็มองไปยังหวังหยวน“อ๋องเป่ยหลิง ท่านเห็นว่าอย่างไร?”อ๋องเจิ้นตงถามหวังหยวนตามตรง หวังหยวนได้ฟังแล้วจึงกะพริบตา“เรื่องนี้... เป็นเรื่องภายในวังชั้นใน แม้ข้าจะเป็นขุนนางผู้ช่วยไท่จื่อ แต่แท้จริงแล้วหน้าที่ของข้าคือป้องกันไม่ให้ต้าเย่และต้าเป่ยรุกรานเมืองหวง ส่วนเรื่องภายในวังหลวง ข้าไม่ประสงค์จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป”“แต่ว่า... เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องสืบสวนอย่างละเอียด”“เราจะไม่อาจกล่าวโทษเจิ้งกุ้ยเหรินโดยไม่ยุติธรรมได้ และไม่อาจปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวลได้ ไม่ใช่หรือ?”หวังหยวนพูดเช่นนี้ ก็เป็นการเสนอแนะแนวทางที่เป็นกลางเมื่ออ๋องหลงซีได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า“เรื่องนี้ยังต้องสืบสวนให้แน่ชัด หากเป็นเจิ้งกุ้ยเห
ถ้อยคำของหวังหยวนนั้นเข้าใจง่าย เจิ้งกุ้ยเหรินสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อได้ฟัง!นางย่อมรู้ดีว่าหวังหยวนจะสื่ออะไร!หากมีผู้ใดจงใจใส่ร้ายนางจริง ๆ!แล้วหาหลักฐานมายืนยันอีก เมื่อนั้นนางคงถึงคราวอับจนหนทาง!เพราะเป็นการตอกย้ำความผิดนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น!สีหน้าของนางจึงไม่สู้ดีนัก!“เจิ้งกุ้ยเหริน ท่านควรไตร่ตรองให้ดีว่าในสองสามวันที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง จงให้ความร่วมมือในการสืบสวน ไม่เช่นนั้นแล้วหากความผิดนี้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อไทเฮาเสด็จกลับมาเกรงว่าจะไม่เมตตา!”“อีกทั้ง... หากท่านถูกส่งไปยังตำหนักเย็น ความเป็นความตาย... คงไม่เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา!”หวังหยวนกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบก็หันหลังเดินจากไปเขาต้องการบอกให้เจิ้งกุ้ยเหรินรู้ว่าในยามนี้นางกำลังตกอยู่ในอันตราย!นางจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานว่าจะเป็นเช่นไร!หากมีผู้ใดลงมือกระทำการและหลักฐานชี้ไปที่นาง นางก็จบสิ้น!นางถูกใส่ร้ายหรือไม่ นางย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด!ดังนั้นในใจของนางย่อมคิดที่จะหาหลักฐานนั้นให้พบในทันที!ทว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย!นางเป็นพระสนมที่ไม่มีอำนาจใด ๆ
“เป็นอย่างไร มีหลักฐานอยู่ในมือแล้วหรือเปล่า?”หวังหยวนถามอ๋องหลงซีตามตรงอ๋องหลงซียกยิ้มแล้วพยักหน้า“ย่อมได้มาแล้ว ทันทีที่พวกเขาลงมือ ทุกอย่างล้วนอยู่ใต้การควบคุมของข้าทั้งหมดแล้ว!”“รวมถึง... บทสนทนาระหว่างเจ้ากับเจิ้งกุ้ยเหริน!”“ข้าก็รู้แล้ว!”อ๋องหลงซีหัวเราะหวังหยวนก็ยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการบีบบังคับนางเท่านั้น”“แต่ว่าเจิ้งกุ้ยเหรินผู้นี้ฉลาดมาก นึกไม่ถึงว่านางจะคิดได้มากมายเช่นนี้ พูดตามตรงคือข้ารู้สึกตกใจเล็กน้อย!”หวังหยวนกล่าวจบ อ๋องหลงซีก็กล่าวว่า“เป็นธรรมดา เจิ้งกุ้ยเหรินผู้นี้เคยตามเสด็จฮ่องเต้องค์ก่อนไปตรวจดูราชกิจเสมอ นางย่อมมีความสามารถเช่นนี้!”“แต่ว่า... กับดักที่ดักจับนางในตอนนี้ ไม่รู้ว่านางจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่!”อ๋องหลงซียกยิ้มแล้วจิบชา“ทางฝั่งอ๋องเจิ้นตงและอันกุ้ยเหรินมีการเคลื่อนไหวใดบ้างหรือไม่?”หวังหยวนถามขึ้นอ๋องหลงซีหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น“ย่อมมีการเคลื่อนไหวแล้ว!”“ข้าสืบหาความจริง ส่วนเขาต้องการสร้างเรื่องให้สมจริง ดังนั้น... เจ้าว่าตอนนี้เขาจะยุ่งอยู่กับอะไร?”หลังจากที่อ๋องหลงซีกล่าวจบ หวังหยวนก็ถอนหายใจอ๋อง
หวังหยวนยกยิ้มจาง แล้วมองไปที่อ๋องหลงซีพลางกล่าวว่า“ไม่ต้องกังวลหรอก จะไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว เพราะพวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องลงมือกับเมืองหวง!”“แม้ว่าไทเฮาเซียวฉู่ฉู่จะไม่อยู่ที่นี่ แต่กองทัพของท่านที่เมืองหวงก็ไม่ได้มีจำนวนลดลงแม้แต่น้อย พวกเขารู้ดี จึง... จะไม่กล้ามาล่วงเกินโดยง่าย!”“ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะอดทนไม่ไหวก็คงจะไม่กล้าเคลื่อนทัพเข้ามาในเขตแดนของเมืองหวงโดยง่ายหรอก!”เมื่อหวังหยวนกล่าวจบประโยคนี้ อ๋องหลงซีก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วอดไม่ได้ที่จะถามว่า“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”หวังหยวนก็ไม่ได้ปิดบัง อธิบายว่า“ง่ายนิดเดียว เพราะดินแดนทั้งเก้าต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาหมายปอง เหมือนกับการที่หมานอี๋ในเวลานี้ก่อความไม่สงบเล็กน้อย พวกท่านจะส่งกองทัพไปโดยง่ายหรือ?”เมื่อหวังหยวนกล่าวจบ อ๋องหลงซีก็พยักหน้า คำพูดนี้ก็ฟังดูมีเหตุผล เมืองหวงและหมานอี๋ต่างก็อยู่นอกดินแดนทั้งเก้าและเป็นดินแดนที่ไม่อุดมสมบูรณ์ พวกเขาคงจะไม่กล้ามาบุกรุกโดยง่ายแน่นอนว่ายังมีอีกกรณีหนึ่ง นั่นคือเมื่อต้าเย่รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว พวกเขาต้องการจะรวมแผ่นดินนี้เข้าด้วยกัน พวกเขาจึงจะทำเช่นนั้น!และสถา
หลี่ซื่อหานมองไปที่หวงเจียวเจียว เมื่อได้ยินประโยคนี้ หวงเจียวเจียวย่อมรู้สึกตื้นตันใจนางอยากจะรีบไปหาหวังหยวนโดยทันที แต่เรื่องเช่นนี้ นางรู้สึกอับอายที่จะพูดออกมา“แต่... แต่สามีไม่ได้ให้ข้าไป...”หวงเจียวเจียวหน้าแดง อดไม่ได้ที่จะพูด“โอ้ น้องสาว ใจเจ้าคงจะบินไปถึงที่นั่นตั้งนานแล้วใช่หรือไม่? อย่าได้ปิดบังเลย!”หลี่ซื่อหานหัวเราะ ขณะที่หูเมิ่งอิ๋งก็พยักหน้า“ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะให้พวกเราไปแทนหรือไม่ล่ะ?”หูเมิ่งอิ๋งพูดติดตลกขึ้นมา เมื่อหวงเจียวเจียวได้ยินดังนั้นจึงทำหน้ามุ่ยใส่พวกนางทั้งสอง!“ฮึ่ม! ข้าจะไปหาสามีที่เมืองหวงเดี๋ยวนี้ แล้วฟ้องเขาว่าพวกท่านทั้งสองรังแกข้า!”หลังจากที่หวงเจียวเจียวพูดจบก็รีบเข้าไปเก็บของหูเมิ่งอิ๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาทันที“หากเจ้าไปถึงที่นั่น สามีจะยิ่งรังแกเจ้ามากกว่าเดิม...”“บางทีครั้งต่อไปที่เจอหน้ากัน เจ้าอาจจะไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกแล้ว อาจจะมีสองคนในคนเดียวแล้วก็ได้...”คำพูดของหูเมิ่งอิ๋งทำให้หวงเจียวเจียวหน้าแดงก่ำ นางรู้ดีว่าหูเมิ่งอิ๋งหมายความว่าอย่างไร!แต่ในใจก็ยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้น!เพราะท้ายที่สุดแล้วการได้อยู่สอ
“ไม่อร่อยเลยสักนิด”เมื่อได้เคี้ยวข้าวสาลีผสมถั่ว หวังหยวนวางชามดินเผาลง รู้สึกเหมือนกินแกลบไม่มีผิด ตอนนี้ใครมาบอกว่าการข้ามกาลเวลามันดี เขาก็พร้อมที่จะบอกความในใจให้พวกเขา ข้ามกาลเวลามาถึงช่วงราชวงศ์ต้าเย่ คล้ายช่วงยุคสมัยโบราณของจีน เจ้าของร่างเดิมเป็นเป็นเจ้าของที่ดินเล็ก ๆ ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่ ตอนเช้าได้กินข้าวต้มข้าวฟ่าง เที่ยงได้กินข้าวผสมข้าวฟ่าง ตอนเย็นได้กินเซาปิ่งพร้อมธัญพืชผสม ทุก ๆ สิบวันหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในเมือง ถึงจะได้กลับมากินให้หายอยากได้สำหรับคนทั่วไป แต่ละวันกินข้าวต้มข้าวฟ่าง หรือข้าวสาลีผสมถั่ว ส่วนเนื้อนั้นในช่วงปกติอย่าไปคิดถึงมันเลย คงมีแค่ช่วงฉลองตรุษจีนเท่านั้นถึงจะได้กินเนื้อบ้าง ส่วนแป้งและข้าวสารนั้นเป็นที่นิยมของเจ้าของที่ดิน คหบดีและขุนนาง นึกถึงพวกไข่ เนื้อหมู ไก่ ปลา บนโลกที่ถูกทิ้ง หวังหยวนอดที่จะตีตัวเองไม่ได้ น้ำเสียงที่ฟังดูขลาดกลัวของคน ๆ หนึ่งดังขึ้น “ท่านพี่ ขอโทษนะ ในบ้านไม่มีข้าวฟ่างแล้ว ให้ท่านที่เป็นบัณฑิตเพิ่งหายป่วยกินข้าวสาลีผสมถั่วเช่นนี้?” แววตาของหวังหยวนมีประกายขึ้นมา สาวน้อยคนสวยที่ท่าทางขี้ขลาดยืนอยู่หน้าห้องโ
หวังหยวนเลิกคิ้ว "ถ้าข้าทำได้ล่ะ?" หลิวโย่วไฉเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ "ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไม่คิดดอกเบี้ย! แต่ถ้าทำไม่ได้ เจ้าจะต้องขายตัวเองเป็นคนรับใช้นายของข้า ว่าอย่างไรบ้าง?" หลี่ซื่อหานหน้าถอดสี “ท่านพี่ อย่ารับปากนะ!” เจ้าของที่ใจดำคนนี้ต้องการให้เขาขายตัวเองเป็นทาส หวังหยวนโกรธมาก แต่เขาเดินไปเขียนสัญญาสองฉบับและหยิบแผ่นหมึกสีแดงออกมา "เขียนชื่อและประทับนิ้วซะ!" “ได้!” หลังจากเขียนชื่อด้วยลายมือน่าเกลียด และประทับลายนิ้วมือสีแดงแล้ว หลิวโย่วไฉก็เดินจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ คนเสเพลเช่นนี้ เขาไม่มีหาเงินสี่สิบกว้านได้ภายในสามวันอย่างแน่นอน แม้ว่าครอบครัวของสาวน้อยจะร่ำรวย แต่พวกเขาก็อยากให้นางทิ้งคนเสเพลพรรค์นี้อยู่เสมอ ดังนั้นการยืมเงินคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ การเดิมพันครั้งนี้ จะได้ทาสมาฟรี ๆ และสามารถขายได้ต่อในราคาหลายสิบกว้านด้วย! เข้าใกล้เป้าหมายที่ตระกูลหลิวจะครอบครองที่ดินพันหมู่ไปอีกหนึ่งเก้า 'สามีภรรยา' ยืนอยู่ตรงข้ามกันในลานบ้าน “ซื่อหาน” หวังหยวนอยากจะปลอบนาง หลี่ซื่อหานเช็ดน้ำตา และรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอน หวังหยวนเข้าใจว่านี่เป็นทำร้าย