“เจียงหวานหว่าน เจ้าเคยทำอาหารให้เซียวหวายกินหรือไม่?”เจียงหวานหว่านยิ้ม “นอกจากท่านแม่และสือหลิ่วแล้ว ข้าเคยทำอาหารให้ท่านอ๋องแค่คนเดียว”หรงซีพอใจกับคำตอบของเจียงหวานหว่านมาก“ต่อไปทำอาหารให้ข้ากินได้คนเดียวเท่านั้น”เจียงหวานหว่านคิดสักพัก “ได้”หรงซีพอใจมากเมื่อเห็นคราบโจ๊กที่มุมปากนางหรงซีใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดให้ ทำเอาเจียงหวานหว่านเขินจนหน้าแดง“ท่านอ๋อง มือท่านไม่มีแรงไม่ใช่หรือ?”เจียงหวานหว่านถามอย่างรู้ทัน“อืม”หรงซีหน้าไม่แดง ใจไม่เต้นเร็วเจียงหวานหว่านเบะปาก หรงซีกำลังโกหกชัดๆแต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่หรงซีถูกพิษเพราะขนมของนาง นางก็ยอมให้ความร่วมมือกับเขา“ท่านอ๋องต้องกินให้มากหน่อย ไม่แน่พรุ่งนี้ก็อาจลุกจากเตียงได้แล้ว”เจียงหวานหว่านกล่าวด้วยความหงุดหงิด“ยาพิษกลืนวิญญาณ จะหายเร็วเพียงนั้นได้เช่นไร”“ตุบ”ชามในมือเจียงหวานหว่านร่วงลงพื้น“ท่านถูกยาพิษกลืนวิญญาณ?”ผู้ถูกยาพิษกลืนวิญญาณจะต้องตายภายในสามวันนางจับมือของหรงซีแล้ววางนิ้วมือตัวเองทาบลงไปหรงซีเห็นท่าทางร้อนใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นในใจ“ชีพจรท่านอ๋องได้รับความเสียหาย ยังดีที่ยายใบ้อยู่ด้วย
เจียงหวานหว่านตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองชาติก่อน หรงมู่หานขังนางเอาไว้ในห้องลับ ยังมีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ด้วยตอนที่นางถูกจับเข้าไป สตรีนางนั้นก็ถูกนำตัวออกไปสตรีนางนั้นหายใจโรยรินตอนที่หิ้วสตรีนางนั้นออกไป นางได้เห็นใบหน้าสตรีนางนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจตอนนั้นคิดว่าสตรีนางนั้นหน้าตาคุ้นตามากเมื่อรวมกับใบหน้าของหรงซี สตรีนางนั้นและหรงซีมีความคล้ายกันอยู่แปดส่วนคงเป็นเสด็จแม่ของหรงซีซ่างกวนเสวี่ยเจียงหวานหว่านมองหรงซีด้วยสายตาสับสนนางรู้แล้ว เป็นความลับที่ชาติก่อนนางกับหรงซีไม่ล่วงรู้นางคิดว่าจะบอกเรื่องนี้กับหรงซีเช่นไรหรงซีเห็นสีหน้าเจียงหวานหว่านก็คิดว่านางต้องรู้เรื่องบางอย่าง“เจ้ารู้จักเสด็จแม่ข้า?”หรงซีกล่าวประโยคนี้ออกมาสัญชาตญาณเขาบอกเขาว่าเจียงหวานหว่านเคยพบเสด็จแม่ของเขาเจียงหวานหว่านสับสนในใจห้องลับอยู่ในห้องอักษรของฝ่าบาทหากสตรีนางนั้นเป็นเสด็จแม่ของหรงซีจริงเช่นนั้นใครเป็นผู้บงการเรื่องการหายตัวของเสด็จแม่หรงซี ก็ไม่ต้องคาดเดาแล้วเป็นฝ่าบาทองค์ปัจจุบันฝ่าบาทมีประสงค์ใดจึงได้กักขังเสด็จแม่ของหรงซีเอาไว้ในห้องลับหรือเพื่อควบคุมอำนาจทหารในมือหรง
แคว้นตงหลิง ฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บปีเฉียนหยวนที่สามสิบเจ็ดภายในห้องลับมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้คนกลัวจนตัวสั่นสะท้านเห็นเพียงว่าบนเตียงหินของห้องลับมีหญิงสาวที่ร่างกายอาบไปด้วยเลือดคนหนึ่งนอนอยู่บนใบหน้าของนางมีรอยแผลกรีดคาดกันเป็นเส้นๆ ดูอัปลักษณ์น่าสะพรึงกลัวมือเท้าถูกตะปูเหล็กหนาตอกไว้ที่สี่มุมของเตียงหิน บาดแผลมีเลือดเปรอะเปื้อน บนเตียงก็เต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงเข้มที่แห้งกรังท้องของนางกลับนูนสูง เห็นได้ชัดว่าท้องใกล้คลอดแล้วสตรีในอาภรหรูถือกริชเล่มหนึ่งไว้ในมือ แย้มยิ้มขณะเดินเข้าใกล้นางทีละก้าวๆ“เจียงอวิ้น! กรรมจะตามสนองเจ้า เจ้าจะไม่ได้ตายดี!”“เหอะๆ ข้าจะตายดีหรือไม่นั้นไม่รู้ แต่เจ้าจะต้องไม่ได้ตายดีแน่!”พอพูดถึงคำสุดท้ายออกมา เสียงนางก็ดังก้องขณะชูกริชในมือขึ้น แทงเข้าไปในเบ้าตาของผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่ลังเล“อ้า...” เสียงกรีดร้องที่แสนเจ็บปวดดังไปทั้งห้องศิลาโลหิตสดกระเซ็นไปทั่วทั้งตัวของนางแต่นางกลับไม่คิดแยแส ดวงตาจ้องมองสภาพอนาถของสตรีผู้นั้น ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มแห่งความปีติสุข“เจียงหวานหว่าน แต่เดิมเจ้ากับมารดาแพศยาของเจ้าไม่ควรกลั
ฤดูหนาวเดือนสิบสอง หิมะร่วงโรยปลิวพริ้วรถม้าคันหนึ่งวิ่งไปตามเส้นทางบนภูเขาที่ทุรกันดารอย่างช้าๆรถม้าที่ทั้งเก่าและทรุดโทรมไม่อาจต้านแรงลมหนาวได้ เย็นจนคล้ายกับจะแช่แข็งกระดูกคนได้เจียงหวานหว่านฟื้นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด นางไม่ได้ตายไปแล้วเหรอทำไมถึงยังเจ็บมากขนาดนี้อีกนางพยายามที่จะลืมตาขึ้น ในขณะที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็คล้ายกับได้เห็นหลิ่วซู่แม่ของนาง"ท่านแม่..."น้ำเสียงที่แหบพร่าแฝงไว้ด้วยความสั่นเครือ คล้ายกับกำลังยืนยันอะไรบางอย่างหลิ่วซู่คว้ามือนางไว้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับพูดว่า "หวานหว่าน เยี่ยมไปเลย ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นสักที""ท่านแม่..."เมื่อได้สัมผัสความรู้สึกห่วงใยอันแสนอบอุ่นจากแม่อีกครั้ง เจียงหวานหว่านก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ จนน้ำตาเกือบจะไหลรินออกมาหลิ่วซู่ตกใจ "หวานหว่านอย่าร้อง ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้ว เดี๋ยวเจ้าก็จะได้เจอพ่อกับพวกพี่ชายแล้วนะ"เมื่อเจียงหวานหว่านใด้ยินที่นางพูด ก็นิ่งอึ้งไป "ไปเมืองหลวงหรือ"แววตาของหลิ่วซู่หม่นแสงลงนิดหนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจออกมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน สามีได้พาแม่สามีและลูกๆ ที่อายุยังน้อยห้าคนมาที่
สิบวันต่อมารถม้าที่สภาพทรุดโทรมหยุดจอดอยู่หน้าประตูของจวนเจียงเจียงหวานหว่านให้สือหลิ่วไปเคาะประตู อีกทั้งยังแจ้งฐานะของพวกนางด้วยเมื่อเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปยกใหญ่หลังจากที่มองพวกนางตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว "ปึง" เสียงปิดประตูดัง หันกลับวิ่งไปรายงานที่เรือนกลางทันทีเฉาหยูเฟิ่งกำลังถือช้อนชิมรังนกหิมะชั้นดีอยู่เมื่อได้ยินที่สาวใช้บอก ช้อนในมือก็ร่วงลงในชามทันที ทำให้เกิดเสียงแตกดังลั่นทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ นางส่งคนไปฆ่าแม่ลูกคู่นี้แล้วนี่นาคนยังไม่ตาย แถมยังปล่อยให้พวกนางวิ่งแจ่นมาจนถึงเมืองหลวงได้ในใจของเฉาหยูเฟิ่งรู้สึกเดือดปุดๆ จนแทบจะกัดฟันเงินจนแตกได้"นายหญิง คราวนี้จะทำยังไงดีเจ้าคะ""หึ! อะไรทำยังไง ก็เป็นแค่พวกคนยากจน ออกไปพบพร้อมกับข้าก็พอ!"เมื่อพูดจบ นางก็ลุกขึ้นเดินอย่างองอาจไปที่ประตูใหญ่พร้อมกับสาวใช้ทันทีประตูใหญ่ของจวนเจียงค่อยๆ เปิดออก เฉาหยูเฟิ่งเดินนำสาวใช้ออกมาร่างที่สวมใส่ชุดหรูหราราคาแพง ยืนอยู่ตรงหน้าคู่แม่ลูกหลิ่วซู่ด้วยความดูถูก จ้องไปที่พวกนางด้วยสายตาเย็นเยียบ"เป็นพวกเจ้าเองเหรอที่แอบอ้างตัวว่าเป็นนายหญิงกับบุตร
"หนิงเกอเออร์..."หลิ่วซู่มองไปที่ลูกชายที่อยู่ใกล้แค่คืบอย่างเหม่อลอย ร้องเรียกชื่อของเขาออกมาเจียงจิ่นหนิงชะงักไปครู่หนึ่งจ้องมองไปที่ผู้หญิงสูงวัยที่สวมใส่เสื้อผ้าโทรมๆ จนดูน่าอนาถเขาขมวดคิ้วมุ่น "เจ้าเป็นใคร บังอาจมาเรียกชื่อของข้า"ชัดเจน เขาจำหน้าตาของแม่ตัวเองไม่ได้แล้วหลิ่วซู่โซเซถอยหลังไปสองก้าว ถึงจะค่อยถูกสือหลิ่วช่วยประคองตัวเอาไว้ในใจก็อดที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจไม่ได้ น้ำตาเริ่มไหลลงมาอย่างช้าๆเจียงหวานหว่านที่เห็นว่าเขาทำร้ายแม่แบบนี้ ก็อดกลั้นความโกรธในใจต่อไปไม่ไหวแล้วแต่แล้วยังไม่ทันรอให้นางได้มีปฏิกริยาตอบสนองอะไร เฉาหยูเฟิ่งก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาก่อน"หนิงเกอเออร์ พวกมันสองคนแม่ลูกเป็นพวกหลอกลวง แอบอ้างว่าตัวเองเป็นแม่และน้องสาวของเจ้า เจ้ารีบมาช่วยแม่เร็วเข้า!"เสียงร้องของเฉาหยูเฟิ่งทำให้เจียงจิ่นหนิงได้สติกลับมามองไปที่บาดแผลบนใบหน้าของเฉาหยูเฟิ่ง ในใจของเขาก็คุกรุ่นขึ้นมา"ปล่อยแม่ของข้านะ!""เจียงจิ่นหนิง เจ้าเอาโจรมาเป็นแม่ ไม่สมควรจะเป็นคน!"พูดไป นางก็ใช้เท้าเหยียบลงไปแรงๆ อีกครั้งเฉาหยูเฟิ่งร้องโหยหวนเป็นหมูโดนเชือดออกมาเจียงจิ่นหน
เจียงหวานหว่านส่งเสียงไม่พอใจทีหนึ่ง แล้วหยิบเอาหนังสือสมรสที่หลิ่วซู่พกติดตัวไว้ตลอดออกมา"หนังสือสมรสอยู่นี่ เจียงป๋อเหนียน รู้กฎหมายแต่ยังทำผิด"หนังสือสมรสตรงหน้า เป็นเหมือนหลักฐานมัดตัวที่แน่นหนาเจียงป๋อเหนียนรู้สึกเหมือนพังทลาย ริมฝีปากสั่นน้อยๆ"ปลอมแปลงหนังสือสมรส นักต้มตุ๋นนี่มีชั้นเชิงไม่เบา ใครก็ได้ ไปเอาหนังสือสมรสมาให้ข้า!"เจียงป๋อเหนียนหรี่ตาลง ภรรยาเอกของเขาจะเป็นผู้หญิงบ้านนอกไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวคนอื่นจะหัวเราะเยาะกันพอดีในจังหวะที่พวกคนใช้กำลังจะกรูกันเข้ามานั่นเองน้ำเสียงทุ้มหนามีเสน่ห์ก็ดังขึ้นมาก่อน"ฮูหยินเจียง มีเรื่องอันใดกันถึงได้คึกคักเพียงนี้"ตึก ตึก เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งกำลังขี่ม้าชั้นดีสีขาวราวหิมะเข้ามาอย่างองอาจรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีทองแดง เครื่องหน้าคมเข้มชัดเจนลึกล้ำดวงตาเรียวยาวรูปดอกท้อภายใต้คิ้วคมดุจกระบี่ มองทุกคนอย่างดูมีอำนาจชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่บังเอิญบุกเข้ามา ทำให้ร่างกายของเจียงหวานหว่านแข็งทื่อ ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นเมื่อเจียงป๋อเหนียนเห็นเป็นเขา ก็ใจกระตุก"คารวะอ๋องซี แค่ชาวบ้านก่อความวุ่นวาย เดี๋ยวข
สีหน้าของเจียงป๋อเหนียนดูไม่ได้ สองมือกำหมัดแน่นกำลังทหารครึ่งหนึ่งของแคว้นตงหลิงอยู่ในมือของหรงซีเขาไม่กล้าจะผิดใจกับหรงซีท่าทีของหรงซีในตอนนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะช่วยหลิ่วซู่แม่ลูก เขาไม่อาจเอาอนาคตของตัวเองไปเสี่ยงได้หลังจากลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดเจียงป๋อเหนียนก็กัดฟันยอมรับ "ใช่ นางหลิ่วเป็นภรรยาเอกของข้าน้อยเองขอรับ""อ๋องซี ข้าน้อยแก่แล้วสายตาไม่ดี ไม่ได้พบฮูหยินมาหลายปี หน้าตาฮูหยินก็เปลี่ยนไป ก็เลยจำไม่ได้ในตอนแรก อีกทั้งยังเคยได้รับจดหมายบอกว่าฮูหยินกับลูกสาวเสียชีวิตไปแล้ว จึงได้เกิดเรื่องเข้าใจผิดในวันนี้ได้"หรงซีมองไปที่เจียงหวานหว่าน "แม่นางเจียง ใต้เท้าเจียงบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เจ้าคิดว่ายังไง"เจียงป๋อเหนียนมองไปทางหลิ่วซู่ สายตาเหมือนมีความหมาย "ซู่เหนียง พวกลูกๆ ต่างก็คิดถึงเจ้ามาก เจ้ากลับมาได้ พวกเขาจะต้องดีใจกันมากแน่"เขากำลังเตือนหลิ่วซู่ว่าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ให้คิดถึงอนาคตของพวกลูกชายด้วยเจียงหวานหว่านมองไปที่เจียงป๋อเหนียนอย่างดูถูก รังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวคนแข็งแกร่งหลิ่วซู่ยังคงกัดริมฝีปากล่างอยู่อย่างนั้น ส่า