อินชิงเสวียนถือแตงโมเข้าห้องครัวใช้มีดตัดแบ่งเป็นหลายชิ้น แบ่งให้พวกเด็กๆ และฉินเทียนทั้งสามคนทุกคนล้วนไม่เคยเห็นแตงโมมาก่อน อดตะลึงไม่ได้เสี่ยวอานจื่อถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่คือ...”“นี่คือแตงโมชองฮว๋าเซี่ย พวกเจ้ารีบชิมดูสิ ในบ้านเราเหลือไม่กี่ลูกแล้ว”พอทุกคนลองชิมไปหนึ่งคำ ดวงตาแต่ละคนเบิกกว้าง เพียงรู้สึกถึงรสชาติหวานเย็นไหลจากลำคอลงไป คล้ายกับทั้งร่างสดชื่นขึ้นไม่น้อยซานชิงอายุน้อย กินไปหนึ่งคำก็อดถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพ่อ ทำไมข้าไม่เคยเห็นมันในบ้านเรามาก่อนขอรับ”ต้าฮวาลนลานรีบปิดปากซานชิง“อย่าพูดไร้สาระ พวกเราออกไปกินนอกบ้าน”อินชิงเสวียนเหลือบมองลูกสาวคนโตอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็ยื่นแตงโมให้พวกเขาต้าฮวาใช้มือถือแตงโมไว้ เดินนำน้องชายทั้งสองคนไปยังกลางลานบ้านทั้งสามคนในห้องไม่ได้คิดอะไรมาก ที่สำคัญคือพวกเขาเองก็เคยได้ยินชื่อแคว้นฮว๋าเซี่ย ที่นั่นจะมีผลไม้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรฉินเทียนกินไปสองชิ้นแต่ก็ยังไม่หนำใจ เอ่ยขึ้นว่า “แตงโมนี้อร่อยมาก หากไม่ได้ตามเสี่ยวเสวียนจื่อมา จะไปกินแตงโมแสนอร่อยขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน”เสี่ยวอานจื่อหัวเราะแห
อินชิงเสวียนพูดยิ้มแย้ม “วิธีการทำอาหารจากแป้งยังมีอีกมากมาย สามารถนึ่งเป็นซาลาเปา ห่อเกี๊ยว ทำเส้นบะหมี่ รอให้ข้าวสาลีสุก ข้าจะออกตำราเรียน สอนประชากรต้าโจวทำอาหารจากแป้ง”หานสือพยักหน้าหงึกๆ “เช่นนั้นก็ดีเสียจริง”ระหว่างพูดคุยก็กินเปี๊ยะหมดไปหนึ่งแผ่น เขาห่อที่เหลือในกระดาษอย่างระมัดระวัง เก็บซ่อนไว้ในอกเสื้อ เตรียมนำกลับไปให้ภรรยาและลูกชายลู่ทงหันหน้ามา เห็นหานสือรับของจากมืออินชิงเสวียนแล้วเก็บไว้ในหน้าอก เขาอดแค่นหัวเราะไม่ได้ คิดว่าขันทีน้อยคนนี้กำลังติดสินบนหานสือ พรุ่งนี้เขามีฎีกาให้ถวายแล้วชั่วพริบตา ดวงอาทิตย์เคลื่อนย้ายไปทางตะวันตก ชาวนาลุกขึ้นมาหว่านเมล็ดพันธุ์หานสือตะโกนจากที่ไกลๆ “ใต้เท้าลู่ รีบลุกขึ้นเถอะ ทำงานเสร็จเร็วก็กลับบ้านเร็ว”ลู่ทงทำเสียงฮึดฮัดลุกขึ้นจากพื้น เด็กรับใช้สองคนตามข้าหลังเขาด้วยความกระตือรือร้น ทำงานกันจนดวงอาทิตย์ตกดิน หานสือถึงให้ทุกคนเลิกงานพักผ่อน“หมดวันแล้ว เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงรีบกลับไปเถอะ”อินชิงเสวียนประสานมือคารวะ“ใต้เท้าหานทำงานหนักมาทั้งวันก็พักผ่อนเถอะ พวกเรากลับวังไปรายงานผลปฏิบัติงาน”หานสือหัวเราะเหอะๆ “ได้ หากมีวาสนาพว
อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตอนนี้เองเสี่ยวอานจื่อก็กลับมาจากข้างนอกแล้ว“มีเรื่องอันใดรึ”เสี่ยวอานจื่อกล่าวเสียงแหลมว่า “ไม่มีอะไร พวกเขาแค่คันไม้คันมืออยากลองเล่นสักตาสองตา แต่ข้าไม่เห็นด้วย เงินข้ายังต้องเก็บไว้ใช้ในยามแก่เฒ่านะ”อินชิงเสวียนทำเสียงจิ๊เย้ยหยัน เป็นถึงขุนนางของฮ่องเต้ แต่กลับกล้าเล่นพนันเช่นนี้ พวกขันทีน้อยเหล่านี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก“คนที่มาหาเจ้าเมื่อครู่เป็นใครน่ะ”เสี่ยวอานจื่อทิ้งตัวลงบนเตียง กล่าวด้วยสีหน้าเพลิดเพลินว่า “เขาชื่อเสี่ยวฮว๋ายจื่อ เห็นเขาอายุยังน้อยเช่นนั้น แต่เขาก็เป็นคนเก่าแก่ในจวนรัชทายาทนะ”อินชิงเสวียนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย หากเสี่ยวฮว๋ายจื่อผู้นั้นเป็นคนเก่าแก่ในจวนรัชทายาท นั่นก็หมายความว่าเย่จิ่งเย่าได้ซื้อตัวคนข้างกายของเย่จิ่วอวี้มาตั้งนานแล้วเช่นนั้นหรือหรือไม่ เขาก็เป็นหนอนบ่อนไส้ของเย่จิ่งเย่าความสัมพันธ์ในวังหลวงนั้นช่างซับซ้อนยิ่งนักในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างกลัดกลุ้มใจเช่นกัน หากเขาเป็นคนเก่าแก่จริง เหตุใดถึงไม่ติดตามหลี่เต๋อฝูล่ะ“เมื่อก่อนเจ้าเองก็อยู่ในจวนรัชทายาทล่ะสิ ไม่เช่นนั้นหัวหน้าหลี่ก็คงไม่เลือกเ
“แล้วเรื่องอื่นล่ะ”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกคนผู้นั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้อันผิงอ๋องได้เจอกับเสนากวนเมิ่งถิง ตอนนี้ปลอมตัวเป็นขันทีไปที่ตำหนักฉือหนิง นอกจากนี้ กระหม่อมยังยึดจดหมายมาได้หนึ่งฉบับ เป็นจดหมายที่ตำหนักฉือหนิงส่งออกไปพ่ะย่ะค่ะ”เขาควักจดหมายนั้นออกมาจากหน้าอก ยื่นทูลเหนือหัวให้กับเย่จิ่งอวี้ด้วยความเคารพเป็นอย่างเย่จิ่งอวี้รับจดหมายนั้นมา แต่กลับไม่ได้ร้อนใจที่จะเปิดอ่านเขาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางลูบเล่นอักษรที่ปิดผนึกอยู่บนจดหมายนั้น นัยน์ตาหงส์แคบยาวคู่นั้นเผยความเย้ยหยันเล็กน้อยคนผู้นั้นกล่าวถามว่า “จะให้กระหม่อมนำคนไปขับไล่อันผิงอ๋องออกจากวังหลวงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ดวงตาของเย่จิ่งอวี่เปล่งประกายขึ้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่จำเป็น จับตาดูให้ดีก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”รับสั่งเสร็จคนผู้นั้นก็ถอยไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะอันตรธานหายไปจากตำหนักเฉิงเทียน เย่จิ่งอวี้ลุกจากตั่งฟูกนุ่ม ชุดคลุมยาวไหมสีขาวราวหิมะลากพื้น ขับให้ร่างของเขาดูสูงโปร่งเขาเดินไปที่โต๊ะทรงพระอักษร เปิดผนึกจดหมายฉบับนั้นออก ก่อนจะอ่านข้อความ
ไทเฮาทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก”อินชิงเสวียนแสยะยิ้มมุมปาก กล่าวเสียดสีว่า “ความบังอาจของหม่อมฉัน หากเทียบกับอันผิงอ๋องแล้วยังห่างไกลกันมาก”“สามหาว”ไทเฮาตบโต๊ะด้วยความโกรธกริ้ว สีหน้าดำคล้ำลงมากทว่า ไม่นานนักนางก็ฉีกยิ้มขึ้นอีกครั้ง แววตาที่มองอินชิงเสวียนนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังมีความรักความเมตตาอยู่“ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเสวียนจื่อไปก่อนก็แล้วกัน เรื่องระหว่างเจ้ากับเย่าเอ๋อร์ ข้าเสียใจมากจริงๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเย่าเอ๋อร์นะ เย่จิ่งอวี้ต่างหากล่ะที่บีบบังคับให้เย่าเอ๋อร์อภิเษกกับเจียงซิ่วหนิง ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางทหารของตระกูลอิน น่าเสียดายที่พ่อเจ้าเป็นคนเข้มแข็งยุติธรรม ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ทำให้เย่จิ่งอวี้โกรธ นี่ต่างหากล่ะที่ทำให้พวกเขาต้องถูกเนรเทศไปที่เมืองซุ่ยหาน หากฮ่องเต้คนใหม่ไม่ขึ้นครองบัลลังก์ การเข่นฆ่าก็จะไม่เกิด พ่อและพี่ชายของเจ้าก็คงจะอยู่รอดปลอดภัย”ไทเฮาคว้ามือของอินชิงเสวียนมาจับ กล่าวต่ออีกว่า “หากฝ่าบาทไม่เข้ามาขวางทาง เราก็คงจะเป็นครอบครัวเดียวกันไปตั้งนานแล้ว...”อินช
อากาศร้อนระอุเช่นนี้จะให้นางไปทำเกี๊ยว ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริงอิงชิงเสวียนแอบตำหนิอยู่ในใจ แต่ไม่ได้แสดงท่าทางอันใดออกไปแต่อย่างใด“กระหม่อมรับพระบัญชา”นางเดินไปตัดต้นหอมต้นใหญ่สองต้น และกล่าวด้วยสีหน้าประจบสอพลอว่า “ฝ่าบาท ให้เสี่ยวอานจื่อไปกับกระหม่อมด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยากไปเยี่ยมน้องสาวที่วังเย็น จะได้ให้เสี่ยวอานจื่อเอาเกี๊ยวกลับมาด้วย”เย่จิ่งอวี้ตอบอืมไปคำหนึ่ง “แล้วแต่เจ้าเถอะ”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาท”อินชิงเสวียนกล่าวขอบคุณด้วยความดีอกดีใจ ดึงแขนเสื้อเสี่ยวอานจื่อวิ่งมุ่งหน้าไปยังห้องพระเครื่องต้นหลี่เต๋อฝูกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉาริษยาว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาทตามใจเจ้าเสี่ยวเสวียนจื่อผู้นี้มากเกินไปแล้ว”เย่จิ่งอวี้หันขวับจ้องหน้าเขา และกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าว่า “หากเจ้ามีความสามารถปลูกพืชผักเหล่านี้ให้ข้าได้ ข้าก็จะตามใจเจ้าเช่นเดียวกัน”หลี่เต่อฝูก้มหน้าลงทันที เขาไร้ความสามารถที่จะทำเรื่องเหล่านั้นได้เย่จิ่งอวี้ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ประเดี๋ยวข้าจะมอบเกี๊ยวเป็นรางวัลให้แก่เจ้า เช่นนี้ดีหรือไม่”หลี่เต๋อฝูดีใจรีบคุกเข่าลงกับพื้น “กระหม่อ
อินชิงเสวียนกล่าว “ไม่เพียงแค่ขวดเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะที่งดงาม ของสิ่งนี้ใช้สำหรับทาเล็บ เล็บของพระสนมทั้งโค้งมน อีกทั้งยังเงามันวาว หากพระสนมได้ใช้สิ่งนี้ จากที่งดงามอยู่แล้วยิ่งงดงามขึ้นไปอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“งั้นรึ ของสิ่งนี้...ใช้ทาเล็บได้อย่างนั้นหรือ”เมื่อก่อนซูฉ่ายเวยก็เคยทำเล็บมาก่อน นำกลีบบุปผามาหุ้มเล็บไว้ สีของบุปผานั้นจะค่อยๆ ย้อมจนเล็บแดง เมื่อย้อมเสร็จก็จะงดงาม ทว่า วิธีนี้ยุ่งยากมาก โดยเฉพาะตอนที่เอากลีบบุปผามาหุ้มเล็บ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขยับ ตอนนี้เมื่อได้เห็นสีสันในขวด ก็อดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้อินชิงเสวียนกล่าว “ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขออนุญาตลองทาให้พระสนมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ซุฉ่ายเวยรีบกล่าว “เด็กๆ รีบยกที่นั่งมาให้เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงเร็วเข้า”ไม่นานนักสาวใช้ก็ยกม้านั่งนุ่มสองตัว อินชิงเสวียนนั่งลงบนม้านั่งนุ่มนั้น จับมือซูฉ่ายเวยแล้วเริ่มทาเล็บให้นางทาสีแดงลงบนผิวเล็บไปหนึ่งชั้น จากนั้นทาสีมุกวาวทับลงด้านบนอีกชั้น ตอนนี้เล็บนางดูแพรวพราวระยิบระยับทันทีซูฉ่ายเวยโปรดปรานเป็นอย่างยิ่ง ยิ้มปากไม่หุบเลยทีเดียวนางยกนิ้วมือตัวเองขึ้นมาดู มือไม้สั่นด้วยคว
อวิ๋นฉ่ายอุทานอย่างตกใจ “พระสนม องค์ชายน้อยพูดอีกแล้ว!”อินชิงเสวียนก็ได้ยินอย่างชัดเจน เจ้าหนูน้อยพูดออกมาสองคำว่า “อย่าไป” นางกุมมือจ้ำม่ำของเจ้าหมาน้อย พลางกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวังว่า “เด็กดี พูดให้แม่ฟังอีกครั้งสิ”มองอินชิงเสวียนที่ยิ้มราวกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ เจ้าหมาน้อยจึงเปิดปากเล็กๆ แล้วเปล่งเสียงพูด “ไม่ไม่ไม่...”อินชิงเสวียนไม่ทันตั้งตัวก็ถูกพ่นน้ำลายจนเต็มหน้าช่างเถอะ นางคงคาดหวังกับเจ้าหมาน้อยสูงเกินไปหากเด็กคนนี้สามารถพูดได้ คงถูกมองว่าเป็นปีศาจอินชิงเสวียนเช็ดหน้า ขบเบาๆ ที่มือของเจ้าหมาน้อย “เจ้าเด็กดื้อ เป็นเด็กดีรอแม่อยู่ตรงนี้นะ แล้วพวกเราค่อยไปอาบน้ำกัน”เจ้าหมาน้อยจั๊กจี้ตรงบริเวณที่ถูกขบ จึงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมาเมื่อเห็นเขาอารมณ์ดี อินชิงเสวียนจึงรีบเข้าไปในห้องนางแลกแป้งทาผื่นคันมาตลับหนึ่ง ก่อนจะพบว่ามีเสื้อผ้าเด็กและรองเท้าขายในร้านค้าคะแนนสะสมด้วยเมื่อก่อนเจ้าหมาน้อยสวมแต่ผ้าอ้อม จะมีเสื้อผ้าสวมใส่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้เขาสามารถวิ่งด้วยรถฝึกเดิน หากจะให้เปลือยกายล่อนจ้อนก็คงจะไม่ดี โดยเฉพาะรองเท้าที่เขาสวม เป็นรองเท้าที่ยายหลี่ทำขึ้นด้ว