ณ เป่ยไห่ ฝนตกวันฟ้าแจ้งเม็ดฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ไม่เร็วหรือช้า นำมาซึ่งความเย็นสดชื่นฝนเริ่มตกเล็กน้อยในหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง ชาวบ้านบางคนอยากรู้อยากเห็น จึงมายืนดูบนถนน ถึงอย่างไรเรื่องฝนตกวันฟ้าแจ้งก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักบางคนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างทันที คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไขข้อรู้สึกได้ถึงอากาศเย็นที่ไหลผ่านข้อต่อของตนเอง หลังจากโดนฝน อาการก็ดีขึ้นมากจริงๆคนที่เป็นไข้ตัวร้อนเมื่อโดนฝน แทนที่จะอาการแย่ลง กลับรู้สึกว่าจมูกโล่ง คนทั้งคนรู้สึกสบายขึ้นมากทุกคนต่างจุ๊ปากอย่างประหลาดใจ ต่างเข็นผู้ป่วยในบ้านออกไปตากฝน แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถบรรเทาอาการได้ชาวบ้านต่างงุนงงกับปรากฏการณ์ประหลาดนี้ บางคนถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวขอบคุณฟ้าดิน นี่คงเป็นฝนที่สวรรค์ประทานให้ เป็นสวรรค์ที่เมตตาช่วยชีวิตคนเหล่าศิษย์ในเมืองก็ตกตะลึงเช่นกันฝนในเป่ยไห่ตกหนักกว่าในหมู่บ้านรอบๆ มาก เดิมทีทุกคนบ่นเรื่องการชี้แนะท่ามกลางสายฝนจากนั้นก็รู้สึกว่าฝนตกครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากปกติมาก เมื่อตกลงบนร่างกายดูเหมือนว่าจะซึมเข้าผิวหนังโดยตรง หลอมรวมเข้
ยิ่งเก่อหงยวนคิดมากเท่าใดก็ยิ่งไม่พอใจ พูดกับศิษย์ในสำนัก “พวกเจ้าน่ะ ใครจะไปดื่มกับข้าบ้าง”ในสำนักเทียนหยวนนั้น เก่อหงยวนเป็นคนที่ได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจในกลุ่มมาโดยตลอด แค่เรียกหนึ่งคำก็มีเสียงตอบรับมานับร้อยเพียงครู่เดียวก็มีคนมามากกว่ายี่สิบคน เก่อหงยวนรีบทำมือบอกให้หยุด นางไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าสุรามากขนาดนั้น“เจ้า เจ้า แค่เจ้าสองคน ส่วนคนที่เหลือมีงานอะไรก็ไปทำ”หลังจากที่เก่อหงยวนชี้เรียกเสร็จ มือเล็กๆ ก็เอามือไพล่หลัง เดินหน้าเชิดไปที่เหลาสุราที่ชื่อว่าทะเลครามฟ้าใสในเวลานี้ มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันที่เหลาสุรา ทุกคนต่างพูดถึงฝนประหลาดนี้ ใครก็ตามที่ได้เปียกฝน จะได้รับผลในทางที่ดีไม่มากก็น้อยเมื่อเก่อหงยวนขึ้นไปชั้นบน ใบหน้าของนางก็บิดเบี้ยวทันทีทุกโต๊ะเต็มไปหมด เท่าที่ตาเห็นดูไม่มีที่ว่างเลยศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปที่มุมด้านขวาทันที“คุณหนูใหญ่ ตรงนั้นมีโต๊ะ อยู่กันแค่สองคน พวกเราไปขอแบ่งโต๊ะได้”ครั้นมองตามนิ้วของลูกศิษย์ เก่อหงยวนก็เห็นคุณชายน้อยสวมเสื้อคลุมตัวยามสีฟ้าเข้มทันที ผู้ที่นั่งถัดจากเขาก็เป็นเด็กรับใช้ที่ดูเฉลียวฉลาดทั้งสองกินข้าวไปพลาง มองออก
เก่อหงยวนปรายตามอง อดไม่ได้ที่จะแอบถ่มน้ำลายออกมาไอ้หนอนหนังสือบ้านี้ ตัวเองพาเขามาที่นี่เพื่ออวด แต่เขากลับมองอย่างตะลึงเสียก่อน น่าขายหน้าจริงๆ“นี่ เจ้ามองอะไร คนเขามีสามีแล้ว”เก่อหงยวนใช้ข้อศอกกระทุ้งเขาแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์เฮ่อฉางเฟิงไอแห้งๆ รีบเบือนหน้าไปทางอื่นพูดจาด้วยภาษากวี “แม่นางอินเป็นเหมือนบุปผากลางธารา ดวงจันทราบนท้องฟ้า ช่างเหมือนกับนางฟ้า เป็นข้าน้อยที่ล่วงเกินแล้ว”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ คิดในใจว่า หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นจอมยุทธ์เจ้าสำอาง ทำไมถึงดูเหมือนเป็นหนอนหนังสือเช่นนี้รอยยิ้มนี้เปรียบเสมือนดอกไม้บานสะพรั่ง ณ ขณะนั้นโลกดูเหมือนจะสูญสิ้นสีสันไป ดูสง่างาม บริสุทธิ์ มีเสน่ห์แต่ไม่ชั่วร้ายหัวใจของเฮ่ออวิ๋นเฟิงไม่เพียงรู้สึกปั่นป่วนเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังรู้สึกถึงความสนิทใจที่อธิบายไม่ได้และต้องการใกล้ชิดกับนางมากขึ้น“คุณชายเฮ่อยกย่องเกินไปแล้ว อวี้จิ่น ไปชงชามาหน่อย แม่นางหงยวน คุณชายเฮ่อเชิญ”อินชิงเสวียนเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วผายเชิญทั้งสองขึ้นไปที่ศาลาจู่ๆ เก่อหงยวนก็หมดความสนใจในการเปรียบเทียบ ประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าออกมาข้างนอ
หยวนเป่ากะพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “เป็นใครหรือ”ดวงตาของเฮ่อฉางเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย“ไม่ต้องถามอะไรอีก ไปหาที่พักก่อน”เมื่อเห็นว่าสีหน้าของคุณชายเริ่มจริงจัง หยวนเป่าก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกสองนายบ่าวเจอโรงเตี๊ยมหลังหนึ่งจึงแวะพักอยู่ที่นั่นซึ่งบรรยากาศที่หนาวเย็นนั้น ก็หายไปเมื่อทั้งสองคนจากไปอินชิงเสวียนพ่นลมหายใจออกช้าๆในเวลานี้ มีมือข้างหนึ่งวางบนไหล่ของนาง ทำให้อินชิงเสวียนตกใจ นางหันขวับ ก็เห็นเรียวตาแคบคู่หนึ่ง“เป็นอะไรไปหรือ”เมื่อเห็นใบหน้าของอินชิงเสวียนซีดลงเล็กน้อย เย่จิ่งอวี้ก็โอบกอดนางทันทีอินชิงเสวียนกระตุกมุมปาก“ไม่มีอะไร”“เสวียนเอ๋อร์สังเกตพบอะไรงั้นหรือ”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ลึกล้ำ จ้องมองไปที่อินชิงเสวียนอย่างแน่วแน่เขารู้ความสามารถในการรับรู้ของหญิงสาวเป็นอย่างดี หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาอินชิงเสวียนรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถปิดบังเย่จิ่งอวี้ได้ จึงพูดตามความจริง “เมื่อครู่มีกระแสที่เป็นเจตนาร้าย แต่ไม่นานก็หายไป ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นคนนั้นหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นอย่างที่สุด”เย่จิ่งอวี้ก้าวไปข้างหน้า แล้วเหาะขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ผล็อยหลับไปก่อนนอนมีความคิดเดียวในใจ นิทานกล่อมนอนของเย่จิ่งอวี้ที่มุมานะทำอย่างตั้งใจนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องเณรน้อยบนภูเขาเสียอีก...หลังจากนอนหลับจนถึงเที่ยง อินชิงเสวียนก็ลืมตาขึ้นด้วยความพึงพอใจเย่จิ่งอวี้กำลังนั่งข้างบ่อน้ำพุวิญญาณโดยที่เปลือยท่อนบนอยู่ แผ่นหลังแข็งแรง มีเส้นเลือดโผล่ออกมาจากแขน ดูมีพลังแข็งแกร่งยิ่งนักเมื่อคิดถึงพายุโหมรุนแรงเมื่อคืนนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงนางรีบไปที่บ่อน้ำพุ แล้วใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากดื่มแล้ว ก็รู้สึกสดชื่นในลำคอ ร่างกายฟื้นฟูขึ้นในทันทีพอได้ยินเสียง เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน“นอนหลับเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปรั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หรือว่านิทานของข้า ไม่ดีพองั้นหรือ”อินชิงเสวียนเหยียดกำปั้นออก ชกหน้าอกของเขาเบาๆ“ไม่ดี ครั้งหน้าท่านเล่าเรื่องกาลครั้งหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่งดีกว่า!”“เจ้าบอกเองนะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างมีความสุข ยกเข่าลุกขึ้นยืน“น่า
เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นเฮ่อฉางเฟิงที่กำลังแสดงสีหน้ายินดีทันทีเขายืนอยู่ข้างเรือ โบกมือให้อินชิงเสวียนอย่างแรง ราวกับว่ากลัวว่าจะไม่มีใครเห็นหยวนเป่าที่อยู่ข้างๆ เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “แม้ว่าข้าจะพบกับเจ้าเมือง ก็ไม่เคยเห็นคุณชายแสดงท่าทางสนิทสนมแบบนี้มาก่อน”เฮ่อฉางเฟิงหันกลับมาและตบหน้าเขา“ขืนกล้าพูดไร้สาระอีก ข้าจะใช้เข็มเย็บปากเจ้าซะ”ชายคนนั้นได้หิ้วเสื้อคลุม และเดินข้ามโขดหินก้อนใหญ่ริมทะเลไปหาอินชิงเสวียนหยวนเป่าคลำศีรษะป้อย โชคดีที่คุณชายไม่ได้โกรธจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องถูกตบหัวดังเพียะเพราะความโง่เขลาของเขาเย่จิ่งหลานก็หยุดชะงัก และขมวดคิ้วเช่นกัน“คนป่านี่มาจากไหนอีก”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปหยิกเขา“คนป่าหมายความว่าอย่างไร สูบบุหรี่อยู่ก็ไม่สามารถอุดปากเจ้าได้!”หลังจากพูดจบก็หันไปหาเฮ่อฉางเฟิงด้วยรอยยิ้ม“ทำไมคุณชายถึงมาที่ชายหาดได้”“มาที่เป่ยไห่ทั้งที หากไม่ได้มาเห็นความยิ่งใหญ่และความงามของท้องทะเล จะต้องเสียใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าแม่นางอินก็อยู่ที่นี่ด้วย แม่นางอินและข้าน้อยมีชะตาต้องกันจริงๆ”มุมปากของเฮ่อฉางเฟิงยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้า
เมื่อสบตากัน สีหน้าของฉุยอวี้ก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเพราะอยู่ห่างไกลกันเกินไป อินชิงเสวียนจึงไม่เห็นสีหน้าของฉุยอวี้ชัดเจน ทั้งยังไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับนางมากเกินไปจากนั้นก็นึกถึงหยกเย็นพันปีที่ตัวเองเก็บไว้ในมิติ นางได้มอบสิ่งล้ำค่าให้ หากทำเมินเฉยเหมือนมองไม่เห็นเช่นนี้ ก็ดูจะใจดำเกินไปหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว อินชิงเสวียนยังรู้สึกว่าต้องไปทักทายนางยกกระโปรงขึ้น ก้าวข้ามก้อนหินใต้เท้า แล้วเดินไปทางฉุยอวี้“ทำไมเจ้าสำนักฉุยถึงมาที่ชายทะเลได้เล่า”อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ น้ำเสียงเรียบๆ ไม่กระตือรือร้นหรือห่างเหิน ความมืดมนบนใบหน้าของฉุยอวี้หายไปทันที เผยรอยยิ้มอันใจดี“ได้ยินมาว่าระยะนี้หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์กำลังต่อเรือ ก็เลยอยากมาดู ว่าจะช่วยงานอะไรได้บ้าง”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มใสกระจ่าง “เจ้าสำนักฉุยเกรงใจไปแล้ว สำนักเราได้จ้างช่างฝีมือ ตอนนี้กำลังคนก็ยังเพียงพอ หากมีความจำเป็น ชิงเสวียนจะไปรบกวนถึงประตูบ้านอย่างแน่นอน”“ดีแล้ว”ฉุยอวี้เหลือบมองที่ด้านข้างของเรือ แล้วพูดว่า “ใกล้จะถึงวันสิ้นปีแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางอินมีแผนอะไรหลังตรุษจีน”อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อย
ความคิดหยุดอยู่แค่นี้ ฉุยอวี้กระตุกริมฝีปากยิ้ม “ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อข้า วันนั้นทำไมเจ้าถึงทิ้งตำหนักเทพแล้วจากมากับข้า”เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดอย่างเย็นชา “นั่นเป็นเพราะข้าต้องการจับตาดูเจ้า ยิ่งอยากเห็นว่าคนเนรคุณเช่นเจ้า จะสามารถแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภได้ไกลแค่ไหน”ฉุยอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วถามอย่างสงบ “แล้วเจ้าเห็นอะไร”เฟิงเอ้อร์เหนียงตอบว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรไว้ ยังต้องให้ข้าอธิบายทุกเรื่องหรือไม่ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เจ้าได้กลายเป็นหนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า วิธีการของเจ้า ร้ายกาจมากกว่าเด็กสาวใต้อาณัติข้าด้วยซ้ำ”สิ่งที่เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดนั้นไม่น่าฟัง ไม่ว่าชื่อเสียงของสำนักเซียวเหยาจะเป็นอย่างไร ฉุยอวี้ก็เป็นเจ้าสำนัก แต่เฟิงเอ้อร์เหนียงเปรียบเทียบนางกับหญิงสาวในหอนางโลม หากคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากคนอื่น คนผู้นั้นคงไม่เหลือหัวแล้วฉุยอวี้ยังคงดูสงบ ไม่รู้สึกไม่พอใจนางยืนขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ผู้ชนะเป็นเจ้า ไม่จำเป็นต้องสนใจขั้นตอน ยิ่งไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรายละเอียด ตราบใดที่ผลลัพธ์ถูกต้อง เส้นทางนี้เลือกไม่ผิดแน่”