หลี่เต๋อฝูที่อยู่ข้างหลังทนฟังไม่ไหว ทักษะประจบประแจงเช่นนี้ แม้แต่เขาก็ยังละอายใจตัวเองที่เทียบไม่ติดเย่จิ่งอวี้หางตากระตุก บ่าวน้อยผู้นี้ไปเรียนรู้เรื่องไร้สาระอะไรมาพูดประจบเขานี่“ลุกขึ้นเถอะ”เสแสร้งจนฟังต่อไปไม่ไหว“ขอบพระทัยฝ่าบาท”อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืนแล้วถามอย่างประจบประแจง “ฝ่าบาทจะพาสุนัขไปเดินเล่นหรือพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูด “วันนี้อากาศเย็นสบาย ไป๋เสวี่ยก็ถูกขังมาหลายวันแล้ว ดังนั้นถึงเวลาที่จะพามันออกไปเดินเล่น”“ฝ่าบาทเดินระวังพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนยืนอยู่ด้านข้างเย่จิ่งอวี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ตามมาด้วยกันเถอะ หลี่เต๋อฝู เจ้าถอยไปก่อน”“พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เต๋อฝูเม้มริมฝีปากอย่างมีความสุข ฝ่าบาทยังคงมีเขาอยู่ในใจฝ่าบาทคงรู้สึกว่าเขาแก่มากแล้ว แข้งขาก็ค่อยไม่ดี เขาคงทนออกไปเดินตามสุนัขไม่ไหวเย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกจากประตูตำหนักแสงจันทร์สีซีดสะท้อนบนร่างสูงสง่าของเขา ทำให้เงาของเขาทอดยาวขึ้นเห็นเจ้านายเดินออกไป ไป๋เสวี่ยก็พุ่งออกไปด้วยความดีใจ อินชิงเสวียนรู้สึกไม่มีความสุขนัก นางปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกลางดึกมาสอง
เมื่อกลับถึงห้องพักขันที เสี่ยวอานจื่อหลับไปแล้ว มีเสียงกรนดังขึ้นเป็นระยะๆอินชิงเสวียนเหลือบมองเขาอย่างอิจฉา พลันล้มตัวนอนลงบนเตียงได้แต่มองเพดาน ไม่มีท่าทีง่วงนอนเลยอุบัติเหตุของเย่จิ่งอวี้ทำนางรู้สึกสะเทือนใจ แต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้นยุคปัจจุบัน นางอ่านพงศาวดารที่เกี่ยวกับราชวงศ์มาค่อนข้างเยอะ เช่นนั้นถึงมันจะเดินเรื่องแปลกกว่านี้อีกนางก็ยอบรับได้ทว่าสิ่งที่อินชิงเสวียนควรคิดถึงมากกว่าคือจากนี้ไปจะเดินเส้นทางของตัวเองอย่างไรวันนี้ใช้กระบองไฟฟ้าจี้ลู่จิ้งเสียนไป ถือว่าได้ปลดปล่อยความโกรธไปหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าทางด้านไทเฮากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้นางต้องใช้ตัวเองให้เป็นประโยชน์ อาจจะพูดอะไรมากไม่ได้ อีกทั้งห้ามหลงระเริงเกินเหตุ หากทำให้ปีศาจเฒ่าโมโหเข้า ตัวตนของเจ้าของร่างเดิมต้องถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงจบเห่แต่หากให้อินชิงเสวียนวางยาเย่จิ่งอวี้ นางก็ไม่กล้าจริงๆถึงนางจะเกลียดคนสารเลวผู้นี้ แต่นางก็อยากมีชีวิตมากกว่าเย่จิ่งอวี้สามารถนั่งบัลลังก์กษัตริย์ได้แสดงว่าต้องไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลี่เต๋อฝูคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายอีกเรื่องนี้ไม่ง่ายแ
ในราชรถม้าใบหน้าเย่จิ่งอวี้นิ่งขรึมราวกับสายน้ำลึก ดวงตาพญาหงษ์คู่นั้นเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งหลี่เต๋อฝูวิ่งตามช้าๆ อยู่ด้านหลัง ไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง กวนฮั่นหลินเป็นถึงทหารผ่านศึกสามแผ่นดิน แม่ทัพอินจ้งก็เป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจ เขาต้องการปกป้องอินจ้งนั้นย่อมสมเหตุสมผลอยู่แล้วเพียงแต่จดหมายตอบกลับฉบับนั้นเป็นลายมือของอินจ้งจริงๆ กวนฮั่นหลินที่เป็นถึงแม่ทัพย่อมมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะได้อ่านวันนี้เขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หรือว่าจะแก่เลอะเลือนไปแล้วขณะที่กำลังคิด ราชรถก็เดินทางมาถึงห้องหนังสือเรียบร้อยเย่จิ่งอวี้รีบลงจากราชรถ พลันตรงไปที่ห้องโถงดวงตาพญาหงษ์สั่นไหวเขาก็เคยสงสัยว่าต้องมีบางอย่างถูกปกปิดไว้หรือจะเป็นเย่จิ่งเย่าสุนัขจนตรอกที่ลงมือใส่ร้ายอินจ้งแต่ในจดหมายมีขนนกยูงสามเส้นที่มีเพียงแคว้นเจียงวูเท่านั้นที่มี อีกทั้งปลายขนยังมีจุดสีแดงชาดที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์แคว้นเจียงวูที่คนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้ หลักฐานชี้ชัดขนาดนี้จะพูดอย่างไรได้อีกนึกย้อนไปถึงตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงประชวรหนัก อินจ้งคอยระแวดระวังให้เขาทุกทาง แววตาเย่จิ่งอวี้เย็นชาขึ้นอีก
เขาไปสนามฝึก จะให้ตัวเองตามไปด้วยทำไมกันอินชิงเสวียนไม่อยากไปอย่างมาก ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเช่นนี้ ยืนนานเพียงวินาทีเดียวก็สามารถรีดน้ำมันออกมาได้ คงไม่สบายเท่ากับการยืนหน้าก้อนน้ำแข็งมหึมาหรอกเย่จิ่งอวี้ก้าวเท้าออกมาจากห้องหนังสือ“จูงม้าหลวงของข้ามา” จากนั้นไม่นาน ม้าสีดำเงางามลำตัวสูงใหญ่ก็ถูกจูงออกมาแม้อินชิงเสวียนจะดูม้าไม่เป็น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยออกมา“ม้าดี” ม้าตัวนี้สูงกว่าม้าธรรมดากึ่งหนึ่ง มีดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวา มีบังเหียนผ้าลื่นสีเหลืองห้อยอยู่บนตัว พร้อมกับพู่ห้อยลงมาที่ท้องม้า สี่เท้าของมันแข็งแรงและสุขภาพดี มองผ่านๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่ม้าธรรมดาเย่จิ่งอวี้พลิกตัวขึ้นม้าด้วยท่าทางที่สง่างาม“ขี่ม้าเป็นหรือไม่” เขาเลิกคิ้ว มองไปยังอินชิงเสวียนเมื่อรู้ว่าขี่ม้าออกไปได้ อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบพยักหน้ากล่าวว่า “เป็นพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเทียนจูงม้าสีแดงลูกท้อมาให้นางอินชิงเสวียนจับบังเหียนพร้อมกับขึ้นม้า ทันใดนั้นก็ค้นพบบางสิ่ง ม้าของต้าโจวไม่มีโกลนม้าตอนเด็กขี่ม้าน้อยในบ้านก็ไม่มีโกลนม้าเช่นกัน แม้แต่อานม้าก็ไม่มี แต
จางเถี่ยโผบินถอยหลัง แต่ยังคงช้าไปหนึ่งก้าวไหล่ของเขาถูกกระแทกอย่างแรง และร่างอันใหญ่โตของเขาก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังกึกก้องอินชิงเสวียนที่อยู่บนแท่นประลองตกใจจนอ้าปากค้างนางรู้ว่าเย่จิ่งอวี้มีวิทยายุทธ์ แต่ไม่คิดว่าฝีมือของเย่จิ่งอวี้จะเก่งกาจถึงเพียงนี้ชายร่างสูงเช่นนี้กลับถูกเขากระแทกลงกับพื้นอย่างง่ายดายฉินเทียนยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ “เสี่ยวเสวียนจื่อเพิ่งเห็นฝ่าบาทแสดงฝีมือเป็นครั้งแรกแน่นอน พวกเราต่างก็โดนฝ่าบาทตีมาไม่น้อยเหมือนกัน” อินชิงเสวียนพยักหน้าด้วยใจจริง“ฝ่าบาททรงเก่งกาจเสียจริง” แม้ว่านางไม่รู้วิชามวย แต่กลับมองออกว่าเย่จิ่งอวี้มีฝีมือที่ดีมาก สง่างามเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นรองนักแสดงบู๊ในยุคใหม่ฝีมือขนาดนี้หากฝึกไม่ถึงสิบปี ทำเช่นนี้ไม่ได้แน่นอนหลี่ชีพูดขึ้นอย่างภูมิใจว่า “ฝ่าบาทไม่เพียงมีวรยุทธ์ที่เก่งกล้า ศิลปะสี่แขนงทั้งดีดพิณ หมากล้อม เขียนพู่กัน และวาดภาพก็ทรงชำนาญเป็นอย่างมาก เมื่อเจ้าอยู่กับพระองค์นานมากขึ้น เจ้าก็จะรู้ไปทุกสิ่ง” “ฝ่าบาททรงชำนาญศิลปะสี่แขนงด้วยหรือ” อินชิงเสวียนตกใจเล็กน้อยตอนเด็กๆ เย่จิ่งอวี้โตขึ้นมาอย่างไรกันเนี่ย
ขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายกันไป ก็ได้ยินคนผู้หนึ่งโพล่งขึ้นด้วยความโกรธ “เหลวไหล ช่างเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด ฝ่าบาทถึงขั้นให้ขันทีน้อยผู้หนึ่งมาฝึกทหารที่ลานต่อสู้ หากรู้ถึงแคว้นอื่น ต้าโจวเรามิกลายเป็นที่ขบขันว่าไร้ผู้มีความสามารถหรอกหรือ”เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นชายชราร่างสูงมีหนวดเคราและเส้นผมสีขาวโพลนที่เดินมาแต่ไกล โดยที่ขาข้างหนึ่งยังเดินโขยกเขยกข้างกายของชายชรายังมีชายหนุ่มในวัยยี่สิบเศษๆ ตามมาด้วย ซึ่งชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดเกราะสีเงินแวววาว รูปร่างหน้าตาได้สัดส่วนงดงามชายชราผลักชายคนนั้นออกไป แล้วคุกเข่าลงกับพื้นด้วยหน้าตาตื่นๆ“ฝ่าบาท โปรดทบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่วอวี้ถือสายบังเหียนไว้ในมือ นั่งตัวตรงบนหลังอาชา ใบหน้าสลักเหลาอยู่ในอาการสงบ“นี่เป็นคำขอของแม่ทัพซ่ง เราให้เขาสมหวังแล้ว จอมพลเฒ่ากวนไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรอีกแล้ว”ซึ่งบุคคลผู้นี้หาใช่ผู้ใดไม่ หากแต่เป็นจอมพลผู้บัญชาการทหารสูงสุด กวนฮั่นหลินและผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็คือหลานชายคนโตของตระกูล กวนเซี่ยวกวนฮั่นหลินพูดเสียงก้อง “บรรพบุรุษมีคำกล่าวขาน ขันทีมิอาจก้าวก่ายกิจการบ้านเมือง โดยเฉพาะการฝึกทหารยิ
อินชิงเสวียนค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจคิดไม่ถึงว่าต้าโจวจะมีระบบแปลกๆ เช่นนี้ มิน่าเล่าวันนั้นนางบอกว่าจะเลื่อนตำแหน่งแสวงหาความร่ำรวย เย่จิ่งอวี้ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงนั้นเย่จิ่วอวี้กล้าที่จะทำลายระบบดั้งเดิมของบรรพบุรุษ เชื้อเชิญผู้มีปัญญาจากทั่วทุกสารทิศ ซึ่งการทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชา แต่เหตุใดถึงได้ชิงชังตระกูลอินมากเพียงนี้หรือว่าตระกูลอินคิดคดทรยศจริงๆเจ้าของร่างเดิมเติบโตมาในตระกูลอิน หากบิดาและพี่ชายมีใจคิดเป็นอื่นจริง นางจะไม่สังเกตได้อย่างไรซึ่งข้อสรุปที่ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าอินจ้งมีใจคิดกบฏจริงๆ เขาต้องสนับสนุนให้เย่จิ่งเย่าครองบัลลังก์ และไม่ต้องถูกลดขั้นส่งตัวไปยังชายแดนเช่นนี้เมื่อนึกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของจอมพลเฒ่าที่กล่าวถึงอินจ้ง นางก็อดขมวดคิ้วเสียมิได้สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เย่จิ่วอวี้ก็ได้กล่าวขึ้นว่า “เรารู้ว่าเจ้าฉลาดอยู่บ้าง แต่การฝึกทหารไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะสอนวิธีการฝึกขั้นพื้นฐานบางอย่างให้เจ้า แต่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี”อินชิงเสวียนตอบรับส่งๆ “พ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นเย่จิ่วอวี้พูดอะไรบ้าง นางแทบไม่
เมื่อเห็นก้อนไขมันที่น่าขยะแขยงบนพุงยื่นๆ ของเย่จิ่งเย่า อินชิงเสวียนก็รู้สึกคลื่นไส้เนื่องจากประตูถูกลงกลอนไว้จากด้านนอก ก็หมายความว่าผ่านการเห็นชอบจากไทเฮาแล้ว หากไม่มีคำสั่งของนางและเย่จิ่งเย่า ตัวเองก็ไม่สามารถออกไปได้เลยเย่จิ่วอวี้ไม่สามารถมาช่วยตัวเองได้เสมอไป ตอนนี้นางทำได้เพียงช่วยตัวเองเท่านั้นอินชิงเสวียนไม่พูดพล่าม และตรงเข้าไปในมิติทันทีเย่จิ่งเย่าที่กำลังจะโผเข้าหา แต่ทันใดนั้นรู้สักตาพร่ามัว แล้วอินชิงเสวียนก็หายตัวไปเย่จิ่งเย่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเกิดอะไรขึ้นคนผู้หนึ่งอยู่ดีๆ ก็หายไปกลางอากาศงั้นหรือเขาถอยหลังไปหลายก้าว แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรอยู่ในห้องเย่จิ่งเย่าอดไม่ได้ที่จะเหงื่อออกหรือว่าอินชิงเสวียนตายไปแล้วจริงๆ และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือวิญญาณของนางพอนึกถึงโถใส่อัฐิที่ลู่จิ้งเสียนกล่าวถึง เย่จิ่งเย่าก็ขนลุกซู่อย่างอดมิได้ขณะที่เขากำลังจะเคาะประตูออกไป ดวงตาของเขาก็พร่ามัว และอินชิงเสวียนก็ปรากฏตัวขึ้นอีก โดยถือสิ่งที่คล้ายแท่งสีดำอยู่ในมือเย่จิ่งเย่าตกใจ ผงะถอยหลังไปหลายก้าว“เจ้า เจ้าเป็นคนหรือผี”อินชิงเสวียนยิ้มเย็น ถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป