“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงรู้จักเพียวเมี่ยวอิ๋นเฉิง”ฮั่วเทียนเฉิงมองไปที่คนในชุดดำคนผู้นั้นกำลังเผชิญหน้ากับฉุยอวี้ แต่ยังมีพลังเหลือเฟือ ตอบอย่างใจเย็น “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ แม้ว่าเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงและตำหนักเทพหอทองคำจะเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมานานหลายปี แต่ก็แค่ประลองยุทธ์กันเท่านั้น หวังว่าทั้งสองท่านจะปล่อยคนผู้นี้มาให้ข้า อย่าให้คนผู้เดียวมาทำลายไมตรีระหว่างสองสำนักเลย”สายตาของฮั่วเทียนเฉิงยังคงจับจ้องไปที่คนชุดดำ เห็นฝ่ามือของเขาตกลงมาอย่างแผ่วเบาสง่างาม แต่มีพลังรัศมีที่ลุกโชน ดวงตาก็ค่อยๆ เยียบเย็น“เพียวเมี่ยวสิบสามท่า ที่แท้เจ้ามาจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงจริงๆ เช่นนั้นก็ควรถูกฆ่า!”น้ำเสียงของฮั่วเทียนเฉิงเย็นชา เหาะขึ้นไปในอากาศ ก่อเกิดพลังงานสีม่วงในฝ่ามือ และรวบตัวคนชุดดำไว้ด้วยวิชาฝ่ามือทันที“ฉุยอวี้ เจ้าพาคนผู้นี้ออกไปก่อน ข้าจะสกัดไว้ข้างหลังเอง”ฉุยอวี้พยักหน้า ถ้าเฮิ่นเทียนเป็นคนทรยศของเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นประโยชน์กับนางมากนางแกล้งสับขาหลอก และเหาะถอยออกมา จากนั้นก็หิ้วร่างของเฮิ่นเทียนกลับไปที่สำนักเซียวเหยา อย่างรวดเร็วคนชุดดำยิ้มเยา
เฟิงเอ้อร์เหนียงตกใจ“หรือว่าเลือกธิดาเทพคนใหม่แล้ว?”ฮั่วเทียนเฉิงกล่าวว่า “มิได้”ฉุยอวี้แค่นเสียงหึพูดว่า “คงพบคนที่คล้ายกับพี่หญิงใหญ่กระมัง...”เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงอินชิงเสวียน จึงรีบหุบปากทันทีฮั่วเทียนเฉิงไม่ได้ปฏิเสธ แต่พูดเสียงเรียบ “นี่คือการตัดสินใจของเจ้าตำหนัก เจ้าและข้าไม่มีสิทธิ์ปริปาก”จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนหน้าตาคล้ายกันมากถึงเพียงนี้ หลายวันนี้ข้าได้พบกับแม่นางแซ่อินผู้หนึ่ง ดูคล้ายกับพี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ามาก”ฉุยอวี้และเฟิงเอ้อร์เหนียงต่างก็พูดพร้อมกันทันที “ไม่เหมือนเลยสักนิด”เฟิงเอ้อร์เหนียงไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “แม่นางอินงดงามหยาดเยิ้มเกินไป ไม่เหมือนพี่หญิงใหญ่ที่สวยบริสุทธิ์ดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์”ฮั่วเทียนเฉิงกล่าวว่า “ข้ากลับคิดว่านางดูคล้ายมาก แม่นางอินสวยแต่ไม่ธรรมดา มีเสน่ห์แต่ไม่เย้ายวน ท่วงท่าสง่างามดุจดอกกล้วยไม้ บุคลิกผ่าเผย สุขุมเยือกเย็น สตรีเช่นนี้หาชมได้ยากจริงๆ”ครั้งแรกที่ฮั่วเทียนเฉิงเห็นอินชิงเสวียนชัดเจน คือตอนที่นางหมดสติ ซึ่งทำให้เขาตกใจมาก แต่ก็แค่ตกใจเท่านั้นโลกใหญ่ไพศาล ไร้พิสดารไม่มี มนุษย์ใ
วันถัดไปเสียงหัวเราะของเสี่ยวหนานเฟิงปลุกอินชิงเสวียนให้ตื่นเมื่อลุกขึ้นจากเตียง ก็เห็นสองพ่อลูกกระโดดเล่นบนเตียงทันทีเย่จิ่งอวี้ก็กระโดดขึ้นลงบนเตียงเหมือนเด็กตัวใหญ่ เสี่ยวหนานเฟิงถูกเขย่าจนล้มหงายหลัง อ้าปากหัวเราะไม่หยุดอินชิงเสวียนยกมุมปากยิ้มอย่างอดไม่ได้ ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้หนุ่มจะมีด้านที่เป็นเด็กเช่นนี้ ผู้ชายเป็นเด็กเสมอ คำพูดนี้ว่าไว้ไม่มีผิดเลย”นางแปรงผม สวมรองเท้า แล้วเดินลงพื้น“พวกเจ้าตื่นนานแล้วหรือ”เย่จิ่งอวี้หยุดทันที“พวกเราปลุกเสวียนเอ๋อร์หรือเปล่า”อินชิงเสวียนเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่บนร้านค้าสะสมคะแนน ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงแล้ว“เปล่า สายป่านนี้แล้ว ถ้าข้ายังไม่ตื่น คงกลายเป็นหมู”เย่จิ่งอวี้ก้มลงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา ทันทีที่ดีดปลายเท้า คนก็มาอยู่ตรงหน้าอินชิงเสวียนแล้ว“ในโลกนี้มีหมูที่น่ารักเหมือนเสวียนเอ๋อร์ด้วยหรือ ถ้ามี ข้าอยากจะเลี้ยงไว้สักตัว”“เชอะ ไม่สนใจท่านแล้ว”อินชิงเสวียนร้องเชอะ แล้วนึกในใจ จากนั้นทั้งหมดก็ออกมาอยู่ในห้องบนโต๊ะมีกับข้าวสี่อย่างและโจ๊กสองชามตอนนี้ยังร้อนๆ อยู่ ดูเหมือนว่าเพิ่งถูกส่งมาไม่นานนี้เอง
เฟิงเอ้อร์เหนียงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นคนดังของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้พี่หญิงมีความกล้าขนาดไหน พี่หญิงก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรอก”“ข้ากับเจ้าไม่สนิทกัน ไม่ต้องมาเรียกพี่หญิงน้องหญิง เป่าเล่อเอ่อร์ เราไปกันเถอะ”อินชิงเสวียน ไม่ต้องการพูดไร้สาระกับเฟิงเอ้อร์เหนียง จึงจูงมือเป่าเล่อเอ่อร์ออกไป แต่กลับเห็นฉุยอวี้เดินออกมาจากฝูงชน“อวิ๋นลี่ เจ้ากำลังดูอะไรอยู่”ในขณะที่พูด ฉุยอวี้ก็มองเห็นอินชิงเสวียนแล้วนางแปลกใจระคนยินดี รีบเดินไปหาอย่างรวดเร็วอินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย อันที่จริงนางไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับสำนักเซียวเหยา แต่จะทำเช่นไรได้เมื่อมีบุญคุณติดค้างอยู่ หยกเย็นชิ้นนั้นยังสวมอยู่บนคอของเย่จิ่งอวี้ จำต้องยอบกายคารวะ “น้อมคำนับเจ้าสำนักฉุย”ฉุยอวี้เอื้อมมือไปช่วยพยุงอินชิงเสวียนขึ้นมา แล้วมองนางขึ้นๆ ลงๆ อย่างตรวจสอบความเรียบร้อย “ช่วงนี้แม่นางอินสบายดีหรือ”อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ “ขอบคุณเจ้าสำนักฉุยที่เป็นห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดี”ฉุยอวี้ถามอีกครั้ง “แล้วหยกเย็นชิ้นนั้น เจ้ายังใส่อยู่หรือไม่”“ของขวัญจากเจ้าสำนัก ชิงเสวียนจะกล้าวางทิ้งได้อย่างไร ข้าเ
“ได้สิ ขอแค่เจ้าบอกมา ข้าก็ทำให้เจ้าได้”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็อดไม่ได้ที่จะบ่น“ทำไมพวกเจ้าแซ่เย่ถึงชอบกินนัก มีแต่พวกตะกละ”เย่จิ่งหลานเบะปาก“จริงๆ แล้วข้าแซ่โค่วสือเย่ ยกไปเทียบกับพวกเขาไม่ได้”เขายืดเส้นยืดสายพูดว่า “วันนี้ทำได้พอสมควรแล้ว กลับกันเถอะ ส่วนที่เหลือให้ช่างฝีมือเหล่านั้นติดตั้งก็เสร็จแล้ว”พอดีกับที่เป่าเล่อเอ่อร์ก็เล่นสนุกจนพอใจแล้ว ทั้งหมดจึงกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ทันทีที่เข้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานของเจ้าสำนักเซี่ยวฮวาเชียนยกชามอาหารมาถึงลานบ้านพอดี อินชิงเสวียนถามทันทีว่า “เจ้าสำนักเฮ่อมาที่นี่หรือ”ฮวาเชียนยิ้มและพูดว่า “เป็นท่านฮั่ว กำลังดื่มสุรากับท่านตาของเจ้าแหนะ”หัวใจของอินชิงเสวียนเต้นเล็กน้อยหรือว่าที่เขามาที่นี่ มีเจตนาแอบแฝงจริงๆ?“อาอวี้ล่ะ?”“ออกไปลาดตระเวนกับคุณชายอิน”ฮวาเชียนพูดจบก็เดินเข้าไปอินชิงเสวียนส่งเป่าเล่อเอ่อร์กลับไปที่ห้อง กำลังจะไปดูที่ห้องโถง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนตะโกนที่ประตู “แม่นางอิน!”อินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นว่าเฮ่อฉางเฟิงเดินเข้ามาจากประตูพร้อมกับหยวนเป่าในมือของเส
“ไป๋เสวี่ย!”อินชิงเสวียนตกใจช่วงนี้ปล่อยเจ้าสุนัขให้วิ่งอย่างอิสรเสรี แม้ว่ามันจะเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยกัดใครก่อนเลย และนอกจากพวกเขาสามคนในครอบครัวแล้ว ไป๋เสวี่ยก็ไม่เข้าใกล้คนอื่น เมื่อเห็นจู่ๆ มันกระโจนเข้าใส่ จึงต้องร้องดุแขนขาบางๆ ของเฮ่อฉางเฟิงไม่ใหญ่พอที่จะให้ไป๋เสวี่ยขย้ำได้สักคำไป๋เสวี่ยมาถึงเบื้องหน้าของเฮ่อฉางเฟิงแล้ว แต่มันไม่ได้กัดคน หัวสุนัขอันใหญ่โตเอียงมอง ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตจ้องมองไปที่เฮ่อฉางเฟิงเฮ่อฉางเฟิงก็ตกใจ รีบหลบไปข้างหลังทันที“นี่...สุนัขตัวโตจัง!”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วตะโกนว่า “ไป๋เสวี่ย ไปเล่นที่อื่น อย่าทำให้แขกตกใจกลัว”ไป๋เสวี่ยไม่ขยับ ยังคงมองไปที่เฮ่อฉางเฟิง ดวงตาของเจ้าสุนัขคล้ายพิศวงงุนงง สูดดมรอบๆ ตัวของเฮ่อฉางเฟิงแผ่นหลังของเฮ่อฉางเฟิงตั้งตรงทันที ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อยเมื่อเห็นว่าไป๋เสวี่ยไม่มีเจตนาที่จะกัดเขา อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงไม่วางใจ จ้องมองไป๋เสวี่ยอย่างใกล้ชิดไป๋เสวี่ยเดินไปรอบๆ และดมกลิ่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปเห่าบอกความกับอินชิงเสวียนหลายครั้งเสียงเห่าไม่เหมือนจะกัดคน แต่เหมือนก
อินชิงเสวียนใช้ทักษะการช่วงชิงโชคลาภกับฮั่วเทียนเฉิงทันที เพียงครู่หนึ่ง ดูเหมือนในหัวจะมีอะไรเพิ่มขึ้นฮั่วเทียนเฉิงขมวดคิ้ว ร่างกายอ่อนแออย่างอธิบายไม่ถูก แต่ยังไม่ทันได้ไตร่ตรอง เขาก็ประกบมือคำนับลาเขาเดินกลับโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว กลับเข้าไปในห้องและใช้ประสาทสัมผัสเต็มที่ ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองถูกตัดกำลังภายในให้อ่อนแอลงอย่างอธิบายไม่ได้ทำไมเป็นเช่นนี้หรือว่าเจ้าสำนักเซี่ยววางยาพิษในอาหารและสุรา?ฮั่วเทียนเฉิงรีบนั่งขัดสมาธิ โคจรกำลังภายในตรวจสอบเส้นลมปราณของตัวเอง หลังจากโคจรกำลังภายในหนึ่งรอบ เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเส้นลมปราณของเขาราบรื่น ไม่มีสัญญาณของพิษ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ หรือว่าตัวเองคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในตำหนักเทพ จนไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อีก?ฮั่วเทียนเฉิงจิบน้ำ พยายามขจัดสุราในเลือด แต่กลับสำลัก ฮั่วเทียนเฉิงไอแค่กๆ แล้ววางแก้วน้ำกลับคืนที่เดิมวันนี้เขาไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เพราะอยากตรวจสอบว่าในนั้นมียอดฝีมือมากน้อยเพียงใด ซึ่งเขาสรุปได้ว่าพลังวิญญาณนั้นเกี่ยวข้องกับน้ำของอินชิงเสวียน และเขาต้องพานางกลับไปที่ตำหนักเทพเพีย
เฮ่อฉางเฟิงนอนสบายใจเฉิบบนเตียง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง พูดด้วยดวงตาที่หรี่เล็กน้อย “นี่ยังต้องเลือกอีกรึ แน่นอนว่าข้าต้องการทั้งหมด”ดวงตาของหยวนเป่าเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ“คุณชายคงไม่ชิงตัวแม่นางอินกลับไปที่อิ๋นเฉิง ไปเป็นฮูหยินของเจ้าเมืองน้อยกระมัง!”เฮ่อฉางเฟิงกลอกตามองเขาแล้วพูดว่า “สุภาพบุรุษไม่พรากของชอบของผู้ใด แม่นางอินแต่งงานแล้ว ข้าจะเป็นคนถ่อยไร้เมตตาธรรมได้อย่างไร แต่ว่า ถ้าเจ้าเด็กแซ่เย่ปฏิบัติต่อนางไม่ดี ข้าจะไม่นิ่งดูดายเป็นแน่”หยวนเป่าพูดด้วยรอยยิ้มร่า “ข้าดูแล้วสองคนผัวเมียคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ดี คุณชายเลิกคิดดีกว่า แม่นางเก่อหงยวนที่เรารู้จักก่อนหน้านั้น ก็ดูไม่เลวเลยนะขอรับ”“ช่างเถอะ”เฮ่อฉางเฟิงหลับตาอย่างหมดความสนใจหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดอย่างใจเย็น “คืนนี้ เราจะลอบสำรวจสำนักเซียวเหยายามวิกาล”เพียงชั่วพริบตาท้องฟ้าก็มืดมิด เย่จิ่งอวี้และอินสิงอวิ๋นก็กลับมาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เช่นกันการลาดตระเวนทั้งวันทำให้อินสิงอวิ๋นเลื่อมใสเขาอย่างลึกซึ้งเขาคิดเสมอว่าฮ่องเต้เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ดีกินดี แต่เย่จิ่งอวี้กลับเป็นเหมือนคนทั่วไป ตรวจตราไ