“ไป๋เสวี่ย!”อินชิงเสวียนตกใจช่วงนี้ปล่อยเจ้าสุนัขให้วิ่งอย่างอิสรเสรี แม้ว่ามันจะเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ก็ไม่เคยกัดใครก่อนเลย และนอกจากพวกเขาสามคนในครอบครัวแล้ว ไป๋เสวี่ยก็ไม่เข้าใกล้คนอื่น เมื่อเห็นจู่ๆ มันกระโจนเข้าใส่ จึงต้องร้องดุแขนขาบางๆ ของเฮ่อฉางเฟิงไม่ใหญ่พอที่จะให้ไป๋เสวี่ยขย้ำได้สักคำไป๋เสวี่ยมาถึงเบื้องหน้าของเฮ่อฉางเฟิงแล้ว แต่มันไม่ได้กัดคน หัวสุนัขอันใหญ่โตเอียงมอง ดวงตาสีน้ำตาลคู่โตจ้องมองไปที่เฮ่อฉางเฟิงเฮ่อฉางเฟิงก็ตกใจ รีบหลบไปข้างหลังทันที“นี่...สุนัขตัวโตจัง!”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วตะโกนว่า “ไป๋เสวี่ย ไปเล่นที่อื่น อย่าทำให้แขกตกใจกลัว”ไป๋เสวี่ยไม่ขยับ ยังคงมองไปที่เฮ่อฉางเฟิง ดวงตาของเจ้าสุนัขคล้ายพิศวงงุนงง สูดดมรอบๆ ตัวของเฮ่อฉางเฟิงแผ่นหลังของเฮ่อฉางเฟิงตั้งตรงทันที ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อยเมื่อเห็นว่าไป๋เสวี่ยไม่มีเจตนาที่จะกัดเขา อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงไม่วางใจ จ้องมองไป๋เสวี่ยอย่างใกล้ชิดไป๋เสวี่ยเดินไปรอบๆ และดมกลิ่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปเห่าบอกความกับอินชิงเสวียนหลายครั้งเสียงเห่าไม่เหมือนจะกัดคน แต่เหมือนก
อินชิงเสวียนใช้ทักษะการช่วงชิงโชคลาภกับฮั่วเทียนเฉิงทันที เพียงครู่หนึ่ง ดูเหมือนในหัวจะมีอะไรเพิ่มขึ้นฮั่วเทียนเฉิงขมวดคิ้ว ร่างกายอ่อนแออย่างอธิบายไม่ถูก แต่ยังไม่ทันได้ไตร่ตรอง เขาก็ประกบมือคำนับลาเขาเดินกลับโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว กลับเข้าไปในห้องและใช้ประสาทสัมผัสเต็มที่ ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองถูกตัดกำลังภายในให้อ่อนแอลงอย่างอธิบายไม่ได้ทำไมเป็นเช่นนี้หรือว่าเจ้าสำนักเซี่ยววางยาพิษในอาหารและสุรา?ฮั่วเทียนเฉิงรีบนั่งขัดสมาธิ โคจรกำลังภายในตรวจสอบเส้นลมปราณของตัวเอง หลังจากโคจรกำลังภายในหนึ่งรอบ เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเส้นลมปราณของเขาราบรื่น ไม่มีสัญญาณของพิษ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ หรือว่าตัวเองคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในตำหนักเทพ จนไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อีก?ฮั่วเทียนเฉิงจิบน้ำ พยายามขจัดสุราในเลือด แต่กลับสำลัก ฮั่วเทียนเฉิงไอแค่กๆ แล้ววางแก้วน้ำกลับคืนที่เดิมวันนี้เขาไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เพราะอยากตรวจสอบว่าในนั้นมียอดฝีมือมากน้อยเพียงใด ซึ่งเขาสรุปได้ว่าพลังวิญญาณนั้นเกี่ยวข้องกับน้ำของอินชิงเสวียน และเขาต้องพานางกลับไปที่ตำหนักเทพเพีย
เฮ่อฉางเฟิงนอนสบายใจเฉิบบนเตียง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง พูดด้วยดวงตาที่หรี่เล็กน้อย “นี่ยังต้องเลือกอีกรึ แน่นอนว่าข้าต้องการทั้งหมด”ดวงตาของหยวนเป่าเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ“คุณชายคงไม่ชิงตัวแม่นางอินกลับไปที่อิ๋นเฉิง ไปเป็นฮูหยินของเจ้าเมืองน้อยกระมัง!”เฮ่อฉางเฟิงกลอกตามองเขาแล้วพูดว่า “สุภาพบุรุษไม่พรากของชอบของผู้ใด แม่นางอินแต่งงานแล้ว ข้าจะเป็นคนถ่อยไร้เมตตาธรรมได้อย่างไร แต่ว่า ถ้าเจ้าเด็กแซ่เย่ปฏิบัติต่อนางไม่ดี ข้าจะไม่นิ่งดูดายเป็นแน่”หยวนเป่าพูดด้วยรอยยิ้มร่า “ข้าดูแล้วสองคนผัวเมียคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ดี คุณชายเลิกคิดดีกว่า แม่นางเก่อหงยวนที่เรารู้จักก่อนหน้านั้น ก็ดูไม่เลวเลยนะขอรับ”“ช่างเถอะ”เฮ่อฉางเฟิงหลับตาอย่างหมดความสนใจหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดอย่างใจเย็น “คืนนี้ เราจะลอบสำรวจสำนักเซียวเหยายามวิกาล”เพียงชั่วพริบตาท้องฟ้าก็มืดมิด เย่จิ่งอวี้และอินสิงอวิ๋นก็กลับมาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เช่นกันการลาดตระเวนทั้งวันทำให้อินสิงอวิ๋นเลื่อมใสเขาอย่างลึกซึ้งเขาคิดเสมอว่าฮ่องเต้เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ดีกินดี แต่เย่จิ่งอวี้กลับเป็นเหมือนคนทั่วไป ตรวจตราไ
ทั้งสองจงใจชะลอความเร็วลง จนกระทั่งถึงชายทะเล แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้เย่จิ่งอวี้กระซิบ “หายไปแล้ว”อินชิงเสวียนพยักหน้า“หรือว่าไม่ได้มาเพราะเรา?”เย่จิ่งอวี้ตอบอืม“ก็อาจเป็นไปได้ สงครามใหญ่กำลังจะมาถึง พวกเสือสิงห์กระทิงแรดที่ซ่อนเร้นอยู่ในเป่ยไห่อาจนั่งไม่ติดแล้ว พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นหรอก เอาเรื่องตงหลิวเป็นหลัก”“ได้”อินชิงเสวียนก็ไม่อยากสร้างปัญหา สิ้นเปลืองพลัง นางเก็บเรือและกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับเย่จิ่งอวี้ในเวลาเดียวกัน ร่างทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันในความอ้างว้างสองคนสวมชุดพรางตัว ใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีดำ สามารถแยกแยะความแตกต่างได้จากสายตาเท่านั้นคนซ้ายมือมีดวงตาสดใสเป็นประกาย เสื้อผ้าพลิ้วไหว ท่วงท่าทางสงบส่วนคนร่างสูงทางขวา สายตาเต็มไปด้วยด้วยความซับซ้อนและความสงบเยือกเย็นแบบผู้ใหญ่ ซึ่งก็คือฮั่วเทียนเฉิงจากตำหนักเทพหอทองคำหลังจากที่สร่างเมาแล้ว เขาก็กลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ซ่อนตัวอยู่ในตรอกตรงข้ามเพื่อรอโอกาส ไม่นึกว่าจะบังเอิญเจออินชิงเสวียนและสามี เขารู้สึกดีใจทันที รีบติดตามไปทันที ขณะที่กำลังจะลงมื
“ลุกขึ้นเถอะ”ฉุยอวี้จิบชา แล้วพูดเบาๆ ตั้งแต่ถูกนำกลับมาที่สำนักเซียวเหยา เด็กหนุ่มคนนี้ก็สลบไสลไม่ได้สติตลอดเวลา คืนนี้เพิ่งฟื้นขึ้นมาฉุยอวี้ตรวจชีพจรของเขาหลายครั้ง แต่ไม่พบอะไรเลยฉางเฮิ่นเทียนมีกำลังภายในบ้างก็จริง แต่อ่อนแอมาก แย่กว่าศิษย์ทั่วไปของสำนักมาก คนเช่นนี้จะมาจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงได้อย่างไร“เจ้ามาจากอิ๋นเฉิงจริงๆ หรือ”ฉุยอวี้มองเขาแล้วถามขึ้นฉางเฮิ่นเทียนคุกเข่าลงบนพื้น แล้วพูดด้วยความเคารพ “เรียนเจ้าสำนัก เป็นเช่นนั้นจริงๆ”ฉุยอวี้แค่นเสียงหึแล้วพูดว่า “ในอิ๋นเฉิงจะมีคนอ่อนแอเช่นเจ้าได้อย่างไร”ฉางเฮิ่นเทียนกล่าขึ้นโดยเร็ว “ข้าน้อยไม่ใช่ศิษย์ของอิ๋นเฉิง ข้าน้อยทำงานหยุมหยิมในครัว เพราะคุณสมบัติมีจำกัด จึงไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ใน”ฉุยอวี้แค่นเสียงหึอีกครั้งว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักด้วยซ้ำ แล้วเจ้าออกมาได้อย่างไร”ฉางเฮิ่นเทียนกล่าวด้วยความเคารพ “มีคนเปิดประตูอิ๋นเฉิง ข้าน้อยจึงใช้โอกาสนี้หลบหนี”ฉุยอวี้ถามอีกครั้ง “คนที่เจ้ากำลังพูดถึงคือใคร”ฉางเฮิ่นเทียนกลอกตาแล้วพูดว่า “เขาเป็นศิษย์หนุ่มที่มีทักษะวรยุทธ์ที่สูงมาก”ฉุยอวี้ขมวดคิ้ว“เหตุใ
“เด็กหนุ่มที่เจ้าจับไปอยู่ที่ไหน พาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าหลั่งเลือดอยู่ตรงนี้”ร่างสูงยืนอยู่ในความมืด น้ำเสียงไม่เย็นชา แต่พลังรัศมีนั้นวางอำนาจอย่างยิ่ง“เจ้าเป็นใคร”น้ำเสียงของเฟิงเอ้อร์เหนียงสงบ นางอยู่ในยุทธภพมาหลายปีแล้ว จึงสงบสติอารมณ์ได้ดี“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”เฮ่อฉางเฟิงขยับปลายนิ่วเล็กน้อย ปราณกระบี่ก็พุ่งออกมาจากนิ้วของเขา เฟิงเอ้อร์เหนียงรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ แล้วก็มีเลือดไหลออกมามุมปากของเฟิงเอ้อร์เหนียงกระตุกเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงสงบราวกับน้ำ“เจ้าไม่บอกข้า ทำไมข้าต้องบอกเจ้า”“คิดจริงๆ หรือว่าถ้าเจ้าไม่บอก แล้วข้าจะหาคนไม่เจอ?”เฮ่อฉางเฟิงไม่ต้องการพูดไร้สาระกับนาง เขาจึงจี้สกัดจุดที่หว่างคิ้วของเฟิงเอ้อร์เหนียง ภาพเบื้องหน้าของเฟิงเอ้อร์เหนียงมืดลง และหมดสติล้มลงบนพื้นทันทีจากนั้นเดินออกจากห้อง สะกดกลั้นลมปราณ มองหากลิ่นอายของฉางเฮิ่นเทียนขณะที่ยืนนิ่ง ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายแปลกๆ ข้างหลังเขา ทันทีที่หันหลังกลับก็ปะทะฝ่ามือกันผู้มาใหม่เต็มๆน่าเสียดายที่คนผู้นี้คือฮั่วเทียนเฉิงอีกแล้วเดิมทีเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม แต่กลับรู้สึกหงุดห
เมื่อสบตากัน เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเวียนหัวทันทีดูเหมือนว่าทั้งคนจะตกอยู่ในมโนภาพอีกครั้ง ฉากนองเลือดนับไม่ถ้วนแวบออกมา หัวใจเต้นแรงอย่างคุมไม่ได้อินชิงเสวียนกะพริบตายิ้ม“อาอวี้ มีอะไรหรือ”เย่จิ่งอวี้รู้สึกตัวขึ้นมาทันที“ม่ะ ไม่มีอะไร”อินชิงเสวียนเอียงคอมองเขา ด้วยสายตาขี้เล่นคู่นั้นของหญิงสาว “หรือว่าข้าโคจรลมปราณไม่ถูกต้อง?”เย่จิ่งอวี้วางนิ้วลงบนชีพจรของอินชิงเสวียน เส้นลมปราณของหญิงสาวนั้นราบรื่น ไม่มีอะไรผิดปกติ“ไม่มี เสวียนเอ๋อร์ทำถูกแล้ว”เย่จิ่งอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เสวียนเอ๋อร์เคยฝึกฝนวรยุทธ์แบบอื่นหรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัว“ไม่มีนะ ทำไมอาอวี้ถามแบบนั้น”“เมื่อครู่ข้าเห็นแสงสีม่วงลอยวนอยู่บนฝ่ามือของเจ้า มันไม่ใช่วิทยายุทธ์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ถึงได้ถามเช่นนั้น”สำหรับดวงตาของอินชิงเสวียนนั้น เย่จิ่งอวี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีความรู้สึกนั้นคล้ายกับตอนที่มองตาของเถียนเซินหลินมาก แต่ก็แน่ใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวจะเรียนรู้วรยุทธ์ของเขาอินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่เรียนเพลงยุทธ์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่อาอวี้สอนข้าเท่านั้น ไ
สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปพร้อมกันทันที“เป็นไปได้อย่างไร อินชิงเสวียนจะมีพลังวิญญาณได้อย่างไร”“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ฮั่ว ท่านเข้าใจผิดหรือเปล่า”เสียงของฉุยอวี้เริ่มเย็นชา แต่เฟิงเอ้อร์เหนียงกลับมีสีหน้าประหลาดใจฮั่วเทียนเฉิงพูดอย่างหนักแน่น “ข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ขอเพียงพวกเจ้าสามารถทำให้ข้าพาเด็กสาวแซ่อินกลับไปที่ตำหนักเทพได้ เรื่องอื่นก็ไม่ใช่ปัญหา”พวกนางทั้งสองอยู่ในเป่ยไห่มานาน ทั้งยังเป็นสตรีทั้งคู่ การเข้าใกล้ชิดกับอินชิงเสวียนย่อมทำได้ง่ายกว่าเขามากฉุยอวี้ขยิบตาให้เฟิงเอ้อร์เหนียงทันที“ในเมื่อศิษย์พี่ฮั่วมั่นใจมากเพียงนี้ เช่นนั้นเราจะหาวิธีที่จะช่วยให้ท่านทำสำเร็จได้แน่นอน”“ดีมาก เป่ยไห่ไม่ควรอยู่นานจริงๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็น”เมื่อคิดถึงยอดฝีมืออิ๋นเฉิงที่ซ่อนอยู่ในที่มืด ฮั่วเทียนเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาคนผู้นี้ลึกลับซับซ้อน วรยุทธ์ยิ่งไม่อาจคาดเดาได้ เว้นแต่พวกเขาสามคนร่วมมือกันโจมตี ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะทำร้ายเขาได้บางทีเขาอาจจะมาที่นี่เพื่อพลังวิญญาณเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่มาเตือนตัวเองหลายคร