ทุกคนต่างพากันออกจากห้อง เหลือเพียงเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนเมื่อมองลำคอของเขาที่ยังห้อยหยกเย็นพันปีชิ้นนั้นอยู่ อินชิงเสวียนก็รู้สึกพึงพอใจมาก“อาอวี้ก็ไม่เป็นอะไร ช่างดีจริงๆ เลยนะ”เย่จิ่งอวี้โอบกอดอินชิงเสวียนไว้ และซุกหน้าลงบนผมของนางที่ตกอยู่บนไหล่“เสวียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าไม่รู้จะอยู่ไปอย่างไรจริงๆ”อินชิงเสวียนหันหน้ามาพูดว่า “ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีค่าและมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อาอวี้พูดจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ว่ามีวันหนึ่งที่ข้าไม่อยู่แล้วจริงๆ ข้าก็หวังให้อาอวี้สามารถที่จะ...”ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกประกบปิดด้วยริมฝีปากที่เย็นเล็กน้อยสักพักหนึ่ง ริมฝีปากก็แยกออกจากกันเย่จิ่งอวี้เสยปอยผมที่อยู่ข้างแก้มของอินชิงเสวียน และพูดเสียงเบาว่า “อย่าพูดไร้สาระ ในเมื่อเจ้ามายังโลกใบนี้ เป็นภรรยาของข้า ดังนั้นไม่ควรไปจากข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต”เมื่อมองดวงตาคู่นั้นที่ลึกราวกับทะเล จู่ๆ ในใจของอินชิงเสวียนก็เต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้กลับจงใจพูดว่า “มนุษย์ย่อมมีการเกิดแก่เจ็บตาย หากข้ามีชีวิตอยู่ถึงพันหรือหมื่นปี ข้าคงเป็นปีศาจเฒ่าแล้วล่ะ?”
“คิดอะไรอยู่งั้นหรือ?” เมื่อเห็นอินชิงเสวียนขมวดคิ้ว เย่จิ่งอวี้ก็เลิกคิ้วถาม“เด็กคนนั้นผิดธรรมชาติอย่างมาก อีกครู่ข้าจะไปถามท่านตาว่าเห็นร่างของเขาหรือไม่ หากเขายังมีชีวิตอยู่ จะต้องเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่แน่นอน”อินชิงเสวียนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดอีกว่า “อีกเรื่องหนึ่งก็คือท่านอาของข้าที่ยังสืบหาข่าวไม่ได้เลย ข้าไม่รู้ว่าควรตอบเสด็จอาอย่างไรดี”เย่จิ่งอวี้จับมือเล็กที่อ่อนนุ่มของนาง พูดปลอบด้วยความอ่อนโยนว่า “เสด็จอาตามหาหลายปียังไม่ได้ข่าว จะโทษเจ้าได้อย่างไร หากท่านอาของเจ้าไม่ได้ซ่อนอยู่ในที่ลับ ก็อาจจะประสบพบเจอเรื่องร้าย”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างคลุมเครือ อินชิงเสวียนเข้าใจความหมายของเขาดี ในทุกปีของยุคปัจจุบันมีคนสูญหายจำนวนไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ไม่มีวิชาการต่อสู้อย่างอินหลี อาจเป็นไปได้ว่าการหายตัวไปของนางไม่เกี่ยวข้องกับพิณการเวก เป็นเพียงการพบเจอเรื่องเลวร้ายทั่วไปเท่านั้นสำหรับเครือญาติที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน อินชิงเสวียนรู้สึกเสียใจมาก แต่กลับไร้ซึ่งหนทางแล้วจริงๆ สำนักต่างๆ ที่สนิทสนมกับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ นางก็รบกวนให้เจ้าสำนักเซี่ยวไปไถ่ถามทั้งหมดแล้ว แต
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ผ่านไปสองวันแล้วมีน้ำพุวิญญาณช่วยรักษา อินชิงเสวียนไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเลยเมื่อรู้ว่าร่างของชาวตงหลิวทั้งหมดกองถมกันอยู่ริมทะเล เตรียมทำการเผาในเวลาพระอาทิตย์ตก อินชิงเสวียนจึงอยากไปดูด้วยทุกคนมายังริมทะเล ปรากฏว่าเห็นกองศพสูงตระหง่านอยู่ไกลๆ โดยมีมากถึงพันกว่าคนแต่น่าเสียดายมากที่ท่ามกลางศพเหล่านี้ ไม่มีร่างของโมริตะคาวาสึบาเมะเมื่อนึกถึงดวงตาคู่นั้นที่สามารถทำให้คนเห็นภาพหลอนได้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกขนลุกอย่างอดไม่ได้ และยังมีค่ายกลที่เขาพูดถึงเป็นสิ่งสุดท้าย คล้ายว่าจะมีอำนาจอย่างมาก โชคดีที่ตัวเองหลบมาได้เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นตัวเองหมดสติไป จึงจำชื่อได้ไม่ชัดเจนมากแล้วอินชิงเสวียนกลัวว่าไอ้เด็กเปรตคนนี้จะเหมือนกับอาซือหลาน ซ่อนตัวอยู่ในมุมของเงามืด และเตรียมหาโอกาสแก้แค้นเย่จิ่งอวี้เข้าใจความคิดของเด็กสาว จึงพูดปลอบใจอยู่ข้างๆ ว่า “อีกไม่นานพวกเราก็กลับเมืองหลวงแล้ว เรื่องในยุทธภพย่อมมีผู้คนยุทธภพมาจัดการด้วยตนเอง เสวียนเอ๋อร์อย่าได้คิดฟุ้งซ่านเลยนะ”อินชิงเสวียนคิดดูแล้วก็เห็นด้วย นางและเย่จิ่งอวี้มายังเป่ยไห่ เป็
เก่อหงยวนพูดอย่างไม่แยแสว่า “เพียงแค่กลิ่นขนหมูไหม้เท่านั้น ไม่มีอะไรสักหน่อย”ผู้อาวุโสสวีส่ายหน้าด้วยความจนใจ“เด็กน้อยอย่างเจ้านี่นะ มีเรื่องอะไรก็คิดจะมาป่วนอยู่เรื่อยเลย”ระหว่างที่พูด ได้มีลูกศิษย์สาดน้ำมันไปยังซากศพและโยนคบเพลิงเข้าไป ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังกระหึ่มทันทีกลิ่นฉุนพวยพุ่งออกมาจากกองศพ ตามมาด้วยควันดำหนา ซึ่งทำให้คนสำลักกันอย่างรุนแรงอินชิงเสวียนอุดจมูกและไอออกมาสองครั้งคิ้วของเย่จิ่งอวี้ขมวดขึ้นเล็กน้อย“ที่นี่ไม่มีอะไรน่าดูหรอก เสวียนเอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะนะ!”อินชิงเสวียนพยักหน้าแต่โดยดีเวลากินเนื้อย่างตามปกติก็จะมีกลิ่นควันติดตัวมากมาย ไม่ต้องพูดถึงการเผาคนจำนวนมากขนาดนี้เลย“น้องหงยวน พวกเรากลับก่อนนะ”เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนทนกับกลิ่นไม่ได้ สายตาของเก่อหงยวนมีความภูมิใจมากยิ่งขึ้น ย่อมมีสักเรื่องที่อินชิงเสวียนเทียบนางไม่ได้จึงโบกมือด้วยรอยยิ้มในทันที“ได้สิ พรุ่งนี้ข้าจะไปเล่นกับท่านใหม่นะ”“ได้เลย”อินชิงเสวียนไม่อยากอยู่ต่อจริงๆ จึงหันหน้าเดินจากไปหลังจากเดินไปประมาณร้อยเมตร ก็เห็นนายบ่าวคู่หนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นพ
หยวนเป่าหดลำคอถามอีกว่า “คุณชาย พวกเราไม่ต้องตามหาเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วหรือขอรับ?” เฮ่อฉางเฟิงทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วพูดว่า “หากข้าคาดเดาไม่ผิด เขาคงถูกฮั่วเทียนเฉิงนำตัวกลับไปที่ตำหนักเทพหอทองคำแล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่ข้าต้องรีบกลับไป เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าเป็นผู้ตัดสินใจแล้วล่ะ”เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“คำพูดของคุณชายมีเหตุผลมากทีเดียว”จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยว่า “สองวันนี้ทุกคนต่างกำลังตามหาชายชุดดำผู้นั้นที่ช่วยทำลายค่ายกล คุณชายจะเป็นวีรบุรุษไร้นามจริงหรือขอรับ?” “การปิดทองหลังพระไม่ดีตรงไหนกัน การเป็นคนต้องถ่อมตน”เฮ่อฉางเฟิงหัวเราะร่า พร้อมเดินไปที่ริมทะเลด้วยความสบายใจจากนั้นครู่หนึ่งก็สำลักจนน้ำตาไหล จึงใช้แขนเสื้อเช็ดจมูกทันที และพาเสี่ยวหยวนเป่าวิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลยไม่เพียงแค่เฮ่อฉางเฟิงเท่านั้น คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้เลย การเผาร่างของชาวตงหลิว นับว่าเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ซึ่งผู้คนเห็นด้วยในยุทธภพ หลังเสร็จสิ้นสงครามทุกครั้ง จะนำร่างของชาวตงหลิวเผาเป็นเถ้าถ่านการเผาร่างคนในต้าโจวเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง นี่นับว
เย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ “ยังไม่สาย พวกเราก็เพิ่งมาถึง”เฮ่อฉางเฟิงยกเสื้อคลุมแล้วนั่งลงตรงข้ามกับทั้งสองคน พูดด้วยสีหน้าละอายใจ “เด็กรับใช้ยืนกรานจะนำไข่มุกจากเป่ยไห่กลับไป จึงต้องตามเขาไปเดินตลาด ทำให้พลาดเวลาโดยไม่ได้ตั้งใจ อาหารมื้อนี้ข้าน้อยจะเลี้ยงเอง เพื่อเป็นการไถ่โทษ”“คุณชายเฮ่อเกรงใจเกินไปแล้ว วันนี้เป็นเราสองสามีภรรยาที่ต้องเลี้ยงอำลาคุณชายต่างหาก คุณชายอย่าได้แย้งเลย”อินชิงเสวียนยืนขึ้น ส่งน้ำชาให้กับเฮ่อฉางเฟิงด้วยตัวเอง“ขอบคุณแม่นางอิน”เฮ่อฉางเฟิงรับถ้วยด้วยมือทั้งสองข้าง กิริยามารยาทไม่ขาดตกบกพร่องทั้งหมดคุยกันสักพัก จากนั้นอาหารและเครื่องดื่มก็ถูกยกออกมาจนครบกลิ่นไหม้ข้างนอกทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกคลื่นไส้ นางกินไม่กี่คำแค่พอเป็นพิธี ซึ่งเย่จิ่งอวี้และเฮ่อฉางเฟิงก็เช่นเดียวกัน“ไม่ทราบว่าบ้านของพี่เฮ่ออยู่ที่ไหน มีหลักประกันความปลอดภัยการเดินทางหรือไม่ หากต้องการ ข้าสามารถขอยืมศิษย์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าสำนัก เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของพี่เฮ่อได้”เย่จิ่งอวี้นิยมชมชอบผู้มีความรู้ความสามารถมาโดยตลอด ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่มีทางอดทนกับเสี่ยวเสวียนจื่อผู
ทั้งสองผลัดถ้วยแลกจอกร่ำสุรากัน จากนั้นไม่นาน สุราไหนั้นก็หมดถึงก้นไหแม้ว่าสุราในสมัยโบราณจะมีดีกรีไม่สูงมาก แต่ทุกคนต่างยังเมามายอยู่บ้างหยวนเป่าอดไม่ได้ที่จะเตือนด้วยเสียงแผ่วต่ำ “คุณชาย ท่านดื่มน้อยๆ เถอะขอรับ!”ดวงตาของเฮ่อฉางเฟิงหรี่ลง“ยุ่งน่า”แววตาในตอนนี้ ทำให้อินชิงเสวียนอึ้งไปเล็กน้อยพลังอันเฉียบคมนิ่งขึงขนาดนี้ ไม่เหมือนแววตาที่คนเรียนหนังสือพึงมีหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฮ่อฉางเฟิงก็กลับมามีใบหน้ายิ้มแย้มอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแก้มของเขาเริ่มแดงแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าก็ดื่มกันไปไม่น้อยแล้ว วันนี้พอเท่านี้เถอะ ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ถ้ามีชะตาต้องกัน สักวันคงได้พบกันอย่างแน่นอน”เฮ่อฉางเฟิงยังอารมณ์ค้างอยู่ แต่ก็ยังพยักหน้า“เอาเถิด ถึงเราจะนั่งดื่มที่นี่ทั้งคืน อย่างไรก็ต้องแยกจากกันอยู่วันยังค่ำ มิสู้ทิ้งไว้ให้หลงเหลือความคิดถึง เฝ้ารอวันที่จะได้พบกันใหม่”ทันใดนั้นความโศกเศร้าพลันท่วมท้นหัวใจการกลับเพียวเมี่ยวอิ๋นเฉิง ก็เหมือนกับการเข้าคุก เขากับพวกเขา...เกรงว่าจะไม่มีวันได้พบกันอีก...พวกเขาทั้งสามแยกกันที่หน้าประตูเหลาสุรา เมื่
เมื่อเห็นทั้งสองไม่อาจพรากจากกันได้ อินชิงเสวียนก็ค่อนข้างรู้สึกเสียใจเย่จิ่งอวี้เล่าเรื่องในเด็กของเขาให้นางฟังน้อยมาก แต่อินชิงเสวียนยังพอสืบความได้อยู่บ้างแต่ไหนแต่ไรมาองค์ชายในวังมักจะได้ดีเพราะมารดา หากตระกูลมารดามีความสามารถน้อย องค์ชายก็จะเป็นที่โปรดปรานได้ยากแม้ว่าหวนไท่เฟยจะเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ แต่ไม่มีรากเหง้าในวัง ต่อมาก็แกล้งตายจากไป ทิ้งเย่จิ่งอวี้ไว้เพียงลำพัง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าชีวิตนั้นคงยากลำบากอย่างไรอินชิงเสวียนถึงขั้นสามารถจินตนาการว่าเขาถูกองค์ชายคนอื่นเยาะเย้ยอย่างไร ไม่ได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้วอย่างไรในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าโชคดีมาก ที่เย่จิ่งอวี้ไม่ยอมแพ้ต่อตัวเอง หากแต่พึ่งพาความสามารถของเขาเองในการครองบัลลังก์ไม่ว่าจะก่อกบฏก็ดี หรือวางแผนแย่งชิงบัลลังก์ก็ช่าง อินชิงเสวียนไม่คิดว่ามีเย่จิ่งอวี้จะผิดอะไร ยิ่งไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เขาด้วยมุมมองของเทพสตรีถ้าตัวเองเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น คงจะใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อเหยียบย่ำคนที่รังแกนางและทำให้นางอับอายแน่นอนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เย่จิ่งอวี้ที่มีความคิดก