เฮ่อฉางเฟิงนอนสบายใจเฉิบบนเตียง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง พูดด้วยดวงตาที่หรี่เล็กน้อย “นี่ยังต้องเลือกอีกรึ แน่นอนว่าข้าต้องการทั้งหมด”ดวงตาของหยวนเป่าเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ“คุณชายคงไม่ชิงตัวแม่นางอินกลับไปที่อิ๋นเฉิง ไปเป็นฮูหยินของเจ้าเมืองน้อยกระมัง!”เฮ่อฉางเฟิงกลอกตามองเขาแล้วพูดว่า “สุภาพบุรุษไม่พรากของชอบของผู้ใด แม่นางอินแต่งงานแล้ว ข้าจะเป็นคนถ่อยไร้เมตตาธรรมได้อย่างไร แต่ว่า ถ้าเจ้าเด็กแซ่เย่ปฏิบัติต่อนางไม่ดี ข้าจะไม่นิ่งดูดายเป็นแน่”หยวนเป่าพูดด้วยรอยยิ้มร่า “ข้าดูแล้วสองคนผัวเมียคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ดี คุณชายเลิกคิดดีกว่า แม่นางเก่อหงยวนที่เรารู้จักก่อนหน้านั้น ก็ดูไม่เลวเลยนะขอรับ”“ช่างเถอะ”เฮ่อฉางเฟิงหลับตาอย่างหมดความสนใจหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดอย่างใจเย็น “คืนนี้ เราจะลอบสำรวจสำนักเซียวเหยายามวิกาล”เพียงชั่วพริบตาท้องฟ้าก็มืดมิด เย่จิ่งอวี้และอินสิงอวิ๋นก็กลับมาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เช่นกันการลาดตระเวนทั้งวันทำให้อินสิงอวิ๋นเลื่อมใสเขาอย่างลึกซึ้งเขาคิดเสมอว่าฮ่องเต้เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ดีกินดี แต่เย่จิ่งอวี้กลับเป็นเหมือนคนทั่วไป ตรวจตราไ
ทั้งสองจงใจชะลอความเร็วลง จนกระทั่งถึงชายทะเล แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้เย่จิ่งอวี้กระซิบ “หายไปแล้ว”อินชิงเสวียนพยักหน้า“หรือว่าไม่ได้มาเพราะเรา?”เย่จิ่งอวี้ตอบอืม“ก็อาจเป็นไปได้ สงครามใหญ่กำลังจะมาถึง พวกเสือสิงห์กระทิงแรดที่ซ่อนเร้นอยู่ในเป่ยไห่อาจนั่งไม่ติดแล้ว พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นหรอก เอาเรื่องตงหลิวเป็นหลัก”“ได้”อินชิงเสวียนก็ไม่อยากสร้างปัญหา สิ้นเปลืองพลัง นางเก็บเรือและกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับเย่จิ่งอวี้ในเวลาเดียวกัน ร่างทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันในความอ้างว้างสองคนสวมชุดพรางตัว ใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีดำ สามารถแยกแยะความแตกต่างได้จากสายตาเท่านั้นคนซ้ายมือมีดวงตาสดใสเป็นประกาย เสื้อผ้าพลิ้วไหว ท่วงท่าทางสงบส่วนคนร่างสูงทางขวา สายตาเต็มไปด้วยด้วยความซับซ้อนและความสงบเยือกเย็นแบบผู้ใหญ่ ซึ่งก็คือฮั่วเทียนเฉิงจากตำหนักเทพหอทองคำหลังจากที่สร่างเมาแล้ว เขาก็กลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ซ่อนตัวอยู่ในตรอกตรงข้ามเพื่อรอโอกาส ไม่นึกว่าจะบังเอิญเจออินชิงเสวียนและสามี เขารู้สึกดีใจทันที รีบติดตามไปทันที ขณะที่กำลังจะลงมื
“ลุกขึ้นเถอะ”ฉุยอวี้จิบชา แล้วพูดเบาๆ ตั้งแต่ถูกนำกลับมาที่สำนักเซียวเหยา เด็กหนุ่มคนนี้ก็สลบไสลไม่ได้สติตลอดเวลา คืนนี้เพิ่งฟื้นขึ้นมาฉุยอวี้ตรวจชีพจรของเขาหลายครั้ง แต่ไม่พบอะไรเลยฉางเฮิ่นเทียนมีกำลังภายในบ้างก็จริง แต่อ่อนแอมาก แย่กว่าศิษย์ทั่วไปของสำนักมาก คนเช่นนี้จะมาจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงได้อย่างไร“เจ้ามาจากอิ๋นเฉิงจริงๆ หรือ”ฉุยอวี้มองเขาแล้วถามขึ้นฉางเฮิ่นเทียนคุกเข่าลงบนพื้น แล้วพูดด้วยความเคารพ “เรียนเจ้าสำนัก เป็นเช่นนั้นจริงๆ”ฉุยอวี้แค่นเสียงหึแล้วพูดว่า “ในอิ๋นเฉิงจะมีคนอ่อนแอเช่นเจ้าได้อย่างไร”ฉางเฮิ่นเทียนกล่าขึ้นโดยเร็ว “ข้าน้อยไม่ใช่ศิษย์ของอิ๋นเฉิง ข้าน้อยทำงานหยุมหยิมในครัว เพราะคุณสมบัติมีจำกัด จึงไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ใน”ฉุยอวี้แค่นเสียงหึอีกครั้งว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักด้วยซ้ำ แล้วเจ้าออกมาได้อย่างไร”ฉางเฮิ่นเทียนกล่าวด้วยความเคารพ “มีคนเปิดประตูอิ๋นเฉิง ข้าน้อยจึงใช้โอกาสนี้หลบหนี”ฉุยอวี้ถามอีกครั้ง “คนที่เจ้ากำลังพูดถึงคือใคร”ฉางเฮิ่นเทียนกลอกตาแล้วพูดว่า “เขาเป็นศิษย์หนุ่มที่มีทักษะวรยุทธ์ที่สูงมาก”ฉุยอวี้ขมวดคิ้ว“เหตุใ
“เด็กหนุ่มที่เจ้าจับไปอยู่ที่ไหน พาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าหลั่งเลือดอยู่ตรงนี้”ร่างสูงยืนอยู่ในความมืด น้ำเสียงไม่เย็นชา แต่พลังรัศมีนั้นวางอำนาจอย่างยิ่ง“เจ้าเป็นใคร”น้ำเสียงของเฟิงเอ้อร์เหนียงสงบ นางอยู่ในยุทธภพมาหลายปีแล้ว จึงสงบสติอารมณ์ได้ดี“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”เฮ่อฉางเฟิงขยับปลายนิ่วเล็กน้อย ปราณกระบี่ก็พุ่งออกมาจากนิ้วของเขา เฟิงเอ้อร์เหนียงรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ แล้วก็มีเลือดไหลออกมามุมปากของเฟิงเอ้อร์เหนียงกระตุกเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงสงบราวกับน้ำ“เจ้าไม่บอกข้า ทำไมข้าต้องบอกเจ้า”“คิดจริงๆ หรือว่าถ้าเจ้าไม่บอก แล้วข้าจะหาคนไม่เจอ?”เฮ่อฉางเฟิงไม่ต้องการพูดไร้สาระกับนาง เขาจึงจี้สกัดจุดที่หว่างคิ้วของเฟิงเอ้อร์เหนียง ภาพเบื้องหน้าของเฟิงเอ้อร์เหนียงมืดลง และหมดสติล้มลงบนพื้นทันทีจากนั้นเดินออกจากห้อง สะกดกลั้นลมปราณ มองหากลิ่นอายของฉางเฮิ่นเทียนขณะที่ยืนนิ่ง ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายแปลกๆ ข้างหลังเขา ทันทีที่หันหลังกลับก็ปะทะฝ่ามือกันผู้มาใหม่เต็มๆน่าเสียดายที่คนผู้นี้คือฮั่วเทียนเฉิงอีกแล้วเดิมทีเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม แต่กลับรู้สึกหงุดห
เมื่อสบตากัน เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเวียนหัวทันทีดูเหมือนว่าทั้งคนจะตกอยู่ในมโนภาพอีกครั้ง ฉากนองเลือดนับไม่ถ้วนแวบออกมา หัวใจเต้นแรงอย่างคุมไม่ได้อินชิงเสวียนกะพริบตายิ้ม“อาอวี้ มีอะไรหรือ”เย่จิ่งอวี้รู้สึกตัวขึ้นมาทันที“ม่ะ ไม่มีอะไร”อินชิงเสวียนเอียงคอมองเขา ด้วยสายตาขี้เล่นคู่นั้นของหญิงสาว “หรือว่าข้าโคจรลมปราณไม่ถูกต้อง?”เย่จิ่งอวี้วางนิ้วลงบนชีพจรของอินชิงเสวียน เส้นลมปราณของหญิงสาวนั้นราบรื่น ไม่มีอะไรผิดปกติ“ไม่มี เสวียนเอ๋อร์ทำถูกแล้ว”เย่จิ่งอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เสวียนเอ๋อร์เคยฝึกฝนวรยุทธ์แบบอื่นหรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายหัว“ไม่มีนะ ทำไมอาอวี้ถามแบบนั้น”“เมื่อครู่ข้าเห็นแสงสีม่วงลอยวนอยู่บนฝ่ามือของเจ้า มันไม่ใช่วิทยายุทธ์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ถึงได้ถามเช่นนั้น”สำหรับดวงตาของอินชิงเสวียนนั้น เย่จิ่งอวี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีความรู้สึกนั้นคล้ายกับตอนที่มองตาของเถียนเซินหลินมาก แต่ก็แน่ใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวจะเรียนรู้วรยุทธ์ของเขาอินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่เรียนเพลงยุทธ์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่อาอวี้สอนข้าเท่านั้น ไ
สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปพร้อมกันทันที“เป็นไปได้อย่างไร อินชิงเสวียนจะมีพลังวิญญาณได้อย่างไร”“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ฮั่ว ท่านเข้าใจผิดหรือเปล่า”เสียงของฉุยอวี้เริ่มเย็นชา แต่เฟิงเอ้อร์เหนียงกลับมีสีหน้าประหลาดใจฮั่วเทียนเฉิงพูดอย่างหนักแน่น “ข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้ว เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ขอเพียงพวกเจ้าสามารถทำให้ข้าพาเด็กสาวแซ่อินกลับไปที่ตำหนักเทพได้ เรื่องอื่นก็ไม่ใช่ปัญหา”พวกนางทั้งสองอยู่ในเป่ยไห่มานาน ทั้งยังเป็นสตรีทั้งคู่ การเข้าใกล้ชิดกับอินชิงเสวียนย่อมทำได้ง่ายกว่าเขามากฉุยอวี้ขยิบตาให้เฟิงเอ้อร์เหนียงทันที“ในเมื่อศิษย์พี่ฮั่วมั่นใจมากเพียงนี้ เช่นนั้นเราจะหาวิธีที่จะช่วยให้ท่านทำสำเร็จได้แน่นอน”“ดีมาก เป่ยไห่ไม่ควรอยู่นานจริงๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาแทรกซ้อนที่ไม่จำเป็น”เมื่อคิดถึงยอดฝีมืออิ๋นเฉิงที่ซ่อนอยู่ในที่มืด ฮั่วเทียนเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาคนผู้นี้ลึกลับซับซ้อน วรยุทธ์ยิ่งไม่อาจคาดเดาได้ เว้นแต่พวกเขาสามคนร่วมมือกันโจมตี ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะทำร้ายเขาได้บางทีเขาอาจจะมาที่นี่เพื่อพลังวิญญาณเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่มาเตือนตัวเองหลายคร
ณ เกาะตงหลิวจักรพรรดิประทับอยู่ในพระราชวังอันโกโรโกโสของเขา ดวงตาไหววูบไม่แน่นิ่งในคราวนี้ ตงหลิวเรียกได้ว่าหัวกะทิเข้ามาแล้วก็ออกไป ถ้าไม่สำเร็จก็สละชีพที่เหลืออยู่ล้วนมีแค่คนแก่ ผู้อ่อนแอ ผู้หญิงและเด็ก รวมถึงทหารองครักษ์จำนวนไม่มากที่เฝ้าอารักขาพระราชวังครั้นนึกถึงการดิ้นรนต่อสู้ตลอดหลายปี ความคิดของเขาก็ดำดิ่งลงเมื่อมองดูพืชพรรณอันเยือกเย็นตรงหน้า ก็เกิดความรู้สึกคับแค้นใจได้ยินมาว่าเดิมทีพวกเขาเหล่านี้มีพื้นเพมาจากจงหยวน แต่ด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลบางประการ ถึงได้ถูกเนรเทศมาที่นี่ที่นี่มีพื้นที่ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่เท่าแมวดินตายอย่างแท้จริงไม่สามารถเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหารได้ และไม่ค่อยมีผักให้กิน ถ้าอยากรอด ก็กินได้แต่ของที่มีกลิ่นเหม็นคาวในทะเลเท่านั้นทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิก็โมโหจนปวดบิดในช่องท้องอย่างอดไม่ได้ตอนนี้พิณการเวกถูกทำลายไปแล้ว เป็นโอกาสอันหายากที่พันปีจะมีสักครั้ง ศึกคราวนี้มีแต่ต้องชนะเท่านั้น แพ้ไม่ได้เด็ดขาดเมื่อคิดว่าอ๋องโมริตะและแม่ทัพทั้งหลายต่างก็ออกไปรบแล้ว จักรพรรดิก็รู้สึกโล่งใจที่เขาสามารถอยู่ในตำแห
“เจ้า...”จักรพรรดิยกมือกุมอก ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆโมริตะคาวาสึบาเมะมองเขาอย่างเย็นชา ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายเป็นแสงสีทองสองดวงเมื่อเห็นดวงตาแปลกๆ คู่นั้น จักรพรรดิอดไม่ได้ที่จะตกใจ “นี่...นี่คือเนตรลวงตาของบรรพบุรุษ ไม่เคยมีใครเรียนรู้วิธีจนนำไปใช้ได้ ทำไมเจ้าถึงทำได้”โมริตะคาวาสึบาเมะพ่นลมด้วยความไม่พอใจ“ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าเป็นบรรพบุรุษของเจ้า แค่เสียดายที่พวกเจ้าคุณสมบัติมีขีดจำกัด ไม่มีใครสามารถสืบทอดข้าได้อย่างแท้จริง”จักรพรรดิก้าวถอยหลังไปอีกก้าวด้วยความตกใจ“เป็นไปได้อย่างไร”ถ้าบรรพบุรุษยังมีชีวิตอยู่ ก็คงมีอายุหลายร้อยปีแล้ว จะอายุน้อยแบบนี้ได้อย่างไรโมริตะคาวาสึบาเมะรับกุญแจอย่างไม่รีบร้อน เขาพูดช้าๆ “นี่คือวิธีแปรวิญญาณของเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก ข้าได้รับมันโดยบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากกายเนื้อได้จริงๆ”จักรพรรดิมองดูโมริตะคาวาสึบาเมะด้วยความประหลาดใจ“ในโลกนี้มีวิทยายุทธ์ที่ขัดกฎสวรรค์เช่นนี้ด้วยรึ”โมริตะคาวาสึบาเมะพูดอย่างเหยียดหยาม “โลกทัศน์ของเจ้าคับแคบเกินไป ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นไปได้”จักรพรรดิถามอีกค