ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองที่เฟิ้งฉีเทียน และบอกเขาว่าอย่าพูดจาไร้สาระ อย่างไรก็ตามก่อนที่ยังจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจน ฉันก็ไม่สามารถโยนความผิดมั่ว ๆ ให้หลิวหลงถิงได้วันนี้ฉันมีเรียนทั้งวัน ตอนเที่ยงฉันก็ไม่ได้กลับไป เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนขณะกลับบ้าน ฉันลังเลอยู่ว่าจะต้องถามเรื่องนี้กลับหลิงหลงถิงอย่างไรแต่ทันทีที่เปิดประตูบ้านก็มีกลิ่นหอมของอาหารส่งกลิ่นหอมอบอวลออกมา บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นมีจานที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อ กุ้ง และอื่น ๆ ที่วางอยู่ด้านบน ฉันยังคิดว่าเป็นอาหารที่หลิวหลงถิงสั่งกลับบ้
“เมื่อกี้นายบอกฉันว่าอะไรนะ?” ฉันถามหลิวหลงถิงต่อ ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าความจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างที่เหยาน่าพูดหรือไม่“การเสียชีวิตของพวกผู้ชายสี่ห้าคนในชั้นเรียนของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันจริง ๆ ฉันคิดว่าเหยาน่าคงจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับเธอแล้ว สิ่งที่หล่อนพูดนั้นเป็นความจริง ฉันฆ่าคน และฉันดูดพลังทั้งหมดของพวกเขาจนเกลี้ยง พวกเขาตายแล้ว”แม้ว่าก่อนหน้านี้ฉันพอจะเดาไว้ว่าหลิวหลงถิงเป็นคนทำสิ่งนี้ แต่พอฉันได้ยินเขาพูดเรื่องพวกนี้กับฉันตรง ๆ อยู่ ๆ ใจฉันก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาหลายครั้ง ฉันเง
“นายกำลังแก้แค้นหล่อนใช่มั้ย?” ฉันถามหลิวหลงถิง “ไม่ใช่ ฉันแค่กำลังลงโทษหล่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง และตอนนี้ฉันก็กำลังลงโทษเธออยู่ต่อไปห้ามสงสัยในตัวฉันอีกแล้วนะเข้าใจไหม” หลิวหลงถิงที่กำลังพูดอยู่นั้น เอียงหน้ามองมาที่ฉันด้วยหน้าตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ฉันก็มองไปที่เขาอยู่สักพัก แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังหมายถึงอะไร แต่ด้วยเวลาผ่านไปนาน ฉันก็เริ่มเข้าใจว่าการลงโทษที่เขาพูดถึงคืออะไรเมื่อถึงเวลานอน ฉันกังวลอยู่ตลอดว่าท้ายที่สุดแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเหยาน่ากันแน่ แชทห้องเรียนมีแต่คำน
ฉันตกใจมาก ๆ จนโทรศัพท์ร่วงหล่น รีบร้อนยื่นมือเข้าไปรับเธอ แต่ความเร็วที่ร่างนั้นตกลงมาเร็วกว่าฉันมาก ฉันยังเดินไปไม่ถึงจุดที่เธอจะหล่นลงมา ก็มีเสียงดังตุบ! ขึ้นมาเสียก่อนเหยาน่าตกลงบนพื้นคอนกรีตตรงหน้าของฉันในลักษณะที่คว่ำหน้าลง และเลือดสีดำสดค่อย ๆ ทะลักจากศรีษะของเธอออกมา...ในชั่วขณะหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าจะก้าวไปทางไหนและตะโกนเรียกคนอย่างไร ขาสองขาของฉันอ่อนยวบลงและทรุดตัวลงข้าง ๆ ศพของเหยาน่า หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกราวกับกำลังฝันไป มีคนเรียกตำรวจ และดึงฉันออกไปปลอบ พวกเขานำศพของเหยาน่าออกไ
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่หลิวหลงถิงและเฟิ้งฉีเทียนได้พบกัน แต่หลิวหลงถิงแค่มองไปที่เฟิ้งฉีเทียนเท่านั้นและไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขา ร่างสูงเหยียดมือมาโอบที่ไหล่ของฉันให้หลบเข้ามาอยู่ใต้ร่มของเขา แล้วหันหลังเดินกลับไป“เจ้านี่หยาบคายเกินไปแล้ว ครั้งแรกที่ข้าลงมาเยี่ยมเยียน แล้วไม่ทักทาย ข้าก็ถือว่าปล่อยมันไป ตอนนี้เจอหน้ากันแล้ว แม้แต่จะทักทายสักหน่อยก็ไม่มี รู้ไหมว่าข้าเป็นเทพสวรรค์ที่ลงมายังโลกมนุษย์เลยนะ?”เมื่อเฟิ้งฉีเทียนเห็นว่าหลิวหลงถิงไม่สนใจเขา ก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดออกมาก่อนด้วยน้ำเสียง
แต่ความต้องการของคนเรานี่ช่างน่ากลัว นอกจากน้ำแล้ว ฉันไม่ได้กินอะไรมาสองวัน ความรู้สึกหิวโหยแบบนี้ อีกทั้งความรู้สึกนึกคิดของฉันก็ถูกแทนที่ไปแล้วจริง ๆ แม้ว่าฉันจะอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเอนตัวนอนอยู่บนเตียง แต่ฉันก็หิวจนนอนไม่หลับ อวัยวะภายในของมันบีบอัดจนทรมานมาก ฉากที่หลิวหลงถิงให้เงินฉันในตอนเช้าผุดขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่อง ทำไมฉันไม่รับเงินมานะ ถ้าฉันยอมเอาเงินมาบ้าง ตอนนี้ฉันก็ไม่ต้องหิวโหยขนาดนี้ ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจลุกจากเตียงแล้วสวมรองเท้าแตะเดินไปหาหลิวหลงถิงที่อยู
การเลือกเทพเจ้านี้ก็ถือได้ว่าพิธีโดดเด่นพิธีหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรา พวกศิลปะการแสดงละครเวทีเรื่องสั้น เพลงระบำสลับการการเต้นสร่างเหล่านั้นมีต้นกำเนิดจากที่นี่ทั้งหมด และก็ต้องมีคนสองคนที่แต่งตัวเป็นเทพเจ้า ร้องเพลงไปและเต้นไปด้วยอยู่บนพื้น ทั้งหมดวิวัฒนาการมาจากวัฒนธรรมในอดีตของนักเวทย์มนตร์ในลิทธิเชมัน เป็นพิธีที่ใช้ในการอธิษฐานขอพรหรือจัดการกับวิญญาณชั่วร้าย ไม่แน่ว่าแม่หมออิงจะเผชิญกับอะไรบางสิ่งที่ยากจะรับมืออยู่เหรอ? แม้ว่าฉันจะไม่รู้วิธีการเลือกมหาเทพของร่างทรง แต่วันรุ่งขึ้นฉัน
เมื่อเห็นท่าทีว่าหลิวหลงถิงไม่สนใจในความสามารถของฉันเลยสักนิด แม่หมออิงก็สงสัยอยู่เล็กน้อย และถามฉันว่าแล้วปกติหลิวหลงถิงไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มสอนสิ่งต่าง ๆ ให้เหรอ?ฉันส่ายหัวไปมาแล้วบอกว่าไม่ได้สอน“งั้นเวลาที่ต้องเผชิญกับเรื่องต่าง ๆ ล่ะ จัดการกันยังไง?”“หลิวหลงถิงเป็นคนจัดการ บางทีก็เป็นเขาเข้ามาประทับร่างฉัน และพวกเราก็ยังไม่เคยเผชิญเรื่องราวอะไรใหญ่โตเลย” ฉันอธิบายให้แม่หมออิงฟังแม่หมออิงหยิบกระดาษสีเหลืองม้วนหนึ่งที่เต็มไปด้วยน้ำหมึกออกมา แล้วบอกว่าคำที่เขียนอยู่ในนั้นคือ “ปังปิงเจ่ว”