ถ้าวันนี้เสิ่นอวี้เอาหนังสือสมรสออกมาได้จริง ๆ มีคนมากมายขนาดนี้เป็นพยาน ให้เขาขอโทษก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจะตบหน้าเขาอีก ต่อไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?คนอื่น ๆ ก็ทำหน้าแปลกประหลาดแม้แต่ซุนเสี่ยวพ่างก็หัวเราะไม่ออกแล้ว ดวงตาจับจ้องไปที่เสิ่นอวี้ เขาไม่มีทางเชื่อว่าแม่นางเสิ่นสามคนนี้เป็นคนเดียวกันกับที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เหมือนกับเขาเจียงจิวอดพึมพำไม่ได้ “แม่นางเสิ่นสามกลายเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ใต้เท้าซ่งถูกนางเล่นงานไปแล้ว ถ้าเจ้ากรมซุนถูกนางบีบคั้นจนโดนตบหน้าต่อหน้าสาธารณชน เช่นนั้นต่อไปชื่อของนางคงถูกจารึกในประวัติศาสตร์แล้ว!”“นับได้ว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง”จ้านอวิ๋นเซียวเหลือบมองเขา จากนั้นสายตาที่มองเสิ่นอวี้ กลายเป็นสงสัยยิ่งขึ้นซ่งหวายจื้อกับเจ้ากรมซุนล้วนเป็นขุนนางเก่าที่ปีนป่ายขึ้นมาทีละก้าวตั้งแต่ยุคสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน ศัตรูมากมายในราชสำนักก็ไม่อาจจัดการสองคนนี้ได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับมาเสียท่าด้วยฝีมือของเด็กสาวคนหนึ่ง...ไม่พูดไม่ได้ว่าผลงานการเอาตัวรอดของแม่นางเสิ่นสาม เพียงพอให้พูดตลอดชีวิตแล้วเขากำลังครุ่นคิดในใจ จึงยิ่งคาดหวังให้ไป๋ชีกลับ
“เจ้าว่าอะไรนะ?”ไม่รอเจ้ากรมซุนตอบ ซ่งหว่านฉิงตะโกนออกมาแล้ว “เจ้าไปเอาหนังสือสมรสตอนไหน?”ไม่สิ นี่ไม่ถูก!หนังสือสมรสถูกนางฉีกไปแล้วไม่ใช่หรือ?ทำไมถึงยังมีหนังสือสมรสอยู่อีก?ในใจของซ่งหว่านฉิงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที จ้องเสิ่นอวี้ตาเขม็ง สายตาอำมหิตเหมือนจะฉีกนางเป็นชิ้น ๆ เสิ่นอวี้หัวเราะเย็นชากล่าวว่า “เจ้าลองทายดูสิ”ซ่งหว่านฉิงสีหน้ากลายเป็นน่าเกลียด นางกำลังตัวสั่นจึงลองนึกย้อนเรื่องราวอีกครั้ง ถึงได้บอกกับตัวเองว่าเสิ่นอวี้ไม่มีทางมีแผนสำรองแน่สายตาที่เสิ่นอวี้มองนางแฝงด้วยความเย้ยหยัน “จะว่าไปแล้วต้องขอบคุณเจ้า คืนนั้นถ้าไม่ใช่เจ้าสารภาพความรู้สึกให้องค์หญิงใหญ่ฟัง เอาเรื่องหนังสือสมรสมาพูด คิดจะแต่งงานกับท่านอ๋องเอง ข้าก็คงไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังคิดไม่ดีกับหนังสือสมรสข้า”ทันใดนั้นสีหน้าของซ่งหว่านฉิงแข็งค้าง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”คนอื่น ๆ ก็มองไปทางเสิ่นอวี้ เจ้ากรมซุนกำลังตัวสั่นอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี!หรือว่าวันนี้เขาจะต้อง...เสิ่นอวี้มองเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน จากนั้นกล่าวกับซ่งหว่านฉิง “เดิมทีข้าแค่รู้สึกไม่สบายใจ ถึงได้เอาหนังสือสมรสเก็บไว้
ซ่งหว่านฉิงตกตะลึงทันที ใบหน้าที่ราวกับสุกรโมโหจนบวมยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้นางกลัวว่าเสิ่นอวี้จะหนีรอดได้ จึงคิดแต่จะกระตุ้นให้ท่านอ๋องเฒ่าจ้านกับองค์หญิงใหญ่โมโหแล้วลงโทษนางให้ตายแต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะทนมาได้ถึงตอนนี้ กลับกันทำให้นางกับหลิ่วอี๋เหนียงตกสู่สถานการณ์สิ้นหวัง!ซ่งหว่านฉิงโมโหจนแทบบ้า เรื่องมาถึงขั้นนี้จึงทำได้เพียงถลึงตาใส่นางกล่าวว่า “ตอนที่เจ้ากรมซุนแย่งหนังสือสมรสปลอมไป เจ้าก็รู้เรื่องทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่?”นางมีแผนการแยบยลขนาดนี้ได้อย่างไร?สายตาที่ซ่งหว่านฉิงมองนางราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้นเสิ่นอวี้เผยรอยยิ้ม มองเจ้ากรมซุนด้วยความเยาะเย้ย “ถ้าพูดถึงตรงนี้ ข้าต้องขอบคุณเจ้ากรมซุนจริง ๆ วินาทีที่เจ้าพุ่งเข้ามา ข้าคิดว่าเจ้าฉีกหนังสือสมรสข้าไปแล้วจริง ๆ ข้าตกใจมาก แต่เจ้ากรมซุนพุ่งเข้ามาหาข้าโดยไม่สนใจสถานะ ไม่สนใจชายหญิง แย่งหนังสือสมรสไปทำให้ข้าตกใจ”“พอข้าตื่นตระหนกจึงรีบแย่งชิ้นส่วนหนึ่งมา”“ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นคนด้านข้างมาแย่งไป จึงคิดว่าเป็นของดี ข้าเลยอยากจะได้บ้าง...” “......”ทุกคนในห้องพูดไม่ออก ใบหน้าชราของเ
น้ำเสียงถึงกับแฝงด้วยความริษยา แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะยังไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อคนด้านข้างได้ฟัง สายตาที่มองเขาก็กลายเป็นแปลกประหลาดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้จ้านอวิ๋นเซียวก็ไม่ใช่คนจัดการง่าย ๆ จึงกล่าวว่า “หลายปีมานี้องค์ชายสามวิ่งไปจวนโหวทุกวัน เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”ทันใดนั้นองค์ชายสามสีหน้าซีดขาวหลังจากได้สติกลับมาจึงหัวเราะเสียงดัง “ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว...” เดิมทีคิดจะกล่าวว่าเขาไปที่จวนโหวเพราะจะให้เสิ่นลั่วปรุงยาให้ แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วกลับไม่ได้พูดออกไปจากนั้นมองเสิ่นอวี้ด้วยสายตาซับซ้อนก่อนหน้านี้เสิ่นอวี้เป็นแค่หมากในมือของเขาเท่านั้น แค่ใช้เสร็จก็โยนทิ้ง แต่ตอนนี้เมื่อถึงคราวต้องโยนหมากเสียตัวนี้ทิ้งเขากลับไม่อยากทำแล้วจากความสามารถของนางในวันนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นเสิ่นจงต๋าคนที่สองที่ช่วยก่อตั้งราชอาณาจักรได้ ถ้าคนเช่นนี้มาช่วยเขาได้ละก็...ตอนนี้เขาเกิดความคิดเอาจริงขึ้นมาแล้วแต่ท่านอ๋องเฒ่าจ้านเมื่อได้ยินทุกคนพูดถึงเสิ่นจงต๋า จึงหาทางออกไม่ได้ เค้นเสียงเย็นกล่าวว่า “เอาหนังสือสมรสของจริงกลับมาก่อนก็ยังไม่สาย!”เสิ่นจงต๋ากับบิดาของเขาจ้านฉางอันสาบานเป็น
เสิ่นอวี้ขมวดคิ้วแน่น ในสมองรีบครุ่นคิดเรื่องบางอย่างสีหน้าของไป๋ชีสีหน้าไม่สู้ดีอย่างยิ่ง ต้องเจอเรื่องไม่ดีแน่ แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามใคร กลับเดินไปทางจ้านอวิ๋นเซียว หนังสือสมรสนั้น...ตอนนี้ไป๋ชีกำลังกระซิบข้างหูจ้านอวิ๋นเซียวทันใดนั้นดวงตาของจ้านอวิ๋นเซียวเต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าที่เดิมทีมีแต่ความเย็นชายิ่งเย็นชามากขึ้นอีกหลายส่วน“ดูท่าจะไม่มีหนังสือสมรสจริง ๆ...ไม่รู้ว่าองครักษ์ไป๋ชีไปเจออะไรมา ถึงกับทำให้ท่านอ๋องโมโห ไม่พูดไม่ได้ว่าคุณหนูเสิ่นสามคนนี้ช่าง...”ทุกคนทยอยกันส่ายหัว“เสิ่นอวี้ ตอนนี้หาหนังสือสมรสไม่พบ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่!” ซ่งหว่านฉิงได้สติกลับมา ตะโกนไปทางเสิ่นอวี้ด้วยน้ำเสียงดุร้ายทันที “เจ้ายังจะใส่ร้ายข้ากับหลิ่วอี๋เหนียงอีกหรือไม่?”เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงเห็นสถานการณ์จึงช่วยกล่าวเสริม “ใช่แล้วอวี้เอ๋อร์ เจ้าอย่าปากแข็งอีกเลย ไม่มีหนังสือสมรสแล้ว ต่อให้เจ้าพูดอะไรออกมา ก็เอาหนังสือสมรสออกมาไม่ได้แล้ว...เล่นกับความรู้สึกของท่านอ๋องครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ มีแต่จะยิ่งทำให้ท่านอ๋องเฒ่าจ้านโมโหนะ!”จากนั้นเจ้ากรมซุนส่ายหัว หัวเราะอย่างได้ใจ ลูบคางที่ไม
สีหน้าของเจ้ากรมซุนเดี่ยวเขียวเดี๋ยวขาว ท่าทางได้ใจเมื่อครู่ตอนนี้ยังแข็งค้างอยู่บนหน้า จับจ้องเสิ่นอวี้ไม่วางตาเสิ่นอวี้ยิ้มมองเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่แม้แต่จะหลบสายตาทั้งสองคนนิ่งไปขยับเมื่อองค์ชายสามเห็นก็มองไปทางจ้านอวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ท่านอ๋องหนังสือสมรสในมือของท่าน เป็นฉบับของท่านหรือของคุณหนูเสิ่นสามกัน?”เจ้ากรมซุนได้สติกลับมา หันไปมองจ้านอวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ปกป้องคุณหนูเสิ่นสามเลย ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าท่านชอบคุณหนูเสิ่นสาม แต่เรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของฮ่องเต้องค์ก่อน...”ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าหนังสือสมรสในมือของจ้านอวิ๋นเซียวเป็นของนางจากความรักที่จ้านอวิ๋นเซียวมีให้นาง คนอื่น ๆ ก็เชื่อสิ่งที่องค์ชายสามกับเจ้ากรมซุนพูด จึงหันไปมองจ้านอวิ๋นเซียวเสิ่นอวี้ก็ขมวดคิ้วมองไปทางเขาตอนนี้นางก็ไม่มั่นใจว่าที่อยู่ในมือเขาเป็นของนางหรือเพราะเขาอยากช่วยนางจึงเอาของเขาออกมาแต่จากนิสัยของจ้านอวิ๋นเซียว เมื่อเจอกับคำถามไร้เหตุผลกับคำข่มขู่เช่นนี้...เมื่อเผชิญหน้ากับคำถาม ตอนแรกจ้านอวิ๋นเซียวมึนงงเล็กน้อยเขาเหมือนคิดไม่ถึงว่าจะเจอคำถามแบบนี
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่คนเป็นพ่ออย่างเสิ่นจิ้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อดปากกระตุกอย่างอดไม่ได้นี่ไม่ได้แปลว่าขอแค่เจ้ากรมซุนขอโทษนาง ตบหน้าตัวเองต่อหน้าทุกคนถึงจะเป็นคนน่าเชื่อถือหรอกหรือ?ตอนนี้สายตาที่มองนางของทุกคนในห้องโถงล้วนกลายเป็นซับซ้อนเดิมคิดว่ามีแค่จ้านอ๋องที่จัดการยาก คิดไม่ถึงว่าแม่นางเสิ่นสามก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกันวันนี้เกรงว่าเจ้ากรมซุนคงถูกสั่งสอนเข้าจริง ๆ แล้วเจ้ากรมซุนอยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ จึงไม่อยากเป็นคนไร้สัจจะ และไม่อยากตบหน้าตัวเองด้วย ตอนนี้จึงกำลังโมโหมาก ท้ายที่สุดเขาจ้องเสิ่นอวี้อย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “แม่หนูเสิ่น เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”เสิ่นอวี้ไม่เปลี่ยนสีหน้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากรมซุนจะตบตัวเองหรือให้ข้าลงมือ?”ตอนที่ใส่ร้ายนางไม่เห็นคิดว่ารังแกกันเกินไปสักนิดเสิ่นอวี้นึกถึงชาติก่อนตอนที่ถูกคนกลุ่มนี้เล่นงาน จนสุดท้ายครอบครัวแตกสลาย จ้านอวิ๋นเซียวตายอย่างน่าอนาถ ในดวงตาจึงเผยความโกรธออกมาเมื่อเจ้ากรมซุนเห็นเขารู้สึกจิตใจสั่นสะท้านท้ายที่สุดฮ่องเต้ต้องหาทางออกให้เขา กล่าวกับขันทีข้างกาย “เจ้าไปตบหน้าเจ้ากรมซุนแทนเถอะ”
เสิ่นอวี้พูดแทรกนาง “ตอนที่ท่านคลอดข้า พี่หญิงเพิ่งอายุหนึ่งขวบครึ่ง”นางผิดหวังในตัวนางหลิ่วมากจริง ๆจนถึงตอนนี้แล้วนางยังพูดช่วยซ่งหว่านฉิง ทำให้นางลำบากใจจริง ๆด้านข้างมีคนหัวเราะออกมา “นางหลิ่วก็ทำเกินไป เห็น ๆ กันอยู่ว่าหนังสือสมรสยังอยู่ดี นางกลับยืนยันว่าถูกเผาไปแล้ว คำพูดที่พูดไปก่อนหน้านี้ ฟังดูแล้วเหมือนกำลังขอความเมตตาให้แม่นางเสิ่นสาม แต่ความจริงแล้วกลับกล่าวโทษแม่นางเสิ่นสามอยู่”“ตอนนี้เอาหนังสือสมรสกลับมาได้แล้ว นางกลับเริ่มทำตัวน่าสงสาร ตอนนี้ยังเล่าความลำบากในปีนั้นให้เด็กอายุหนึ่งขวบไปตามหมอมาช่วยนาง หรือว่าแม่นางตระกูลซ่งจะเป็นเด็กเทพ อายุเพียงขวบครึ่งก็สามารถพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ได้? เป็นอัจฉริยะจากหอนางโลมจริง ๆ!”เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้คนโง่ก็มองออกว่าหลิ่วอี๋เหนียงเข้าข้างซ่งหว่านฉิงหลิ่วอี๋เหนียงถูกเปิดโปงจนใบหน้าแดงก่ำท้ายที่สุดนางจ้องเสิ่นอวี้เรียกชื่อของนาง “เสิ่นอวี้ข้าขอถามเจ้า เจ้าอยากให้แม่ตายจริงหรือ?”นางเกิดอารมณ์ทั้งหมดจ้องเสิ่นอวี้อย่างดุร้ายเสิ่นอวี้ถึงได้รู้ว่า แม่ไม่เพียงลำเอียง ยังโหดเหี้ยมเย็นชา ถ้านางบีบคั้นนางหลิ่ว ต่อไปนางจะมีชื่