เสิ่นอวี้ขมวดคิ้วแน่น ในสมองรีบครุ่นคิดเรื่องบางอย่างสีหน้าของไป๋ชีสีหน้าไม่สู้ดีอย่างยิ่ง ต้องเจอเรื่องไม่ดีแน่ แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามใคร กลับเดินไปทางจ้านอวิ๋นเซียว หนังสือสมรสนั้น...ตอนนี้ไป๋ชีกำลังกระซิบข้างหูจ้านอวิ๋นเซียวทันใดนั้นดวงตาของจ้านอวิ๋นเซียวเต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าที่เดิมทีมีแต่ความเย็นชายิ่งเย็นชามากขึ้นอีกหลายส่วน“ดูท่าจะไม่มีหนังสือสมรสจริง ๆ...ไม่รู้ว่าองครักษ์ไป๋ชีไปเจออะไรมา ถึงกับทำให้ท่านอ๋องโมโห ไม่พูดไม่ได้ว่าคุณหนูเสิ่นสามคนนี้ช่าง...”ทุกคนทยอยกันส่ายหัว“เสิ่นอวี้ ตอนนี้หาหนังสือสมรสไม่พบ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่!” ซ่งหว่านฉิงได้สติกลับมา ตะโกนไปทางเสิ่นอวี้ด้วยน้ำเสียงดุร้ายทันที “เจ้ายังจะใส่ร้ายข้ากับหลิ่วอี๋เหนียงอีกหรือไม่?”เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงเห็นสถานการณ์จึงช่วยกล่าวเสริม “ใช่แล้วอวี้เอ๋อร์ เจ้าอย่าปากแข็งอีกเลย ไม่มีหนังสือสมรสแล้ว ต่อให้เจ้าพูดอะไรออกมา ก็เอาหนังสือสมรสออกมาไม่ได้แล้ว...เล่นกับความรู้สึกของท่านอ๋องครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ มีแต่จะยิ่งทำให้ท่านอ๋องเฒ่าจ้านโมโหนะ!”จากนั้นเจ้ากรมซุนส่ายหัว หัวเราะอย่างได้ใจ ลูบคางที่ไม
สีหน้าของเจ้ากรมซุนเดี่ยวเขียวเดี๋ยวขาว ท่าทางได้ใจเมื่อครู่ตอนนี้ยังแข็งค้างอยู่บนหน้า จับจ้องเสิ่นอวี้ไม่วางตาเสิ่นอวี้ยิ้มมองเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่แม้แต่จะหลบสายตาทั้งสองคนนิ่งไปขยับเมื่อองค์ชายสามเห็นก็มองไปทางจ้านอวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ท่านอ๋องหนังสือสมรสในมือของท่าน เป็นฉบับของท่านหรือของคุณหนูเสิ่นสามกัน?”เจ้ากรมซุนได้สติกลับมา หันไปมองจ้านอวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ปกป้องคุณหนูเสิ่นสามเลย ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าท่านชอบคุณหนูเสิ่นสาม แต่เรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของฮ่องเต้องค์ก่อน...”ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าหนังสือสมรสในมือของจ้านอวิ๋นเซียวเป็นของนางจากความรักที่จ้านอวิ๋นเซียวมีให้นาง คนอื่น ๆ ก็เชื่อสิ่งที่องค์ชายสามกับเจ้ากรมซุนพูด จึงหันไปมองจ้านอวิ๋นเซียวเสิ่นอวี้ก็ขมวดคิ้วมองไปทางเขาตอนนี้นางก็ไม่มั่นใจว่าที่อยู่ในมือเขาเป็นของนางหรือเพราะเขาอยากช่วยนางจึงเอาของเขาออกมาแต่จากนิสัยของจ้านอวิ๋นเซียว เมื่อเจอกับคำถามไร้เหตุผลกับคำข่มขู่เช่นนี้...เมื่อเผชิญหน้ากับคำถาม ตอนแรกจ้านอวิ๋นเซียวมึนงงเล็กน้อยเขาเหมือนคิดไม่ถึงว่าจะเจอคำถามแบบนี
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่คนเป็นพ่ออย่างเสิ่นจิ้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อดปากกระตุกอย่างอดไม่ได้นี่ไม่ได้แปลว่าขอแค่เจ้ากรมซุนขอโทษนาง ตบหน้าตัวเองต่อหน้าทุกคนถึงจะเป็นคนน่าเชื่อถือหรอกหรือ?ตอนนี้สายตาที่มองนางของทุกคนในห้องโถงล้วนกลายเป็นซับซ้อนเดิมคิดว่ามีแค่จ้านอ๋องที่จัดการยาก คิดไม่ถึงว่าแม่นางเสิ่นสามก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกันวันนี้เกรงว่าเจ้ากรมซุนคงถูกสั่งสอนเข้าจริง ๆ แล้วเจ้ากรมซุนอยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ จึงไม่อยากเป็นคนไร้สัจจะ และไม่อยากตบหน้าตัวเองด้วย ตอนนี้จึงกำลังโมโหมาก ท้ายที่สุดเขาจ้องเสิ่นอวี้อย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “แม่หนูเสิ่น เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”เสิ่นอวี้ไม่เปลี่ยนสีหน้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากรมซุนจะตบตัวเองหรือให้ข้าลงมือ?”ตอนที่ใส่ร้ายนางไม่เห็นคิดว่ารังแกกันเกินไปสักนิดเสิ่นอวี้นึกถึงชาติก่อนตอนที่ถูกคนกลุ่มนี้เล่นงาน จนสุดท้ายครอบครัวแตกสลาย จ้านอวิ๋นเซียวตายอย่างน่าอนาถ ในดวงตาจึงเผยความโกรธออกมาเมื่อเจ้ากรมซุนเห็นเขารู้สึกจิตใจสั่นสะท้านท้ายที่สุดฮ่องเต้ต้องหาทางออกให้เขา กล่าวกับขันทีข้างกาย “เจ้าไปตบหน้าเจ้ากรมซุนแทนเถอะ”
เสิ่นอวี้พูดแทรกนาง “ตอนที่ท่านคลอดข้า พี่หญิงเพิ่งอายุหนึ่งขวบครึ่ง”นางผิดหวังในตัวนางหลิ่วมากจริง ๆจนถึงตอนนี้แล้วนางยังพูดช่วยซ่งหว่านฉิง ทำให้นางลำบากใจจริง ๆด้านข้างมีคนหัวเราะออกมา “นางหลิ่วก็ทำเกินไป เห็น ๆ กันอยู่ว่าหนังสือสมรสยังอยู่ดี นางกลับยืนยันว่าถูกเผาไปแล้ว คำพูดที่พูดไปก่อนหน้านี้ ฟังดูแล้วเหมือนกำลังขอความเมตตาให้แม่นางเสิ่นสาม แต่ความจริงแล้วกลับกล่าวโทษแม่นางเสิ่นสามอยู่”“ตอนนี้เอาหนังสือสมรสกลับมาได้แล้ว นางกลับเริ่มทำตัวน่าสงสาร ตอนนี้ยังเล่าความลำบากในปีนั้นให้เด็กอายุหนึ่งขวบไปตามหมอมาช่วยนาง หรือว่าแม่นางตระกูลซ่งจะเป็นเด็กเทพ อายุเพียงขวบครึ่งก็สามารถพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ได้? เป็นอัจฉริยะจากหอนางโลมจริง ๆ!”เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้คนโง่ก็มองออกว่าหลิ่วอี๋เหนียงเข้าข้างซ่งหว่านฉิงหลิ่วอี๋เหนียงถูกเปิดโปงจนใบหน้าแดงก่ำท้ายที่สุดนางจ้องเสิ่นอวี้เรียกชื่อของนาง “เสิ่นอวี้ข้าขอถามเจ้า เจ้าอยากให้แม่ตายจริงหรือ?”นางเกิดอารมณ์ทั้งหมดจ้องเสิ่นอวี้อย่างดุร้ายเสิ่นอวี้ถึงได้รู้ว่า แม่ไม่เพียงลำเอียง ยังโหดเหี้ยมเย็นชา ถ้านางบีบคั้นนางหลิ่ว ต่อไปนางจะมีชื่
ในห้องมีคนมากมายหลายสิบคน แต่เสิ่นอวี้กลับรู้สึกรอบด้านเงียบสนิท มีเพียงเขาที่มองนางอยู่เงียบ ๆ มีเพียงเสียงของเขาที่ดังกังวานอยู่ในสมองของนางไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในดวงตาของนางมีน้ำตาไหลออกมา ถึงกับกล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “เพียงแค่ลืมไปเท่านั้น หนังสือสมรสนี้อยู่กับข้ามาตั้งแต่เกิด เหมือนเป็นยันต์คุ้มกันของข้า ข้าคุ้นเคยกับการมีมันอยู่ด้วยแล้ว ท่านอ๋องคืนมันให้ข้าเถอะ”จะไม่อยากเอาได้อย่างไร?ชาติก่อนนางตาบอด มองไม่เห็นความรู้สึกในดวงตาของเขา สัมผัสไม่ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา ทำร้ายเขามากมายขนาดนั้นสุดท้ายทุกคนทรยศนาง มีเพียงเขาคนเดียวที่ลากสังขารเต็มไปด้วยบาดแผลมาหานางความรักเช่นนี้ต่อให้นางเกิดใหม่อีกสามชาติก็คืนไม่หมดครั้งนี้นางไม่อยากจะทำร้ายจิตใจของเขาอีกแล้วเสิ่นอวี้หันหน้าเดินไปทางเขาบุรุษนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แขนที่ถือหนังสือสมรสลืมเก็บกลับไป เขามองสตรีที่กำลังเดินมาทางเขาด้วยความตะลึง ไม่กล้าเชื่อว่าที่เขาได้ยินเป็นเรื่องจริงในสมองของเขาย้อนฟังคำพูดของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดถึงได้ยืนยันทีละคำ ๆมิผิด นางบอกว่าหนังสือสมรสเล่มนั้นอยู่กับนางมาตั้งแต่เด็
เสิ่นอวี้รู้ว่าตอนจบตรงหน้านี้เป็นสิ่งที่สองพ่อลูกไม่อยากเห็น แต่สิ่งที่นางอยากทำในชาตินี้คือเพียงต้องการปกป้องคนที่ตนรัก ความคิดของคนรอบข้างไม่ได้สลักสำคัญอีกต่อไป เพียงแต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้ศัตรูรู้ในเวลานี้ ดังนั้นจึงบอกเป็นนัยว่า “เมื่อก่อนเพราะหม่อมฉันไม่รู้ความ บัดนี้ได้เห็น ความเปลี่ยนแปลงที่มาจากทะเบียนสมรสแล้ว ถึงได้รู้ว่าโลกนี้อันตราย ทุกสิ่งทุกอย่างยังต้องทำตามกฎ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาเพราะความประมาทเพียงเล็กน้อยได้”“ข้าสงสัยว่านางกำลังด่าคน” เมื่อป่ายชีได้ยินเช่นนั้นมุมปากก็กระตุกพลางมองไปทางจ้านอวิ๋นเซียว จ้านอวิ๋นเซียวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางเสิ่นอวี้ และมักจะรู้สึกว่าช่วงหลายวันนี้นางเปลี่ยนไปมาก เพียงแต่เมื่อดูจากพฤติกรรมของนางในวันนี้ คำพูดนี้เมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนกำลังด่าคนจริงๆ เมื่อมองไปทางฮ่องเต้ องค์ชายสาม เจ้ากรมซุน ใต้เท้าซ่งและคนอื่นๆ ก็เห็นเลยว่าสีหน้าพวกเขาแต่ละคนดูแย่มาก ราวกับกินแมลงวันเข้าไป ใครคิดบัญชีกับใคร ใครขโมยไก่ไม่ได้กลับเสียข้าวสารอีก วันนี้จะเห็นได้ชัดเจน แต่คำด่านี้ของเสิ่นอวี้ไม่ได้เป็นการพูดโดย
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก” วันนี้เสิ่นจิ้นระงับความโกรธเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็หันไปตะคอกใส่หลิ่วอี๋เหนียงโดยตรง ในแววตาหลิ่วอี๋เหนียงแวบหนึ่งฉายแววความโกรธอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่นานก็ดึงตัวซ่งหว่านฉิงออกไปอย่างเร่งรีบ เสิ่นจิ้นมองตามทั้งสองคนจากไป แล้วหันกลับมามองเสิ่นอวี้ “เจ้าจงใจให้พวกนางออกไปหรือ?” เสิ่นอวี้ที่กำลังจะพูดขึ้น องค์หญิงใหญ่ก็พาอวี้จู๋เดินมาแต่ไกล เห็นได้ชัดว่านางรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางนี้แล้ว จึงมองนางด้วยแววตาซับซ้อน เสิ่นอวี้กลับสงบนิ่ง โน้มตัวลงพลางเอ่ย “อวี้เอ๋อร์ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่” “หึ” องค์หญิงใหญ่กวาดสายตามองนาง ส่งเสียงหึคำหนึ่ง “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปแล้ว” เดิมทีนี่คือการเสียดสี ผลสุดท้ายเสิ่นอวี้กลับตอบกลับด้วยประโยคหนึ่ง “องค์หญิงใหญ่ชื่นชมแล้ว” องค์หญิงใหญ่ “............” เสิ่นจิ้นก็หมดคำจะพูด ก่อนหน้านี้บุตรีคนนี้ของเขาก็สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว คำพูดคำจาการกระทำราวกับไม่เคยผ่านการคิดไตร่ตรองมาเลย ตั้งแต่เอาชีวิตรอดกลับมาได้จากครั้งที่กลิ้งตกจากเขาเยี่ยนหนาน สมองนางไม่เพียงแต่กลับมาแล้ว ซ้ำยังไม่รู้จักรักตัวกลัวตายด้ว
ชายหนุ่มมองแล้วค่อนข้างฟุ้งซ่าน เสน่หาในดวงตาราวกับเป็นน้ำในฤดูใบไม้ผลิไหลผ่านชั้นน้ำแข็ง ทอแสงระยิบระยับขึ้นมาเวลาราวกับหยุดนิ่งไป เขาค่อยๆ ก้มมองลงไปที่ขาของเขา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า "ไม่เป็นไรมากแล้ว” สายตามองสำรวจดวงหน้าของนาง เขาไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่งว่านางกําลังถามอะไร จะถามว่าเขาพิการต่อไปจะเดินไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? หรือเขาเจ็บหรือไม่? หรือความรู้สึกอื่น? ในไม่ช้าเขาก็อยากจะสลัดความคิดที่ไม่สมจริงนี้ออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่ในเวลานี้ เสิ่นอวี้เดินมาทางเขา นั่งยอง ๆลงตรงหน้าเขา พลางเอื้อมมือมาจับมือเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาเหมือนกวางป่า แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าท่านต้องเจ็บปวดมาก เพียงแต่.......ข้าจะต้องคิดหาวิธี รักษาท่านให้หาย” บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ใจดีและอ่อนโยนมาก บางทีอาจเป็นเพราะทัศนคติที่ดีของนางที่เอาใจเขา ทำให้เขาทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว เขาถามนางอย่างอดไม่ได้ว่า "หากตั้งแต่นี้ไปข้าทำได้เพียงอาศัยรถเข็นในการเดิน และไม่สามารถยืนได้อีก คำพูด........ของเจ้ายังเป็นเช่นเดิมหรือไม่?” หลังจากพูดจบ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ ร่างกายส