ในห้องมีคนมากมายหลายสิบคน แต่เสิ่นอวี้กลับรู้สึกรอบด้านเงียบสนิท มีเพียงเขาที่มองนางอยู่เงียบ ๆ มีเพียงเสียงของเขาที่ดังกังวานอยู่ในสมองของนางไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในดวงตาของนางมีน้ำตาไหลออกมา ถึงกับกล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “เพียงแค่ลืมไปเท่านั้น หนังสือสมรสนี้อยู่กับข้ามาตั้งแต่เกิด เหมือนเป็นยันต์คุ้มกันของข้า ข้าคุ้นเคยกับการมีมันอยู่ด้วยแล้ว ท่านอ๋องคืนมันให้ข้าเถอะ”จะไม่อยากเอาได้อย่างไร?ชาติก่อนนางตาบอด มองไม่เห็นความรู้สึกในดวงตาของเขา สัมผัสไม่ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา ทำร้ายเขามากมายขนาดนั้นสุดท้ายทุกคนทรยศนาง มีเพียงเขาคนเดียวที่ลากสังขารเต็มไปด้วยบาดแผลมาหานางความรักเช่นนี้ต่อให้นางเกิดใหม่อีกสามชาติก็คืนไม่หมดครั้งนี้นางไม่อยากจะทำร้ายจิตใจของเขาอีกแล้วเสิ่นอวี้หันหน้าเดินไปทางเขาบุรุษนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แขนที่ถือหนังสือสมรสลืมเก็บกลับไป เขามองสตรีที่กำลังเดินมาทางเขาด้วยความตะลึง ไม่กล้าเชื่อว่าที่เขาได้ยินเป็นเรื่องจริงในสมองของเขาย้อนฟังคำพูดของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดถึงได้ยืนยันทีละคำ ๆมิผิด นางบอกว่าหนังสือสมรสเล่มนั้นอยู่กับนางมาตั้งแต่เด็
เสิ่นอวี้รู้ว่าตอนจบตรงหน้านี้เป็นสิ่งที่สองพ่อลูกไม่อยากเห็น แต่สิ่งที่นางอยากทำในชาตินี้คือเพียงต้องการปกป้องคนที่ตนรัก ความคิดของคนรอบข้างไม่ได้สลักสำคัญอีกต่อไป เพียงแต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้ศัตรูรู้ในเวลานี้ ดังนั้นจึงบอกเป็นนัยว่า “เมื่อก่อนเพราะหม่อมฉันไม่รู้ความ บัดนี้ได้เห็น ความเปลี่ยนแปลงที่มาจากทะเบียนสมรสแล้ว ถึงได้รู้ว่าโลกนี้อันตราย ทุกสิ่งทุกอย่างยังต้องทำตามกฎ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาเพราะความประมาทเพียงเล็กน้อยได้”“ข้าสงสัยว่านางกำลังด่าคน” เมื่อป่ายชีได้ยินเช่นนั้นมุมปากก็กระตุกพลางมองไปทางจ้านอวิ๋นเซียว จ้านอวิ๋นเซียวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางเสิ่นอวี้ และมักจะรู้สึกว่าช่วงหลายวันนี้นางเปลี่ยนไปมาก เพียงแต่เมื่อดูจากพฤติกรรมของนางในวันนี้ คำพูดนี้เมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนกำลังด่าคนจริงๆ เมื่อมองไปทางฮ่องเต้ องค์ชายสาม เจ้ากรมซุน ใต้เท้าซ่งและคนอื่นๆ ก็เห็นเลยว่าสีหน้าพวกเขาแต่ละคนดูแย่มาก ราวกับกินแมลงวันเข้าไป ใครคิดบัญชีกับใคร ใครขโมยไก่ไม่ได้กลับเสียข้าวสารอีก วันนี้จะเห็นได้ชัดเจน แต่คำด่านี้ของเสิ่นอวี้ไม่ได้เป็นการพูดโดย
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก” วันนี้เสิ่นจิ้นระงับความโกรธเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็หันไปตะคอกใส่หลิ่วอี๋เหนียงโดยตรง ในแววตาหลิ่วอี๋เหนียงแวบหนึ่งฉายแววความโกรธอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่นานก็ดึงตัวซ่งหว่านฉิงออกไปอย่างเร่งรีบ เสิ่นจิ้นมองตามทั้งสองคนจากไป แล้วหันกลับมามองเสิ่นอวี้ “เจ้าจงใจให้พวกนางออกไปหรือ?” เสิ่นอวี้ที่กำลังจะพูดขึ้น องค์หญิงใหญ่ก็พาอวี้จู๋เดินมาแต่ไกล เห็นได้ชัดว่านางรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางนี้แล้ว จึงมองนางด้วยแววตาซับซ้อน เสิ่นอวี้กลับสงบนิ่ง โน้มตัวลงพลางเอ่ย “อวี้เอ๋อร์ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่” “หึ” องค์หญิงใหญ่กวาดสายตามองนาง ส่งเสียงหึคำหนึ่ง “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปแล้ว” เดิมทีนี่คือการเสียดสี ผลสุดท้ายเสิ่นอวี้กลับตอบกลับด้วยประโยคหนึ่ง “องค์หญิงใหญ่ชื่นชมแล้ว” องค์หญิงใหญ่ “............” เสิ่นจิ้นก็หมดคำจะพูด ก่อนหน้านี้บุตรีคนนี้ของเขาก็สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว คำพูดคำจาการกระทำราวกับไม่เคยผ่านการคิดไตร่ตรองมาเลย ตั้งแต่เอาชีวิตรอดกลับมาได้จากครั้งที่กลิ้งตกจากเขาเยี่ยนหนาน สมองนางไม่เพียงแต่กลับมาแล้ว ซ้ำยังไม่รู้จักรักตัวกลัวตายด้ว
ชายหนุ่มมองแล้วค่อนข้างฟุ้งซ่าน เสน่หาในดวงตาราวกับเป็นน้ำในฤดูใบไม้ผลิไหลผ่านชั้นน้ำแข็ง ทอแสงระยิบระยับขึ้นมาเวลาราวกับหยุดนิ่งไป เขาค่อยๆ ก้มมองลงไปที่ขาของเขา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า "ไม่เป็นไรมากแล้ว” สายตามองสำรวจดวงหน้าของนาง เขาไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่งว่านางกําลังถามอะไร จะถามว่าเขาพิการต่อไปจะเดินไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? หรือเขาเจ็บหรือไม่? หรือความรู้สึกอื่น? ในไม่ช้าเขาก็อยากจะสลัดความคิดที่ไม่สมจริงนี้ออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่ในเวลานี้ เสิ่นอวี้เดินมาทางเขา นั่งยอง ๆลงตรงหน้าเขา พลางเอื้อมมือมาจับมือเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาเหมือนกวางป่า แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าท่านต้องเจ็บปวดมาก เพียงแต่.......ข้าจะต้องคิดหาวิธี รักษาท่านให้หาย” บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ใจดีและอ่อนโยนมาก บางทีอาจเป็นเพราะทัศนคติที่ดีของนางที่เอาใจเขา ทำให้เขาทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว เขาถามนางอย่างอดไม่ได้ว่า "หากตั้งแต่นี้ไปข้าทำได้เพียงอาศัยรถเข็นในการเดิน และไม่สามารถยืนได้อีก คำพูด........ของเจ้ายังเป็นเช่นเดิมหรือไม่?” หลังจากพูดจบ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ ร่างกายส
“เช่นนั้นข้าขอกลับก่อน” เมื่อเสิ่นอวี้เห็นว่าพวกเขามีเรื่องต้องพูดคุยกัน จึงไม่อยากจะรบกวนอีก ไป่ชีมองตามแผ่นหลังของนาง พลางเดินหน้าเข้าไปหาจ้านอวิ๋นเซียว แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าคุณหนูเสิ่นสามราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย? นางเป็นฝ่ายเข้าหาท่านหรือ?” จ้านอวิ๋นเซียวไม่ได้พูดอะไร นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ หากวันนี้นางไม่ฉีกทะเบียนสมรส จะต้องวิ่งโร่มาร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายใส่เข้าแน่ แล้วใช้คำพูดรุนแรงว่าถึงตายนางก็จะไม่แต่งงานกับเขา แต่นางเมื่อครู่นี้........... จ้านอวิ๋นเซียวคิดถึงคำพูดที่นางเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ ใบหน้าก็เผยความเขินอายบางๆออกมา จนหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะเต้นผิดจังหวะ เมื่อได้สติกลับมาก็ถามไป่ชีว่า “มือสังหารคือผู้ใด?” ไป่ชีส่ายหน้า “ที่ข้าน้อยมาก็เพราะต้องการจะพูดเรื่องนี้ ของสิ่งนี้คือสิ่งที่ข้าน้อยดึงมันออกมาจากตัวมือสังหาร เพียงแต่ข้าน้อยไม่เคยเห็นสัญลักษณ์เช่นนี้มาก่อน” เขาพูดพลาง หยิบป้ายไม้ชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้จ้านอวิ๋นเซียว หลังจากที่จ้านอวิ๋นเซียวดูเสร็จแล้วก็ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบา
เรื่องนี้จ้านอวิ๋นเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ไป่ชีก็ถามมากไม่ได้ ทำได้เพียงออกจากจวนอ๋องไปอย่างกังวลใจ และติดตามเสิ่นอวี้ไป เมื่อเสิ่นอวี้กลับมาถึงจวนโหว ซงลู่ที่กำลังรออยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นนางก็รีบเข้าไปต้อนรับอย่างลุกลี้ลุกลน พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนู เกิดเรื่องแล้ว!” เสิ่นอวี้เตรียมใจไว้บางแล้ว ทำให้ไม่ได้ประหลาดใจจนเกินไป และถามว่า “มีคนบุกเข้าเรือนชิวเย่ว์หรือ?” ซงลู่เดินเข้าประตูไปพร้อมนาง พลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “เพราะฝนเพิ่งจะตกไป ในเรือนของเราทั้งเย็นและชื้น สาวใช้ในเรือนก็คิดที่จะเอาของในห้องออกไปตากให้แห้ง ใครจะคิดว่ามีคนใช้โอกาสนี้ลอบเข้าไป.........” “ตอนนั้น ถานเซียงกอดผ้าห่มเข้ามาในห้องและปะทะเข้าพอดี ถ้าไม่ใช่เพราะองค์รักษ์ไป่ชีเข้ามาพบเข้า เกรงว่าถานเซียง.......” ในแววตาซงลู่เต็มไปด้วยความกลัว “เย่ว์กุ้ยได้ไปหาท่านหมอแล้ว บาดแผลของถานเซียงบ่าวช่วยพันแผลให้แล้ว แต่พันได้ไม่ดี....” “ข้าจะไปดูเอง” เสิ่นอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึม ในใจครุ่นคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือเปล่าที่สาวใช้ข้างกายทั้งสี่คนจะต้องปกป้องตัวเองให้ได้มากกว่านี้? สาวใช้ทั
เสิ่นอวี้หวนคิดถึงท่าทีของทุกคนในงานเลี้ยงวันเกิดตอนนั้นที่ไป๋ชีบอกว่าเจอมือสังหาร ไม่รู้เหตุใดทำไมถึงคิดถึงท่านอ๋องอัน ต้องบอกว่าท่านอ๋องอัน ถือเป็นการดำรงอยู่แบบพิเศษของเมืองหลวง เขาคือโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อนและซูไท่เฟย ซึ่งป่วยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มือขวาเป็นอัมพาตไม่สามารถหยิบจัดสิ่งของใดๆได้เลยตั้งแต่เด็ก ร่างกายมีความพิการ ย่อมสูญเสียคุณสมบัติในการสืบทอดบัลลังก์อยู่แล้ว ในทางตรงกันข้ามในศึกแย่งชิงบัลลังก์ครั้งต่อมา เขาก็สามารถอยู่รอดมาได้อย่างปลอดภัย.......... ต่อมา คนคนนี้หมกหมุ่นอยู่กับความสำราญ แต่ละวันหากไม่พานกไปเดินเล่นก็จะไปชนไก่ หรือไม่ก็จะไปดื่มสุราบุปผาที่หอนางโลม แม้เป็นเช่นนี้กลับทำให้ฮ่องเต้วางใจเขามาก และให้เขามีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ และก็เพราะเป็นแบบนี้ ในหมู่เหล่าขุนนางในเมืองหลวง จึงถือว่าเขาเป็นคนกึ่งมนุษย์ล่องหน และชาติที่แล้วนางก็ไม่เคยพบหน้าโดยตรงกับคนผู้นี้เลย ยิ่งไม่เคยได้ยินองค์ชายสามพูดถึง และไม่รู้ว่าหลังจากองค์ชายสามขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะจัดการกับเขาอย่างไร แต่วันนี้ในงานเลี้ยงวันเกิด ตอนที่ไป๋ชีบอกว่าเจอมือสังหารในเรือนชิวเย่ว์ คนอื่นๆ
เมื่อก่อนเสิ่นอวี้จะเอะอะโวยวาย ทุกครั้งจะตะโกนใส่เขาและจ้านอวิ๋นเซียว แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่กำลังโกรธเท่านั้น นอกจากคำพูดที่ไม่น่าฟังทำให้คนเสียใจแล้ว ก็ไม่ได้มีแรงอาฆาตพยาบาทอะไร แต่นางในวันนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ ไป๋ชีถึงขั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายที่ออกมาจากร่างกายของนาง ราวกับปีนป่ายขึ้นมาจากหุบเขาแห่งซากศพและทะเลโลหิต เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ? เขาเข้าใจได้ที่บนกายของท่านอ๋องของเขามีกลิ่นอายชั่วร้าย เพราะยังไงแล้วท่านอ๋องก็อยู่ในสนามรบมาตั้งแต่เด็ก เขาเกิดมาท่ามกลางชุดเกราะและม้าเหล็ก แต่แม่นางน้อยอย่างเสิ่นอวี้ สิ่งเลวร้ายที่สุดที่นางเคยทำคือการทิ้งท่านอ๋องของเขาแล้วไปติดใจองค์ชายสาม ทำไมบนร่างกายของนางถึงมีไอสังหารได้? ไป๋ชีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อถานเซียงที่เดิมทีเจ็บปวดจนดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาได้สติกลับมาก็กรีดร้อง “รีบออกไปนะ” “อ่า ขออภัยด้วย” ไป๋ชีถึงค่อยได้สติกลับมา แล้วรีบถอยออกไป เดิมทียังไม่ได้สังเกต ผลคือเมื่อออกไปแล้วเสียงกรีดร้องด้วยความเขินอายของถานเซียงก็วนเวียนอยู่ในหัวเขา ฉากที่มีสีสันและมีชีวิตชีวาปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าจ