ชายหนุ่มมองแล้วค่อนข้างฟุ้งซ่าน เสน่หาในดวงตาราวกับเป็นน้ำในฤดูใบไม้ผลิไหลผ่านชั้นน้ำแข็ง ทอแสงระยิบระยับขึ้นมาเวลาราวกับหยุดนิ่งไป เขาค่อยๆ ก้มมองลงไปที่ขาของเขา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า "ไม่เป็นไรมากแล้ว” สายตามองสำรวจดวงหน้าของนาง เขาไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่งว่านางกําลังถามอะไร จะถามว่าเขาพิการต่อไปจะเดินไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? หรือเขาเจ็บหรือไม่? หรือความรู้สึกอื่น? ในไม่ช้าเขาก็อยากจะสลัดความคิดที่ไม่สมจริงนี้ออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่ในเวลานี้ เสิ่นอวี้เดินมาทางเขา นั่งยอง ๆลงตรงหน้าเขา พลางเอื้อมมือมาจับมือเขา เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาเหมือนกวางป่า แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าท่านต้องเจ็บปวดมาก เพียงแต่.......ข้าจะต้องคิดหาวิธี รักษาท่านให้หาย” บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ใจดีและอ่อนโยนมาก บางทีอาจเป็นเพราะทัศนคติที่ดีของนางที่เอาใจเขา ทำให้เขาทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัว เขาถามนางอย่างอดไม่ได้ว่า "หากตั้งแต่นี้ไปข้าทำได้เพียงอาศัยรถเข็นในการเดิน และไม่สามารถยืนได้อีก คำพูด........ของเจ้ายังเป็นเช่นเดิมหรือไม่?” หลังจากพูดจบ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ ร่างกายส
“เช่นนั้นข้าขอกลับก่อน” เมื่อเสิ่นอวี้เห็นว่าพวกเขามีเรื่องต้องพูดคุยกัน จึงไม่อยากจะรบกวนอีก ไป่ชีมองตามแผ่นหลังของนาง พลางเดินหน้าเข้าไปหาจ้านอวิ๋นเซียว แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าคุณหนูเสิ่นสามราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย? นางเป็นฝ่ายเข้าหาท่านหรือ?” จ้านอวิ๋นเซียวไม่ได้พูดอะไร นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ หากวันนี้นางไม่ฉีกทะเบียนสมรส จะต้องวิ่งโร่มาร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายใส่เข้าแน่ แล้วใช้คำพูดรุนแรงว่าถึงตายนางก็จะไม่แต่งงานกับเขา แต่นางเมื่อครู่นี้........... จ้านอวิ๋นเซียวคิดถึงคำพูดที่นางเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ ใบหน้าก็เผยความเขินอายบางๆออกมา จนหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะเต้นผิดจังหวะ เมื่อได้สติกลับมาก็ถามไป่ชีว่า “มือสังหารคือผู้ใด?” ไป่ชีส่ายหน้า “ที่ข้าน้อยมาก็เพราะต้องการจะพูดเรื่องนี้ ของสิ่งนี้คือสิ่งที่ข้าน้อยดึงมันออกมาจากตัวมือสังหาร เพียงแต่ข้าน้อยไม่เคยเห็นสัญลักษณ์เช่นนี้มาก่อน” เขาพูดพลาง หยิบป้ายไม้ชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้จ้านอวิ๋นเซียว หลังจากที่จ้านอวิ๋นเซียวดูเสร็จแล้วก็ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบา
เรื่องนี้จ้านอวิ๋นเซียวก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ไป่ชีก็ถามมากไม่ได้ ทำได้เพียงออกจากจวนอ๋องไปอย่างกังวลใจ และติดตามเสิ่นอวี้ไป เมื่อเสิ่นอวี้กลับมาถึงจวนโหว ซงลู่ที่กำลังรออยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นนางก็รีบเข้าไปต้อนรับอย่างลุกลี้ลุกลน พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนู เกิดเรื่องแล้ว!” เสิ่นอวี้เตรียมใจไว้บางแล้ว ทำให้ไม่ได้ประหลาดใจจนเกินไป และถามว่า “มีคนบุกเข้าเรือนชิวเย่ว์หรือ?” ซงลู่เดินเข้าประตูไปพร้อมนาง พลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “เพราะฝนเพิ่งจะตกไป ในเรือนของเราทั้งเย็นและชื้น สาวใช้ในเรือนก็คิดที่จะเอาของในห้องออกไปตากให้แห้ง ใครจะคิดว่ามีคนใช้โอกาสนี้ลอบเข้าไป.........” “ตอนนั้น ถานเซียงกอดผ้าห่มเข้ามาในห้องและปะทะเข้าพอดี ถ้าไม่ใช่เพราะองค์รักษ์ไป่ชีเข้ามาพบเข้า เกรงว่าถานเซียง.......” ในแววตาซงลู่เต็มไปด้วยความกลัว “เย่ว์กุ้ยได้ไปหาท่านหมอแล้ว บาดแผลของถานเซียงบ่าวช่วยพันแผลให้แล้ว แต่พันได้ไม่ดี....” “ข้าจะไปดูเอง” เสิ่นอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึม ในใจครุ่นคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือเปล่าที่สาวใช้ข้างกายทั้งสี่คนจะต้องปกป้องตัวเองให้ได้มากกว่านี้? สาวใช้ทั
เสิ่นอวี้หวนคิดถึงท่าทีของทุกคนในงานเลี้ยงวันเกิดตอนนั้นที่ไป๋ชีบอกว่าเจอมือสังหาร ไม่รู้เหตุใดทำไมถึงคิดถึงท่านอ๋องอัน ต้องบอกว่าท่านอ๋องอัน ถือเป็นการดำรงอยู่แบบพิเศษของเมืองหลวง เขาคือโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อนและซูไท่เฟย ซึ่งป่วยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มือขวาเป็นอัมพาตไม่สามารถหยิบจัดสิ่งของใดๆได้เลยตั้งแต่เด็ก ร่างกายมีความพิการ ย่อมสูญเสียคุณสมบัติในการสืบทอดบัลลังก์อยู่แล้ว ในทางตรงกันข้ามในศึกแย่งชิงบัลลังก์ครั้งต่อมา เขาก็สามารถอยู่รอดมาได้อย่างปลอดภัย.......... ต่อมา คนคนนี้หมกหมุ่นอยู่กับความสำราญ แต่ละวันหากไม่พานกไปเดินเล่นก็จะไปชนไก่ หรือไม่ก็จะไปดื่มสุราบุปผาที่หอนางโลม แม้เป็นเช่นนี้กลับทำให้ฮ่องเต้วางใจเขามาก และให้เขามีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ และก็เพราะเป็นแบบนี้ ในหมู่เหล่าขุนนางในเมืองหลวง จึงถือว่าเขาเป็นคนกึ่งมนุษย์ล่องหน และชาติที่แล้วนางก็ไม่เคยพบหน้าโดยตรงกับคนผู้นี้เลย ยิ่งไม่เคยได้ยินองค์ชายสามพูดถึง และไม่รู้ว่าหลังจากองค์ชายสามขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะจัดการกับเขาอย่างไร แต่วันนี้ในงานเลี้ยงวันเกิด ตอนที่ไป๋ชีบอกว่าเจอมือสังหารในเรือนชิวเย่ว์ คนอื่นๆ
เมื่อก่อนเสิ่นอวี้จะเอะอะโวยวาย ทุกครั้งจะตะโกนใส่เขาและจ้านอวิ๋นเซียว แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่กำลังโกรธเท่านั้น นอกจากคำพูดที่ไม่น่าฟังทำให้คนเสียใจแล้ว ก็ไม่ได้มีแรงอาฆาตพยาบาทอะไร แต่นางในวันนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้ ไป๋ชีถึงขั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายที่ออกมาจากร่างกายของนาง ราวกับปีนป่ายขึ้นมาจากหุบเขาแห่งซากศพและทะเลโลหิต เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ? เขาเข้าใจได้ที่บนกายของท่านอ๋องของเขามีกลิ่นอายชั่วร้าย เพราะยังไงแล้วท่านอ๋องก็อยู่ในสนามรบมาตั้งแต่เด็ก เขาเกิดมาท่ามกลางชุดเกราะและม้าเหล็ก แต่แม่นางน้อยอย่างเสิ่นอวี้ สิ่งเลวร้ายที่สุดที่นางเคยทำคือการทิ้งท่านอ๋องของเขาแล้วไปติดใจองค์ชายสาม ทำไมบนร่างกายของนางถึงมีไอสังหารได้? ไป๋ชีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อถานเซียงที่เดิมทีเจ็บปวดจนดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาได้สติกลับมาก็กรีดร้อง “รีบออกไปนะ” “อ่า ขออภัยด้วย” ไป๋ชีถึงค่อยได้สติกลับมา แล้วรีบถอยออกไป เดิมทียังไม่ได้สังเกต ผลคือเมื่อออกไปแล้วเสียงกรีดร้องด้วยความเขินอายของถานเซียงก็วนเวียนอยู่ในหัวเขา ฉากที่มีสีสันและมีชีวิตชีวาปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าจ
ไป๋ชีเตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว เขามองนางและรอให้นางด่าเหมือนพวกหนังเหนียว เสิ่นอวี้หันหน้ามองไปทางเขา เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น พลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นต่อไปก็รบกวนเจ้าแล้ว” ไป๋ชีตกตะลึง เสิ่นอวี้พูดดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เสิ่นอวี้มองเขา อันที่จริงในใจก็รู้สึกขอโทษมาก ในชาติที่แล้วไป๋ชีปกป้องนางอย่างจริงใจ นางเชื่อคำพูดขององค์ชายสามและนางหลิ่ว กลับมองเขาเหมือนหนามยอกอก ในตอนท้ายยังร่วมมือกับองค์ชายสามวางแผนทำร้ายเขา บัดนี้ นางยังจำแววตาเหลือเชื่อที่ไป๋ชีมองนางในตอนนั้นได้อยู่เลย เมื่อเสิ่นอวี้คิดมาถึงตรงนี้ ร่างกายก็อดไม่ได้ที่จะโซเซ “ท่านเป็นอะไรไป? ต้องการพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่?” ไป๋ชีตกใจ เขารู้สึกว่าตนเองน่าจะติดเชื้อจากความคิดของท่านอ๋องของตนที่มีต่อคุณหนูเสิ่นสามแล้ว ไม่เช่นนั้นต้องสงสัยว่านางกำลังจงใจเล่นละครแน่ จะมาเป็นห่วงนางได้อย่างไร? เมื่อได้สติกลับมา เขาก็ยื่นมือไปช่วยพยุงนางแล้ว ในใจเสิ่นอวี้รู้สึกเหมือนมีมีดทิ่มแทงหัวใจ แต่สิ่งนี้ล้วนไม่สามารถพูดกับไป๋ชีได้ ทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องที่ต้องทำพอดี เจ้าช่ว
“คนกลับมาแล้วหรือ?” เสิ่นอวี้หันไปถามประโยคหนึ่ง ลู่หลัวส่ายหน้า “คนยังไม่กลับมา เพียงแต่เรื่องของฆาตกร ทางคุณชายใหญ่ตรวจสอบแล้ว เป็นเหลียนเฉียวสาวใช้ของคุณหนูซ่งที่ปล่อยคนให้เข้ามา ตอนนี้คนก็อยู่กับคุณชายใหญ่” เมื่อเสิ่นอวี้ได้ยินสีหน้าก็ดูไม่ดีนัก นางไม่คิดเลยว่า ฆาตกรยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับซ่งหว่านฉิง เพียงแต่เรื่องนี้มีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล ในเมื่อซ่งหว่านฉิงได้ทะเบียนสมรสจากกล่องเครื่องประดับของนางแล้ว และต้องเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของจริง ก็ไม่ควรสั่งให้เหลียนเฉียวมาหาทะเบียนสมรสอีก ดังนั้นเรื่องที่เหลียนเฉียวทำ ซ่งหว่านฉิงต้องไม่รู้แน่ อีกทั้งเหลียนเฉียวเองก็ไม่รู้ด้วยว่าซ่งหว่านฉิงได้ทะเบียนสมรสไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเหลียนเฉียวทำงานนี้ให้ใคร? เสิ่นอวี้ออกมาจากประตู ยืนอยู่ใต้ชายคาพลางกวาดสายตามองไปที่จวนโหว แล้วรู้สึกค่อนข้างใจหาย ชาติที่แล้วหัวใจของนางคิดถึงแต่องค์ชายสาม ไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวในจวนโหวเลย ตอนนี้ถึงได้พบว่า จวนโหวเกรงว่าจะกลายเป็นตะแกรงที่ใครก็สามารถดึงคนมาอยู่ในนี้ได้แบบนี้นานแล้ว แสงยามโพล้เพล้ด้านนอกริบหรี่ลงแล้ว กดให้หัวใจของเสิ่นอวี้หนักอึ้ง
“เจ้าปล่อยให้มือสังหารเข้ามาหรือ?” ฟ้ามืดแล้ว สายลมยามค่ำคืนพัดมากระทบใบหน้าพาให้สดชื่นมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้ เหลียนเฉียวกลับรู้สึกหนาวสะท้าน นางไม่ได้เห็นหน้าเสิ่นอวี้ ก็รู้สึกได้ว่านางเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนนางมักจะเป็นเหมือนคนโง่ที่วิ่งมาหาหลิ่วอี๋เหนียงและซ่งหว่านฉิงที่เรือนเสาหวา จากนั้นก็จะมาพูดจ้อกแจ้กจอแจบอกทุกอย่างกับหลิ่วอี๋เหนียงและซ่งหว่านฉิง ซ้ำยังดีต่อนางมากกว่าซงลู่ที่เป็นสาวใช้พวกนั้น พูดจาสุภาพอ่อนโยน แต่พูดอยู่นานก็ไม่สามารถพูดให้ตรงประเด็นได้ ซึ่งนี่ทำให้นางรำคาญมาก ครั้งนี้นางไม่น่ารำคาญแล้ว นางพูดอย่างกระชับและรัดกุม ง่ายต่อการเข้าใจ เพียงแต่ นิสัยของนางเปลี่ยนไปแล้ว น้ำเสียงพูดคำสั้นๆไม่กี่คำ เมื่อได้ฟังกลับทำให้คนมีความรู้สึกกดดันอย่างน่าหดหู่ มีความสง่างามน่าเกรงขามแบบที่นายท่านมี ถึงขนาดที่ว่าน่ากลัวกว่านายท่านด้วย จู่ๆ หัวใจของเหลียนเฉียวก็ทรุดลง นางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองนาง ริมฝีปากขยับครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ในยามค่ำคืน สาวน้อยที่เพิ่งปักปิ่นยืนอยู่ตรงหน้านาง เห็นได้ชัดว่ายังมีไขมันหน้าเด็กบนใบหน้า แต่กลับซ่อนไว้ด้วยควา