“คนกลับมาแล้วหรือ?” เสิ่นอวี้หันไปถามประโยคหนึ่ง ลู่หลัวส่ายหน้า “คนยังไม่กลับมา เพียงแต่เรื่องของฆาตกร ทางคุณชายใหญ่ตรวจสอบแล้ว เป็นเหลียนเฉียวสาวใช้ของคุณหนูซ่งที่ปล่อยคนให้เข้ามา ตอนนี้คนก็อยู่กับคุณชายใหญ่” เมื่อเสิ่นอวี้ได้ยินสีหน้าก็ดูไม่ดีนัก นางไม่คิดเลยว่า ฆาตกรยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับซ่งหว่านฉิง เพียงแต่เรื่องนี้มีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล ในเมื่อซ่งหว่านฉิงได้ทะเบียนสมรสจากกล่องเครื่องประดับของนางแล้ว และต้องเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของจริง ก็ไม่ควรสั่งให้เหลียนเฉียวมาหาทะเบียนสมรสอีก ดังนั้นเรื่องที่เหลียนเฉียวทำ ซ่งหว่านฉิงต้องไม่รู้แน่ อีกทั้งเหลียนเฉียวเองก็ไม่รู้ด้วยว่าซ่งหว่านฉิงได้ทะเบียนสมรสไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเหลียนเฉียวทำงานนี้ให้ใคร? เสิ่นอวี้ออกมาจากประตู ยืนอยู่ใต้ชายคาพลางกวาดสายตามองไปที่จวนโหว แล้วรู้สึกค่อนข้างใจหาย ชาติที่แล้วหัวใจของนางคิดถึงแต่องค์ชายสาม ไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวในจวนโหวเลย ตอนนี้ถึงได้พบว่า จวนโหวเกรงว่าจะกลายเป็นตะแกรงที่ใครก็สามารถดึงคนมาอยู่ในนี้ได้แบบนี้นานแล้ว แสงยามโพล้เพล้ด้านนอกริบหรี่ลงแล้ว กดให้หัวใจของเสิ่นอวี้หนักอึ้ง
“เจ้าปล่อยให้มือสังหารเข้ามาหรือ?” ฟ้ามืดแล้ว สายลมยามค่ำคืนพัดมากระทบใบหน้าพาให้สดชื่นมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้ เหลียนเฉียวกลับรู้สึกหนาวสะท้าน นางไม่ได้เห็นหน้าเสิ่นอวี้ ก็รู้สึกได้ว่านางเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนนางมักจะเป็นเหมือนคนโง่ที่วิ่งมาหาหลิ่วอี๋เหนียงและซ่งหว่านฉิงที่เรือนเสาหวา จากนั้นก็จะมาพูดจ้อกแจ้กจอแจบอกทุกอย่างกับหลิ่วอี๋เหนียงและซ่งหว่านฉิง ซ้ำยังดีต่อนางมากกว่าซงลู่ที่เป็นสาวใช้พวกนั้น พูดจาสุภาพอ่อนโยน แต่พูดอยู่นานก็ไม่สามารถพูดให้ตรงประเด็นได้ ซึ่งนี่ทำให้นางรำคาญมาก ครั้งนี้นางไม่น่ารำคาญแล้ว นางพูดอย่างกระชับและรัดกุม ง่ายต่อการเข้าใจ เพียงแต่ นิสัยของนางเปลี่ยนไปแล้ว น้ำเสียงพูดคำสั้นๆไม่กี่คำ เมื่อได้ฟังกลับทำให้คนมีความรู้สึกกดดันอย่างน่าหดหู่ มีความสง่างามน่าเกรงขามแบบที่นายท่านมี ถึงขนาดที่ว่าน่ากลัวกว่านายท่านด้วย จู่ๆ หัวใจของเหลียนเฉียวก็ทรุดลง นางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองนาง ริมฝีปากขยับครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ในยามค่ำคืน สาวน้อยที่เพิ่งปักปิ่นยืนอยู่ตรงหน้านาง เห็นได้ชัดว่ายังมีไขมันหน้าเด็กบนใบหน้า แต่กลับซ่อนไว้ด้วยควา
เสิ่นอวี้โบกมือเพื่อให้ตังกุยหยุด เหลียนเฉียวก้มหน้าอยู่กับพื้น ไม่กล้าปิดบังอะไรอีก เพราะนางพบว่าหากคืนนี้นางไม่พูด นางคงต้องถูกตีจนตายแน่ ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นฉือหรือว่าเสิ่นอวี้ สีหน้าล้วนดูเงียบขรึม ไม่มีสีหน้าความเมตตาเลยสักนิด นางก้มศีรษะลงอย่างสั่นเทา แล้วเอ่ยว่า “มือสังหารเป็นคนที่บ่าวปล่อยเข้ามาเองเจ้าค่ะ แต่บ่าวรู้เพียงแค่ว่าเขาแซ่เจียง คุณชายเจียง นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย” “คุณชายเจียงหรือ?” เสิ่นอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ารู้จักเขาได้อย่างไร? เหตุใดต้องช่วยเขา?” “มีข้อสงสัยหรือ?” เสิ่นฉือเห็นสีหน้าของนาง จึงหันหน้าไปกระซิบข้างหู เสิ่นอวี้เอ่ยด้วยเสียงต่ำ “มือสังหารเป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่ยังมีลักษณะนิสัยของผู้หญิงค่อนข้างชัดเจน” เสิ่นฉือกระจ่าง และเพียงฟังเสียงร้องห่มร้องไห้ของเหลียนเฉียว “สามวันก่อน แม่ของบ่าวไม่สบาย ไม่มีเงินซื้อยา บ่าวจึงไปขอความช่วยเหลือจากคุณหนูซ่งและหลิ่วอี๋เหนียง แต่ถูกปฏิเสธ เมื่อถึงทางตัน คุณชายเจียงได้เข้ามาช่วยบ่าวจ่ายค่ายา บ่าว บ่าว จึง..........” “จ่ายเงินให้ที่ไหน?” เสิ่นอวี้ไล่ถาม เหลียนเฉียวตอบ “หอ หอจี้ส
เสิ่นฉือตกตะลึงไป พยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนั้นหากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็พูดกับพี่ใหญ่ได้” “เจ้าค่ะ” เสิ่นอวี้พยักหน้าอย่างหนักแน่น ชาติที่แล้ว นางกับพี่ใหญ่จากมิตรกลายเป็นศัตรูกัน จนสุดท้ายตระกูลเสิ่นถูกทำลาย ในชาตินี้ นางอยู่กับเขาก็จะรักษาตระกูลเสิ่นให้ดี ในเวลานี้ ฮูหยินใหญ่ก็ออกมาจากห้องแยก เสิ่นอวี้เดินไปด้านหน้า “ท่านแม่” “นางหลิ่วและหลานสาวคนนั้นของนางยังไม่กลับมาอีกหรือ?” ในใจฮูหยินใหญ่เบื่อทั้งสองคนนี้มาก ตอนนี้แม้แต่ชื่อก็ไม่อยากเอ่ยถึง สีหน้าโมโหอย่างมาก เสิ่นอวี้พยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “อย่างมากก็ไปหาองค์ชายสามหรือไม่ก็เจ้ากรมซุน แต่ไม่ค้างคืนด้านนอกแน่..........” ฮูหยินใหญ่โกรธจนทนไม่ไหว จึงพุ่งตัวออกไปนอกประตู “คนเข้ามา ไปพาตัวพวกนางมาให้ข้า! กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา วันนี้ข้าจะถลกหนังพวกนางซะ” เมื่อเสิ่นวี้เห็นสถานการณ์นั้นจึงรีบเข้าไปขวางไว้ “ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน วันนี้องค์ชายสามและเจ้ากรมซุนเสียเปรียบในจวนอ๋องแล้ว พวกเขาย่อมไม่ยอมยุติข้อพิพาทลงด้วยดีแน่ เพียงแต่พวกเขาซ่อนอยู่ในที่มืดพวกเราอยู่ในที่สว่าง ถ้าไปจับคนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ พวกเขาต้องรู้แน่ว่
ฮูหยินใหญ่มองไปที่เสิ่นอวี้ด้วยแววตาค่อนข้างซับซ้อน พลางเอ่ย “อวี้เอ๋อร์ หลิ่วอี๋เหนียงและซ่งหว่านฉิงมีเจตนาชั่วร้าย...ข้ารู้ว่าเจ้าใส่ใจพวกนางมาก แต่จะให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ” เสิ่นอวี้พยักหน้า “ท่านแม่ ลูกรู้ความหนักเบา” ฮูหยินใหญ่พยักหน้า เอ่ยกับด้านนอกด้วยสีหน้าโกรธจัด “นำตัวพวกนางเข้ามา!” ตังกุยส่งเสียงตอบคำหนึ่ง แล้วนำตัวพวกนางสองคนเข้ามา ฮูหยินใหญ่เรียกให้สาวใช้เตรียมอาหารเล็กๆ น้อยๆ มาวางไว้บนโต๊ะ "อวี้เอ๋อร์ เจ้ากินรองท้องไปก่อน เกรงว่าคืนนี้จะไม่ได้กินข้าวอย่างสำราญแล้ว” เสิ่นอวี้พยักหน้า “ท่านแม่ก็กินหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” นางเองก็ไม่ได้เหนียมอาย เพียงคีบอาหารชิ้นหนึ่งใส่ในปากไปโดยตรง แล้วเห็นว่าฮูหยินใหญ่ตกตะลึงอีกแล้ว เมื่อก่อนนางก็ดีกับเสิ่นอวี้มาก ทุกครั้งที่มาจะนำขนมมาให้นางด้วย ในช่วงวัยเยาว์ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้น่าฟัดน่ากอดจนทำให้คนชอบ นางเองก็อดไม่ได้ที่จะรักนาง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อต้านแม่ใหญ่คนนี้ของนาง มีอะไรก็กินอย่างนั้น อีกทั้งยังเที่ยวเล่นกับลูกทั้งสามคนของนางอย่างสนุกสนาน แต่แล้วต่อมาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
ฮูหยินใหญ่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลางมองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นผ่านไปสักพักถึงค่อยอ้าปากเอ่ยอย่างเย็นใจ " อวี้เอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้สงสัย.........." นางไม่กล้าแม้แต่จะพูดต่อไปอีก เด็กผู้หญิงคนนี้ในสมองกำลังคิดอะไรอยู่? เสิ่นอวี้ครุ่นคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว แต่ในใจก็ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมอะไรมาก พลางเอ่ยอย่างไตร่ตรอง " ข้าแค่มีความสงสัยเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น...... ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทําไมนางถึงปฏิบัติต่อซ่งหว่านฉิงดีกว่าข้า ” ฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้วเป็นปม "สิ่งที่พูดมานี้ก็เป็นเรื่องจริง วันนี้ข้าจะไปดูหน้านางหน่อย!" ในขณะที่ทั้งสองกําลังพูดคุยกัน เสิ่นฉือยังคงมองไปที่เสิ่นอวี้อยู่ตลอด เขาเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้ แต่ไม่เคยพูดออกมา เพราะเขากลัวว่าจะทําร้ายนาง แต่เขากลับไม่คิดว่าตอนนี้นางจะเป็นคนพูดออกจากปากตัวเอง...... นางเคยคิดหรือไม่ว่าหากนางไม่ได้เกิดจากหลิ่วอี๋เหนียง เช่นนั้นนางก็จะไม่ใช่บุตรสาวตระกูลเสิ่น แล้วนางจะทำเช่นไร? แต่เสิ่นอวี้ไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ นางได้อยู่กับคนในตระกูลเสิ่นมานานแล้ว นางก็ถือว่าเข้าใจ เสิ่นจิ้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาและมีความรับ
หลิ่วอี๋เหนียงคุ้นเคยกับการพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เสิ่นอวี้เอ่ยปากพูดก็จะถูกนางขัดขวางไว้ กลับกลายเป็นรู้สึกว่าตัวเองทำร้ายจิตใจนาง แล้วยังต้องปลอบใจนางอยู่พักหนึ่ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เสิ่นอวี้ตัดบทของนาง "ท่านเป็นแม่ข้าหรือ?" น้ำเสียงของนางเดาอารมณ์ไม่ออก แต่ก็มันเย็นชามาก หลิ่วอี๋เหนียงรีบกลับมาเดิมทีก็มีเหงื่อออกเล็กน้อย แต่ในเวลานี้นางกลับรู้สึกหนาวสะท้านที่แผ่นหลังจนตัวสั่น เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่นั่งถัดจากฮูหยินใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งประตู ใบหน้าไร้ริ้วรอย แต่กลับทําให้นางรู้สึกเหมือนว่านางผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและมีความสงบของผู้เหนือกว่า คําพูดที่คร่ำครวญของนางกลอกกลิ้งอยู่ในลําคอหลายครั้ง จนในที่สุดนางก็กลืนมันลงไป ดวงตาหลุบต่ำแล้วเอ่ย “เด็กอย่างเจ้ามาถามคำถามอะไรกัน? หากข้าไม่ใช่แม่ของเจ้าหรือว่าเจ้าเกิดมาจากมุมกำแพงหรือ?” "แล้วเหตุใดตอนอยู่ที่จวนอ๋องหมิงหยางท่านถึงใส่ความข้า"เสิ่นอวี้จ้องนางตาไม่กระพริบ “หากท่านเป็นแม่เช่นนี้ วันนี้ข้าไม่รังเกียจที่จะตัดบุญคุณปฏิเสธความเมตตากับท่าน หากไม่ได้ วันหน้าก็ขอให้ท่านพ่อตรวจเลือดพิสูจน์ความเป็นบุตร ”"เจ้า..
แต่องค์ชายสามไปทำอะไร? ภูเขาเยี่ยนหนานอยู่ห่างจากที่นี่หนึ่งชั่วยาม หากไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องไปที่อื่นแล้วต้องเดินทางผ่าน และอีกคนที่ผลักนางตกจากหน้าผาในวันนั้น แม้ว่านางจะไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร แต่เมื่อลองคิดดูแล้วก็คิดออกทันที ท้ายที่สุดแล้ว ในวันนั้นที่นางไปภูเขาเยี่ยนหนานมีเพียงหลิ่วอี๋เหนียงเท่านั้นที่รู้ ยิ่งกว่านั้นในวันนั้นหลิ่วอี๋เหนียงไปกับนางด้วย เสิ่นอวี้มองไปที่นาง ดวงตาคู่นั้นแทบอยากจะเจาะทะลุชั้นผิวหนังของนางเพื่อดูหัวใจอันชั่วร้ายที่อยู่ใต้ผิวหนังนั้นให้ชัดเจนว่าเป็นยังไง เหตุใดถึงใจร้ายผลักลูกสาวตกหน้าผา แล้วปล่อยให้องค์ชายสามได้เป็นวีรบรุษช่วยสาวงาม? จิตใจของหลิ่วอี๋เหนียงอยู่ไม่เป็นสุข นางพูดพล่ามออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่ “เจ้ากําลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร องค์ชายสามและเจ้ากรมซุนพูดแทนพวกข้าตั้งแต่เมื่อใด ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจพูดเพื่อตัวเองก็ได้ มันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา! นอกจากนี้ จะว่าไปตระกูลซุนและจวนโหวไม่ถูกกัน ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ ข้าจะมีอะไรกับเขาได้อย่างไร" "ข้าไม่ได้พูดว่าท่านกับเขา แต่ข้าบอกว่าเขาช่วยพูดแทนท่าน" เสิ่นอวี้ตัดบทนาง พร้อมกับจ้องมองใบหน้านาง หล