ฮูหยินใหญ่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลางมองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นผ่านไปสักพักถึงค่อยอ้าปากเอ่ยอย่างเย็นใจ " อวี้เอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้สงสัย.........." นางไม่กล้าแม้แต่จะพูดต่อไปอีก เด็กผู้หญิงคนนี้ในสมองกำลังคิดอะไรอยู่? เสิ่นอวี้ครุ่นคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว แต่ในใจก็ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมอะไรมาก พลางเอ่ยอย่างไตร่ตรอง " ข้าแค่มีความสงสัยเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น...... ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทําไมนางถึงปฏิบัติต่อซ่งหว่านฉิงดีกว่าข้า ” ฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้วเป็นปม "สิ่งที่พูดมานี้ก็เป็นเรื่องจริง วันนี้ข้าจะไปดูหน้านางหน่อย!" ในขณะที่ทั้งสองกําลังพูดคุยกัน เสิ่นฉือยังคงมองไปที่เสิ่นอวี้อยู่ตลอด เขาเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้ แต่ไม่เคยพูดออกมา เพราะเขากลัวว่าจะทําร้ายนาง แต่เขากลับไม่คิดว่าตอนนี้นางจะเป็นคนพูดออกจากปากตัวเอง...... นางเคยคิดหรือไม่ว่าหากนางไม่ได้เกิดจากหลิ่วอี๋เหนียง เช่นนั้นนางก็จะไม่ใช่บุตรสาวตระกูลเสิ่น แล้วนางจะทำเช่นไร? แต่เสิ่นอวี้ไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ นางได้อยู่กับคนในตระกูลเสิ่นมานานแล้ว นางก็ถือว่าเข้าใจ เสิ่นจิ้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาและมีความรับ
หลิ่วอี๋เหนียงคุ้นเคยกับการพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เสิ่นอวี้เอ่ยปากพูดก็จะถูกนางขัดขวางไว้ กลับกลายเป็นรู้สึกว่าตัวเองทำร้ายจิตใจนาง แล้วยังต้องปลอบใจนางอยู่พักหนึ่ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เสิ่นอวี้ตัดบทของนาง "ท่านเป็นแม่ข้าหรือ?" น้ำเสียงของนางเดาอารมณ์ไม่ออก แต่ก็มันเย็นชามาก หลิ่วอี๋เหนียงรีบกลับมาเดิมทีก็มีเหงื่อออกเล็กน้อย แต่ในเวลานี้นางกลับรู้สึกหนาวสะท้านที่แผ่นหลังจนตัวสั่น เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่นั่งถัดจากฮูหยินใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งประตู ใบหน้าไร้ริ้วรอย แต่กลับทําให้นางรู้สึกเหมือนว่านางผ่านโลกมาอย่างโชกโชนและมีความสงบของผู้เหนือกว่า คําพูดที่คร่ำครวญของนางกลอกกลิ้งอยู่ในลําคอหลายครั้ง จนในที่สุดนางก็กลืนมันลงไป ดวงตาหลุบต่ำแล้วเอ่ย “เด็กอย่างเจ้ามาถามคำถามอะไรกัน? หากข้าไม่ใช่แม่ของเจ้าหรือว่าเจ้าเกิดมาจากมุมกำแพงหรือ?” "แล้วเหตุใดตอนอยู่ที่จวนอ๋องหมิงหยางท่านถึงใส่ความข้า"เสิ่นอวี้จ้องนางตาไม่กระพริบ “หากท่านเป็นแม่เช่นนี้ วันนี้ข้าไม่รังเกียจที่จะตัดบุญคุณปฏิเสธความเมตตากับท่าน หากไม่ได้ วันหน้าก็ขอให้ท่านพ่อตรวจเลือดพิสูจน์ความเป็นบุตร ”"เจ้า..
แต่องค์ชายสามไปทำอะไร? ภูเขาเยี่ยนหนานอยู่ห่างจากที่นี่หนึ่งชั่วยาม หากไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องไปที่อื่นแล้วต้องเดินทางผ่าน และอีกคนที่ผลักนางตกจากหน้าผาในวันนั้น แม้ว่านางจะไม่เห็นหน้าว่าเป็นใคร แต่เมื่อลองคิดดูแล้วก็คิดออกทันที ท้ายที่สุดแล้ว ในวันนั้นที่นางไปภูเขาเยี่ยนหนานมีเพียงหลิ่วอี๋เหนียงเท่านั้นที่รู้ ยิ่งกว่านั้นในวันนั้นหลิ่วอี๋เหนียงไปกับนางด้วย เสิ่นอวี้มองไปที่นาง ดวงตาคู่นั้นแทบอยากจะเจาะทะลุชั้นผิวหนังของนางเพื่อดูหัวใจอันชั่วร้ายที่อยู่ใต้ผิวหนังนั้นให้ชัดเจนว่าเป็นยังไง เหตุใดถึงใจร้ายผลักลูกสาวตกหน้าผา แล้วปล่อยให้องค์ชายสามได้เป็นวีรบรุษช่วยสาวงาม? จิตใจของหลิ่วอี๋เหนียงอยู่ไม่เป็นสุข นางพูดพล่ามออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่ “เจ้ากําลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร องค์ชายสามและเจ้ากรมซุนพูดแทนพวกข้าตั้งแต่เมื่อใด ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจพูดเพื่อตัวเองก็ได้ มันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา! นอกจากนี้ จะว่าไปตระกูลซุนและจวนโหวไม่ถูกกัน ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ ข้าจะมีอะไรกับเขาได้อย่างไร" "ข้าไม่ได้พูดว่าท่านกับเขา แต่ข้าบอกว่าเขาช่วยพูดแทนท่าน" เสิ่นอวี้ตัดบทนาง พร้อมกับจ้องมองใบหน้านาง หล
“พูดเรื่องของเจ้าก่อน" รูม่านตาของเสิ่นอวี้หดตัวลงเล็กน้อยเมื่อนางเห็นสิ่งนี้ หัวใจที่เจ็บปวดชินชาไปนานแล้ว เพียงแต่ในเมื่อนางปกป้องซ่งหว่านฉิง เช่นนั้นก็ต้องเริ่มจากนางก่อน “ท่านในฐานะอนุของจวนโหว กลับไปมีสัมพันธ์กับเวินซื่อไห่ ผิดหลักเจ็ดประการ จวนโหวสามารถขับไล่ท่านออกไปได้!” เดิมทีนางแค่อยากล่อลวงหลิ่วอี๋เหนียง แต่สุดท้ายวันนี้นางก็พูดภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้องว่าตนเป็นชู้กับเวินซื่อไห่ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่สามารถกลับคำพูดได้ การถูกไล่ออกจากจวนโหวเป็นเพียงเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น นางพูดเรื่องนี้ออกมาเพราะนางน่าจะมีแผนอะไรในใจ แต่ปฏิกิริยาของนางดูเหมือนจะไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ทุกอย่าง ทันทีที่นางได้ยินคําพูดของเสิ่นอวี้นางก็ร้อนรน แล้วเอ่ยว่า "เจ้าพูดอะไร? เจ้ากําลังจะไล่ข้าออกไปหรือ? ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ! ” "ข้าต่างหากที่ต้องการไล่เจ้าออกไป!" ฮูหยินใหญ่ขัดจังหวะของนาง "นางหลิ่ว เจ้าไม่สั่งสอนบุตรให้ดี และพยายามกระตุ้นให้นางทําสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ มีแม่แท้ๆที่ไหนทำเช่นนี้บ้าง!” "ข้าไม่เพียงแต่จะไล่เจ้าออกไป แต่ข้าจะให้รางวัลเจ้าด้วยการโบยสามสิบไม้กระดาน!"
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ" ทันใดนั้นซ่งหว่านฉิงก็ตะโกนออกมาเสียงสูงปี๊ดราวกับเป็นแมวถูกเหยียบหาง "เสิ่นอวี้ เจ้าต้องการให้ข้าเป็นสาวใช้งั้นหหรือ?” ตั้งแต่เข้ามาในจวนโหว นางก็เป็นคุณหนูรองแห่งจวนโหว อาหารเสื้อผ้าของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าเสิ่นซินและเสิ่นอวี้เลย บางครั้งนางยังกดหัวเสิ่นอวี้ และยังมีสาวใช้อีกสี่คนให้เรียกใช้ อยู่ที่บ้านก็หยิ่งผยอง อยู่ข้างนอกดีใจจนเหลิง ใช้ชีวิตแบบนี้จนชินแล้ว ตอนนี้กลับจะให้นางเป็นสาวใช้? นางทนไม่ไหวแน่นอน! ซ่งหว่านฉิงจ้องไปที่เสิ่นอวี้ ดวงตาของนางสั่นระริกอย่างเกลียดชัง เสิ่นอวี้คุ้นเคยกับคนไม่ดีทุกประเภทแล้วจึงไม่ได้คํานึงถึงความเกลียดชังของนาง เพียงเอ่ยเบา ๆ ว่า" ไม่ใช่ว่าข้าต้องการให้เจ้าเป็นสาวใช้ แต่เจ้าเหมาะที่จะเป็นแค่สาวใช้เท่านั้น” "ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เด็กในท้องของหลิ่วอี๋เหนียง ด้วยตัวตนของเจ้า แค่เป็นคนยกรองเท้าให้สาวใช้ของจวนโหวของข้าเจ้ายังไม่คู่ควรเลย หากเจ้าต้องการอยู่ต่อ เจ้าก็จงจําไว้ให้ดีว่าเจ้าเป็นใคร” อยู่ด้วยกันมานาน เสิ่นอวี้จะไม่รู้ได้ยังไงว่าซ่งหว่านฉิงภูมิใจในอะไรมากที่สุด? และสนใจอะไรมากที่สุด? นางมาจากภูมิหลังที่ต่ำต
เสิ่นอวี้หัวเราะเยาะเย้ยด้วยดวงตาแวววาวจนทำให้คนใจสั่น ซ่งหว่านฉิงจ้องมองนางตาไม่กะพริบ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง" เสิ่นอวี้ ข้าเป็นพี่น้องกับเจ้านะ........" "เจ้าไม่คู่ควร" เสิ่นอวี้ตัดบทของนาง พลางหันหน้าไปมองฮูหยินใหญ่ “ท่านแม่ข้าต้องรบกวนให้ท่านสั่งการออกไป ว่าต่อจากนี้ซ่งหว่านฉิงจะเป็นสาวใช้ในจวน ในช่วงเวลาปกติจะรับผิดชอบในการทําความสะอาดสวนหลังเรือนและห้องส้วม และดูแลหลิ่วอี๋เหนียง หากใครในจวนกล้าปฏิบัติต่อนางในฐานะคุณหนูรอง คนผู้นั้นต้องออกจากจวนโหว! ” ฮูหยินใหญ่มองนางด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อก่อนตอนซ่งหว่านฉิงอยู่ในจวนโหวก็สร้างเรื่องไว้มากมาย หลายปีก่อนยังมีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย เคยขโมยของมีค่าในจวนโหวไปทำขาย ถึงขั้นเคยพยายามปีนขึ้นเตียงเสิ่นฉือและเสิ่นลั่วเพื่อทำเรื่องสกปรกพวกนั้น แต่ทุกครั้งที่นางต้องการลงโทษซ่งหว่านฉิง เสิ่นอวี้ก็จะยืนอยู่ข้างซ่งหว่านฉิง แล้วแก้ตัวให้นาง ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าซ่งหว่านฉิงจะทําเรื่องแบบนั้น แม้ว่าในภายหลังนางจะแสดงหลักฐานว่าซ่งหว่านฉิงขโมยสิ่งของจริง แต่นางก็จะโต้แย้งว่าสาเหตุที่ซ่งหว่านฉิงเป็นแบบนั้น แค่เพราะนางไ
"ท่านป้า” ซ่งหว่านฉิงคว้าแขนเสื้อของนางไว้อย่างเศร้าโศก น้ำตาร่วงหล่นเป็นทาง แล้วจู่ๆ นางก็พบว่าการตั้งครรภ์ของนางหลิ่วนั้นเป็นเรื่องดี ดังนั้นนางจึงแสร้งทําเป็นน่าสงสาร และพูดว่า:"หากไม่ได้จริงๆก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียภูมิหลังของข้าก็ต่ำต้อย พ่อและแม่ของข้าก็ตายไปแล้ว......" "ฉิงเอ๋อร์!" เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลิ่วอี๋เหนียงก็น้ำตาไหล นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา "ฉิงเอ๋อร์ อย่าดูถูกตัวเอง เจ้าเป็นเด็กดีที่สุดในใจของป้าเสมอ!” ขณะที่พูด นางก็หันหน้าไปมองฮูหยินใหญ่ สายตาเปลี่ยนเป็นเฉียบคม "นางกู้ เช่นนั้นก็ให้ฉิงเอ๋อร์อยู่เคียงข้างข้าและดูแลข้าเถอะ! หรือไม่วันนี้ข้าก็ตายอยู่ตรงนี้ ข้าจะดูสิว่าถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปเจ้าจะทําอย่างไร! ” ฮูหยินใหญ่ตัวสั่นด้วยความโกรธ ถ้านางหลิ่วไม่ท้อง วันนี้ตนต้องฆ่านางให้ตายแล้วไม่ต้องพูดอะไรกันแล้ว แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ตอนนี้ถ้านางหลิ่วตายอยู่ที่นี่ แล้วข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่านางอิจฉาและกระทำการรุนแรงกับทายาทของท่านโหว ต่อไปนางจะอยู่ได้ยังไง? เมื่อเห็นสิ่งนี้ เสิ่นอวี้ยืนขวางอยู่ต่อหน้าฮูหยินใหญ่ พลางมองไปที่นางหลิว:" หลิ่วอี๋เหนียง เ
"นางหลิ่ว เจ้าหลอกท่านโหวมานานหลายปี ครั้งนี้คงไม่ง่ายที่จะใช้แล้ว!" สุดท้าย ฮูหยินใหญ่จ้องมองนาง แล้วพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งอย่างหนักแน่น ในที่สุด เด็กในท้องของนางหลิ่วก็ทําให้นางไม่สามารถทําอะไรได้ ถึงในใจจะโกรธมาก แต่ทำได้แค่ต้องอดทน เปลือกตาของนางหลิ่วกระตุกรุนแรง เมื่อเห็นว่าหน้าถูกเปิดโปงแล้ว ก็พูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า: “เช่นนั้นก็รอให้ท่านโหวกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลังพูดจบ นางมองไปที่เสิ่นอวี้อย่างลึกล้ำ ท้องฟ้ามืดมากแล้ว เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งอายุสิบห้าปีกําลังยืนอยู่ใต้ชายคา ร่างกายถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงดาวสว่างไสว สายตาคู่นั้นลุ่มลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง ราวกับเป็นบ่อน้ำเก่าๆสองบ่อ ที่ทำให้หัวใจคนหนาวเหน็บ นางหลิ่วไม่เข้าใจว่าทําไมนางถึงกลายเป็นคนใจเย็นไปได้ตั้งแต่ฟื้นตื่นจากอาการบาดเจ็บที่ตกเขาเยี่ยนหนาน แล้วเปลี่ยนไปเป็นคนจิตใจเย็นชา? นางไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ยังจําได้ว่าตนทำนิสัยเสียเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ เพื่อให้เสิ่นจิ้นสัญญากับนางว่าจะทําให้ฉิงเอ๋อร์เป็นคุณหนูรองของจวนโหว โดยการแขวนคอตัวเอง นางตกใจมากจนร้องไห้น้ำตาไหล กอดขาของนางไว้และขอร้องนางครั้