เมื่อได้ยินกู้หนานเยียนพูด ฉินไห่อวิ๋นก็ลืมสิ่งที่ตัวเองจะพูดเมื่อครู่ไปแล้ว เธอจึงตอบกลับ “จิ่งหยางบอกว่าเธอป่วย ฉันก็เลยรีบมา”“คุณปู่ คุณย่าก็อยากมา แต่ฉันห้ามไว้”กู้หนานเยียน “แค่กินอาหารไม่ดีน่ะค่ะ ฉีดยาและพักผ่อนอีกสองวันก็หายแล้วค่ะ”ข้างเตียงคนไข้ ฉินไห่อวิ๋นดึงกู้หนานเยียนให้มาคุยด้วย ขณะที่ลู่เป่ยเฉิงกำลังปอกผลไม้อยู่ข้าง ๆคุยไปคุยมา กู้หนานเยียนก็นั่งพิงหัวเตียงหลับไปโดยไม่รู้ตัวฉินไห่อวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นอย่างสงสาร “ป่วยจนผอมหมดแล้ว”จากนั้นเธอก็หันไปมองลู่เป่ยเฉิง “เป่ยเฉิง ลูกให้แม่ย้ายเย่ฉู่ไปที่อื่นเถอะ ยิ่งไกลยิ่งดี ไม่ต้องอยู่ที่เมือง A เลยจะดีที่สุด”ลู่เป่ยเฉิงยื่นส้มให้เธอครึ่งลูก “ผมกับเย่ฉู่ไม่ได้มีอะไรกันครับ ทำไมแม่เข้ากับเธอไม่ได้ตลอดเลย?”“ไม่ใช่ว่าฉันกับหล่อนเข้ากันไม่ได้ ฉันกลัวว่าหนานเย่จะรู้สึกแย่ กลัวว่าเธอไม่สบายใจ งั้นลูกคิดกลับกันดูสิ ถ้าเหลียงโจวกลับมาแล้ว และเขาก็คอยมาตามติดหนานเยียนบ้างล่ะ ลูกยังจะสบายใจอยู่ไหม?”ฉินไห่อวิ๋นพูดถึงเฉิ่นเหลียงโจว สีหน้าของลู่เป่ยเฉิงก็เปลี่ยนไปทันทีเขาจับส้มอีกครึ่งลูกที่เหลือยัดเข้าปาก และเงยหน้
ขณะที่ถามกู้หนานเยียน ลู่เป่ยเฉิงก็นึกขึ้นมาได้ว่า วันนั้นเธอพูดว่าถ้าเขาให้เงินเธอยี่สิบล้าน เธอจะให้คนร่างข้อตกลงหย่าร้างไม่รู้ว่าเธอพูดเล่นหรือพูดจริง ลู่เป่ยเฉิงไม่รู้เลยจริง ๆจู่ ๆ ลู่เป่ยเฉิงก็พูดเรื่องเช็คขึ้นมา กู้หนานเยียนจึงยิ้มและพูดขึ้น “ใครให้ก็เหมือนกันนั่นแหละ”บอกเขาแล้วได้อะไร?บางทีเขาอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้นเองเมื่อเห็นว่ากู้หนานเยียนไม่สนใจ ลู่เป่ยเฉิงก็จ้องเธออยู่นาน จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “กู้หนานเยียน เธอต้องอยากมีชีวิตที่ดีจริง ๆ ต้องอยากมีลูกจริง ๆ ไม่ใช่แค่พูดเอาใจฉันเท่านั้น”“ความพยายามที่ปราศจากความตั้งใจก็ไม่ใช่ความพยายาม”ลู่เป่ยเฉิงพูดเช่นนี้ กู้หนานเยียนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันตลกเธอจึงพูดขึ้น “คนที่ไม่แม้แต่จะกลับบ้าน ยังกล้ามาสอนวิธีจัดการชีวิตแต่งงานฉันอีกนะ”…..ลู่เป่ยเฉิงรู้สึกว่าตัวเองจะโดนแขวะเข้าเสียแล้วหลังจากกระแอมในลำคอ เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิม “ฉันสัญญากับเธอไว้แล้วนี่ ว่าจะกลับบ้านสัปดาห์ละครั้ง”“อย่ามา!” กู้หนานเยียนพูด “เราสัญญากันแค่ครั้งเดียว งั้นเรื่องนี
......กู้หนานเยียน "ฉันกำลังป่วยอยู่นะ ตอนนี้คือใจเกินร้อยแต่สังขารไม่ให้!" กู้หนานเยียนเอ่ย "วางใจเถอะ! ไม่งั้นคุณนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างนี้ ฉันจะหลับได้ยังไง" ลู่เป่ยเฉิงเอ่ย “เธอหลับสบายทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายเลย” กู้หนานเยียนตอบกลับ “อย่ามาชวนทะเลาะ ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก ขึ้นมาเถอะ!” หลังจากที่กู้หนานเยียนให้สัญญาอย่างเป็นมั่นเหมาะ ลู่เป่ยเฉิงก็ถอดเสื้อออก แล้วขึ้นเตียงอย่างไม่รีบร้อน ด้วยคำมั่นที่ว่าจะไม่อะไรซี้ซั้วกับลู่เป่ยเฉิง ดังนั้น หลังจากที่ลู่เป่ยเฉิงขึ้นเตียงแล้ว กู้หนานเยียนจุงไม่แตะเนื้อต้องตัวเขาเลย ผลก็คือ ลู่เป่ยเฉิงพลิกตัวมา แล้วกอดเธอจากทางด้านหลัง กู้หนานเยียนหันหน้ามา นี่มันเรื่องอะไรอีกล่ะ? ไม่ให้เธอแตะต้องตัวเขาไม่ใช่เหรอ? ขณะที่กู้หนานเยียนกำลังจะเอ่ยถาม เสียงทุ้มต่ำของลู่เป่ยเฉิงลอยเข้าหูอย่างช้า ๆ "ป่วยจนซูบผอมลงไปเยอะ หน้าอกก็เล็กลงอย่างถนัดตา" ลู่เป่ยเฉิงพูดไปด้วย มือขวาของเขาก็จับไปที่เนินอกอันอ่อนนุ่มของกู้หนานเยียน กู้หนานเยียนไม่ได้เอามือของลู่เป่ยเฉิงออก แถมยังพูดด้วยรอยยิ้มว่า"คุณชอบอกอึ๋มเหรอ! งั้นฉันจะไปอัพไซส์ให้เป็นคัพ F รับรองว่าค
ริมฝีปากของลู่เป่ยเฉิงนุ่มนวลมาก ฝีมือการจูบของเขาก็เร้าใจสุด ๆ ไม่นานหลังจากนั้น กู้หนานเยียนก็ถูกเขาจูบจนอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว เธอกอดคอของเขาไว้ เกยคางไว้บนไหล่ของเขา เข้าใจว่ากำลังจะเข้าสู่ขั้นตอนที่สำคัญอยู่แล้ว จู่ ๆ ลู่เป่ยเฉิงก็กัดหูของเธอ หายใจออกอย่างร้อนผ่าว กระซิบให้รู้ว่า "กู้หนานเยียน ประจำเดือนเธอมาแล้ว" ตอนแรก กู้หนานเยียนยังอารมณ์ค้างอยู่ คิดในใจว่า ช่วงนี้คุณป้ากำลังเที่ยวอยู่ที่ต่างประเทศ! แต่วินาทีต่อมา เธอก็รู้ทันที่ว่า สิ่งที่ลู่เป่ยเฉิงหมายถึงนั้นคือรอบเดือนของเธอ เธอจึงปล่อยหลู่เป่ยเฉิงออก ดึงชุดนอนไว้แล้วหันมอง เห็นมีคราบสีแดงสดอยู่ตรงจุดบั้นท้ายของเธอพอดี ......ชั่วขณะหนึ่ง กู้หนานเยียนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก มันเป็นโอกาสที่เธอได้มาอย่างยากเย็นนะ เมื่อมองไปที่ลู่เป่ยเฉิง เห็นเขาหยิบหนังสือมานั่งอ่านบนเตียง ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน กู้หนานเยียนก็เข้าใจได้ทันทีว่า เขาสังเกตเห็นเธอมีประจำเดือนแต่แรกแล้ว ที่ทำไปเมื่อกี้ก็แค่แกล้งหยอกเธอเล่น ๆ เท่านั้น และแล้ว เธอก็พูดอย่างเคียดแค้นว่า “คุณหลบได้วันนี้ ก็ไม่พ้นพรุ่งนี้อยู่ดี" ลู่เป
วันเสาร์ในวันเกิดของผู้อาวุโสเสิ่น กู้หนานเยียนยังคงไปพบปะลูกค้าทำโอทีอยู่ตอนที่เซี่ยเฉิงโทรศัพท์มาหาเธอ กู้หนานเยียนเพิ่งจะออกมาจากบริษัทของลูกค้าและเตรียมจะกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดเมื่อเธอลงมาถึงด้านล่าง รถของลู่เป่ยเฉิงก็มาจอดรออยู่ข้างถนนเรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้ที่อยู่โรงพยาบาล โจวเป่ยด่าเขาไปชุดใหญ่ และฉินไห่อวิ๋นยังพูดเรื่องเช็คธนาคารขึ้นมาอีก ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นเมื่อเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับออก กู้หนานเยียนก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น “ว้าว! วันนี้หล่อนะเนี่ย”ลู่เป่ยเฉิง “มีวันไหนที่ผมไม่หล่อด้วยเหรอ?”กู้หนานเยียนหัวเราะ “จ้า ๆ พ่อคนหลงตัวเอง”ทั้งสองคนเดินทางมาถึงโรงแรมในเวลาหกโมงกว่า แขกคนอื่น ๆ ก็ได้มาถึงที่นี่แล้วเช่นกันกู้หนานเยียนเข้ามาอวยพรคุณท่านเสิ่นพร้อมกับลู่เป่ยเฉิง และลู่เป่ยเฉิงก็อยู่กับกู้หนานเยียนตลอดงานแต่งงานกันมาสองปี นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้อยู่ใกล้ชิดกันต่อหน้าสาธารณชน จ้าวจือชิวตื้นตันจนแทบจะร้องไห้เธอรู้สึกราวกับว่ากู้หนานเยียนได้ข้ามผ่านวันเวลาที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาได้แล้วการปรากฏตัวพร้อมกันของทั้งคู่ กลายเป็นประเด็นร้อนในงานวันนี
“ครับ?” ลู่เป่ยเฉิงขานรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นความร่วมมือกันของทั้งสอง ทำให้สวี่หมิงจูยืนอึ้งไปทันทีกู้หนานเยียนจงใจทำแบบนี้ เธอจะต้องจงใจทำแบบนี้แน่ ๆ แต่ทำไมลู่เป่ยเฉิงถึงขานรับเธอ ขานรับยังไม่พอ แถมน้ำเสียงของเขายังฟังดูอบอุ่นมาก“พี่เป่ยเฉิง” สวี่หมิงจูมองลู่เป่ยเฉิงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ราวกับลู่เป่ยเฉิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ลู่เป่ยเฉิงที่เธอรู้จักเมื่อได้สติกลับมา เธอจึงหันไปมองกู้หนานเยียน “กู้หนานเยียน เธอจะต้องวางยาพี่เป่ยเฉิงแน่ ๆ ความจริงวันนี้ฉันอยากจะไว้หน้าเธอ ไม่อยากแฉเรื่องเน่าเฟะที่เธอทำ แต่เธออวดดีขนาดนี้ แทบจะไม่ไว้หน้าพี่เป่ยเฉิงเลย”พูดจบ สวี่หมิงจูก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เธอเปิดคลังรูปภาพและยื่นไปให้ลู่เป่ยเฉิงดู “พี่เป่ยเฉิง พี่อย่าคิดว่ากู้หนานเยียนเป็นคนดี ที่จริงเธอนอกใจพี่ตั้งนานแล้ว”“ฉันมีหลักฐาน ถ้าไม่เชื่อก็ดูนี่สิ”เสียงของสวี่หมิงจู ดึงดูดความสนใจจากแขกรอบข้างไม่น้อยลู่เป่ยเฉิงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะมองรูปในโทรศัพท์ของสวี่หมิงจูรูปภาพในโทรศัพท์ เป็นรูปของกู้หนานเยียนและผู้ชายอีกคนหนึ่ง พวกเขาดูรักใคร่กันเป็นอย่างมากใน
หนานเยียนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เธอก็เห็นรถหงฉีคันดำขับมาจอดตรงหน้า จากนั้นกระจกรถก็ถูกเลื่อนลง ชายหนุ่มที่อยู่ในรถคือ เสิ่นเหลียงโจวกู้หนานเยียนยิ้มทักทายเขา “อ่าว คุณเองเหรอ!”“อืม!” เสิ่นเหลียงโจว “ให้ผมไปส่งคุณนะ”เมื่อเสิ่นเหลียงโจวบอกว่าจะไปส่ง เธอก็นั่งนิ่งไปเมื่อเห็นว่ากู้หนานเยียนไม่ขึ้นรถ เสิ่นเหลียงโจวจึงรีบอธิบาย “ผมผ่านอวี้หลินวานพอดี”เห็นได้ชัดว่าเขารู้สถานภาพในตอนนี้ของกู้หนานเยียนดีเมื่อเสิ่นเหลียงโจวพูดมาขนาดนี้ และเลขาของเขายังลงรถมาช่วยเปิดประตูให้เธออีก กู้หนานเยียนจึงต้องขึ้นรถไปอย่างจำใจหลังจากที่กู้หนานเยียนขึ้นมาบนรถแล้ว เสิ่นเหลียงโจวก็พูดขึ้น “ไม่เจอกันนานเลย”กู้หนานเยียนยิ้มตอบ “ไม่เจอกันนานเลยนะ”สองปีก่อน ตอนที่เธอกับลู่เป่ยเฉิงยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เสิ่นเหลียงโจวเคยมาขอเธอที่ตระกูลกู้ แต่เธอก็ปฎิเสธไปตอนที่เสิ่นเหลียงโจวถูกย้ายออกจากเมือง A เขาเคยนัดเจอกับเธอครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเธอไปซานย่ากับโจวเป่ยเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงห่างกันไปโดยปริยาย จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสองปีกว่าแล้วในขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไป กู้หนานเยียนก็เปลี่ยนไปถามเรื่องของ
เมื่อลู่เป่ยเฉิงถามอย่างนี้ กู้หนานเยียนก็เข้าใจในทันทีเขารู้ว่าเฉิ่นเหลียงโจวกลับมาแล้ว และรู้ด้วยว่าเฉิ่นเหลียงโจวเป็นคนส่งเธอกลับมา เขาจึงหาเรื่องทะเลาะ!กู้หนานเยียนพูดอย่างเปิดใจ โดยไม่มีข้อแก้ตัว หรือหลีกเลี่ยงความผิดแต่อย่างใด “เหลียงโจวกลับมาแล้ว เลยถือโอกาสแวะส่งฉันแค่นั้น”คำว่า ‘เหลียงโจว’ ของกู้หนานเยียนทำเอาลู่เป่ยเฉิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เหลียงโจว? เธอเรียกซะดูสนิทสนมเลยนะ”ก่อนจะเอ่ยต่อ “เฉิ่นเหลียงโจวนั่นพักอยู่ที่ไหนล่ะ? เขาถึงแวะมาส่งเธอได้”กู้หนานเยียนแค่กลับดึกนิดหน่อย ลู่เป่ยเฉิงก็โกรธขนาดนี้แล้ว ถ้าคืนนี้เธอไม่กลับมาเลยเขาก็คงโมโหจนแทบจะพลิกเมือง A ได้หลังจากเหตุการณ์สำคัญใน ‘ครั้งนั้น’ กู้หนานเยียนก็ไม่เรียกเขาว่าเป่ยเฉิงอีก แต่เรียกชื่อเต็มแทนความแตกต่างตรงนี้ทำให้ลู่เป่ยเฉิงยิ่งคิดไม่ดีมากขึ้นไปอีกแต่ถึงแม้ลู่เป่ยเฉิงจะมีความคิดลบ ๆ แต่กู้หนานเยียนก็ยังคงเอ่ยอย่างมั่นคง “ตอนนั้นฉันรอรถอยู่ เขาก็จะกลับพอดี”ลู่เป่ยเฉิงกลับเอ่ย “มู่ไป๋กับเฉิ่นหลีไม่อยู่เหรอ? โจวเป่ยก็ไม่มีเวลามาอยู่กับเธอเหรอ? เธอนั่งรถใครไม่รู้ แถมยังปล่อยให้เขาไปส่งเธออีก ผมไม่ได้บอ