เมื่อลู่เป่ยเฉิงถามอย่างนี้ กู้หนานเยียนก็เข้าใจในทันทีเขารู้ว่าเฉิ่นเหลียงโจวกลับมาแล้ว และรู้ด้วยว่าเฉิ่นเหลียงโจวเป็นคนส่งเธอกลับมา เขาจึงหาเรื่องทะเลาะ!กู้หนานเยียนพูดอย่างเปิดใจ โดยไม่มีข้อแก้ตัว หรือหลีกเลี่ยงความผิดแต่อย่างใด “เหลียงโจวกลับมาแล้ว เลยถือโอกาสแวะส่งฉันแค่นั้น”คำว่า ‘เหลียงโจว’ ของกู้หนานเยียนทำเอาลู่เป่ยเฉิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เหลียงโจว? เธอเรียกซะดูสนิทสนมเลยนะ”ก่อนจะเอ่ยต่อ “เฉิ่นเหลียงโจวนั่นพักอยู่ที่ไหนล่ะ? เขาถึงแวะมาส่งเธอได้”กู้หนานเยียนแค่กลับดึกนิดหน่อย ลู่เป่ยเฉิงก็โกรธขนาดนี้แล้ว ถ้าคืนนี้เธอไม่กลับมาเลยเขาก็คงโมโหจนแทบจะพลิกเมือง A ได้หลังจากเหตุการณ์สำคัญใน ‘ครั้งนั้น’ กู้หนานเยียนก็ไม่เรียกเขาว่าเป่ยเฉิงอีก แต่เรียกชื่อเต็มแทนความแตกต่างตรงนี้ทำให้ลู่เป่ยเฉิงยิ่งคิดไม่ดีมากขึ้นไปอีกแต่ถึงแม้ลู่เป่ยเฉิงจะมีความคิดลบ ๆ แต่กู้หนานเยียนก็ยังคงเอ่ยอย่างมั่นคง “ตอนนั้นฉันรอรถอยู่ เขาก็จะกลับพอดี”ลู่เป่ยเฉิงกลับเอ่ย “มู่ไป๋กับเฉิ่นหลีไม่อยู่เหรอ? โจวเป่ยก็ไม่มีเวลามาอยู่กับเธอเหรอ? เธอนั่งรถใครไม่รู้ แถมยังปล่อยให้เขาไปส่งเธออีก ผมไม่ได้บอ
เธอนึกว่าตัวเองจะมีภูมิต้านทานกับคำพูดเหล่านี้แล้วเชียว แต่คำพูดจิกกัดของลู่เป่ยเฉิงคืนนี้ทำเอากู้หนานเยียนโมโหถึงขีดสุดต่อให้เป็นคนอารมณ์ดีแค่ไหนก็มีขีดจำกัดเหมือนกันดังนั้นเธอจึงไม่ได้ง้อเขาตามปกติอย่างที่เคยเป็น แต่กลับทะเลาะกับเขาต่อไปอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่กู้หนานเยียนได้เอ่ยออกมา ทำเอาสีหน้าของลู่เป่ยเฉิงดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อที่เอาไว้ผัดอาหารเสียอีกเส้นเลือดบนหลังมือทั้งสองข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงนั้น แทบจะแตกออกมาแล้วเขาก้มลงไปมองกู้หนานเยียนก่อนจะยิ้มเยาะ “ผมทำให้เธอเสียเวลาไปหาความสุขงั้นเหรอ? ได้สิ กู้หนานเยียน ผมจะคอยดูว่าเธอจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าไม่มีผม”เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันหลังเดินออกไปพร้อมกับกระแทกประตูเสียงดังโครมหากลู่เป่ยเฉิงยังไม่ออกไปอีกละก็ ตัวเขาเองก็ไม่กล้ารับประกันเหมือนกันว่า สุดท้ายสถานการณ์จะเป็นยังไง ถ้าหากทั้งสองคนยังดึงดันที่จะทะเลาะกันอย่างนี้ต่อไปจะเกิดเรื่องเลวร้ายที่เกินจะแก้ไขเหมือนใน ‘ครั้งนั้น’ หรือเปล่าดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะฝืนระงับอารมณ์ตัวเองและเดินออกไปก่อนภายในห้อง หลังจากที่กู้หนานเยียนได้ยินเสียงกระแทกประตูปิดอย่างแรงแล้
แววตาที่ลู่เป่ยเฉิงมองเขาในตอนนี้ เยือกเย็นจนแทบจะปล่อยใบมีดน้ำแข็งออกมาได้“เอ่อ พอดีเมื่อกี้ผมปากไวไปหน่อย พี่อย่าย้ายผมไปที่ไกล ๆ แบบนั้นอีกเลยนะ ไม่งั้นหลังจากนี้ผมคงใช้หน้านี้ทำมาหากินอีกไม่ได้แน่ ๆ”ลู่เป่ยเฉิงหัวเราะหึ ๆ ตอนนั้นเองลู่จิ่งหยางชักจะเริ่มหวั่นใจขึ้นมาแล้วรอยยิ้มที่ซ่อนความเหี้ยมโหดแบบนี้ ลู่จิ่งหยางเห็นแบบนั้นจึงรีบเอ่ย “พี่ครับ พี่อย่าย้ายผมไปเลยนะ เดี๋ยวผมไปเป็นสายลับสืบหามาให้ว่าตอนนี้พี่เยียนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”ทันทีที่ลู่จิ่งหยางบอกว่าจะเป็นสายลับให้ สีหน้าของลู่เป่ยเฉิงจึงผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อเอ่ยปากพูดออกมาแล้วว่า จะเป็นสายลับให้กับลู่เป่ยเฉิง ลู่จิ่งหยางจึงต้องไปหากู้หนานเยียนในวันถัดมาภายในสำนักงานกฎหมาย กู้หนานเยียนทำงานล่วงเวลาจัดเก็บเอกสารข้อมูลอยู่เพียงลำพัง ลู่จิ่งหยางได้ดึงเก้าอี้เข้ามานั่งข้าง ๆ เธอกู้หนานเยียนที่เห็นว่าเขาตามเธอมาตั้งแต่เช้าแล้ว จึงเอ่ยด้วยความรังเกียจ “เธอมีอะไรจะพูดก็พูดสิ เลิกเกาะติดฉันเป็นเทปกาวได้แล้ว ฉันยังมีงานที่ต้องทำอยู่นะ”ลู่จิ่งหยางดึงเก้าอี้เข้าไปใกล้เธอมากขึ้นอีก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ขั้นสุด “หนา
ลู่จิ่งหยางเห็นแบบนั้น จึงกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “พี่เยียนยังบอกอีกว่า ตัวพี่เองก็ไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้ และพี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมาแล้วสองรอบ เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับเธอด้วย”“ถ้าพี่จ่ายเต็มจำนวน เธอจะไม่เข้าใกล้พี่อีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าเจอพี่ระหว่างทางเธอก็จะเดินอ้อมไปไกล ๆ และจะไม่พูดถึงพี่เลยแม้แต่ประโยคเดียว จะไม่ทำให้พี่ต้องลำบากใจเลยครับ”ยิ่งลู่จิ่งหยางสาธยายมากเท่าไร ใจของลู่เป่ยเฉิงก็ยิ่งจมดิ่งลงมากขึ้นเท่านั้นที่ลู่จิ่งหยางพูดมา มันคล้ายกับคำพูดตอนที่สองคนนี้ด่าเขาเลยแฮะแต่ในความเป็นจริง กู้หนานเยียนพูดออกมาแค่สามประโยคแค่นั้น แต่ลู่จิ่งหยางคิดว่าตัวเองสามารถช่วยเธอได้มากกว่านั้น จึงพยายามปั้นน้ำเป็นตัวอย่างสุดความสามารถเมื่อเห็นว่าลู่เป่ยเฉิงนั่งฟังเขากุเรื่องจนนิ่งเงียบไป ลู่จิ่งหยางจึงเอ่ยต่ออีก “นี่พี่เยียนเขาก็อุตส่าห์ผ่อนปรนให้แล้วนะ ยังไงพี่ก็รวยมากอยู่แล้วแถมยังหาเงินเก่งอีก หย่ารอบนี้ พี่ก็ใจป้ำหน่อยสิ!”“วันหลังพอมีคนอื่นพูดถึงพี่ อย่างน้อยเขาก็ยังชมพี่ได้อยู่ว่าพี่เป็นคนใ
ตอนนี้ลู่เป่ยเฉิงได้ลุกขึ้นยืน และเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของลู่จิ่งหยาง ก่อนจะเอื้อมมือไปตบบ่าเขา “พี่เชื่อใจนายมากนะ ไอน้องชาย”ลู่จิ่งหยางเอ่ย “พี่เยียนทำให้พี่วุ่นวายกับร่างสัญญาหรือเปล่า งั้นเดี๋ยวผมไปบอกพี่เยียนว่าให้เธอร่างสัญญาเองก็ได้ครับ! เธอเองก็เป็นทนายพอดี ยังไงก็คุ้นเคยกับการเขียนอะไรพวกนี้อยู่แล้ว”ลู่เป่ยเฉิงกดน้ำหนักมือตัวเองลงไปบนบ่าของเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง “เรื่องนี้นายทำได้ดีมาก แต่รอบหน้าไม่ต้องแล้ว”ใครบอกว่าจะหย่ากับกู้หนานเยียนกัน?สองปีแล้ว ต่อให้ลู่เป่ยเฉิงจะบอกว่าเกลียดมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยเอาเรื่องหย่าขึ้นมาพูดเลยสักครั้งแต่ลู่จิ่งหยางที่บอกว่าจะไปเป็นสายลับสืบหาความคิดของกู้หนานเยียนมาให้เขา สุดท้ายก็ไปราดน้ำมันเข้ากองไฟ และกลับมาพร้อมกับคำพูดไร้สาระหาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย——เมื่อกู้หนานเยียนได้รับสายจากลู่จิ่งหยาง ก็เป็นจังหวะที่ลู่จิ่งหยาง โดนเซี่ยเฉิงเร่งให้ขึ้นรถไฟไปนั่งกับทีมอยู่ลู่จิ่งหยางร้องไห้งอแงอย่างหนักผ่านสายโทรศัพท์ ขอให้กู้หนานเยียนช่วยเขาทีกู้หนานเยียนทำได้เพียงแค่เอ่ยด้วยความเห็นใจ “จิ่งหยาง ดูแลตัวเองด้วย
“หนานเยียน สามีเธอนอนอยู่ข้างหมอนคนอื่นนะ เธอยังนอนหลับได้อีกเหรอ? ไม่กลัวตำแหน่งคุณนายลู่สั่นคลอนเหรอ?”ในห้องนอนของคฤหาสน์ฉินไห่อวิ๋นพูดอย่างเข้มงวด กู้หนานเยียนจึงถามขึ้นอย่างงัวเงีย “แม่ คืนนี้ผีตนไหนมาเข้าสิงอีกเนี่ย?”แต่งงานมาสองปี มีผู้หญิงต่อแถวรอให้เธอสละตำแหน่งตลอด แม่สามีเธอก็คอยบอกให้เธอออกไปจับชู้บ่อย ๆ กู้หนานเยียนรู้สึกชินตั้งนานแล้วแต่ทุกครั้งก็ต้องคว้าน้ำเหลว ไม่เคยจับลู่เป่ยเฉิงได้คาหนังคาเขาสักที“ฉันส่งเลขห้องของโรงแรมให้แล้ว เธอไปลากคอมันกลับมา” ฉินไห่อวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “ยายเด็กคนนี้นี่ ถ้าเธอยังไม่ใส่ใจเป่ยเฉิงอย่างนี้อีก ฉันก็ไม่รู้จะช่วยเธออย่างไรแล้วนะ” ไม่ใส่ใจเหรอ?งั้นก็ต้องให้ลู่เป่ยเฉิงก็ให้โอกาสเธอได้ใส่ใจเขาบ้างสิ!สองปีมานี้เขากลับบ้านนับครั้งได้เลย ทั้งสองคนเจอหน้ากันทีไรก็ต้องทะเลาะกันจนจบไม่สวยทุกทีเขาหลบหน้าเธอยิ่งกว่าหลบผีเสียอีก เธอจะไปใส่ใจเขาได้อย่างไรล่ะ?แต่เมื่อก่อนเธอกับลู่เป่ยเฉิงไม่ได้เป็นแบบนี้ เขาดีต่อเธอมาก เขาเป็นฝ่ายยอมเธอแต่โดยดี แต่หลังจากครั้งนั้นพวกเขาก็กลายเป็นอย่างนี้เลยเธอหลับตาและเงียบไปสักพ
สุดท้ายเป็นโจวเป่ยที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา ก็พูดขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดภายในห้อง “หนานเยียน เจ้าเด็กนี่ใสซื่อจริง ๆ เธออย่าทำลายความหวังดีของเด็กมันสิ ตอนเล่นก็เล่นระวัง ๆ ด้วยนะ เดี๋ยวเด็กมันจะช้ำเสียก่อน”เป่ยโจวพูดจบ ลู่เป่ยเฉิงก็หันมาแสยะยิ้มให้เธอทันที “ก็อย่างว่า ผู้หญิงที่ขาดความรักควรจะโดนตอกไปสักสองสามเข็ม”เมื่อกู้หนานเยียนได้ยินดังนั้น เธอจึงแสร้งยืนขึ้นด้วยความดีใจ “นี่มู่ไป๋ เจ้าเสิ่น พวกนายได้ยินที่คุณสามีสุดที่รักของฉันพูดไหม งั้นฉันขอตัวไปตอกสักสองสามเข็มก่อนนะ พวกนายเล่นกันให้สนุกล่ะ”พูดจบ เธอก็หันมาพูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ “ไปกันเถอะสุดหล่อ เดี๋ยวพี่จะพานายไปเปิดห้องเอง”“ครับพี่” เด็กหนุ่มก้มลงพูดข้างหูกู้หนานเยียน“จริงสิ! เดี๋ยวพี่โชว์ลีลาเด็ด ๆ ให้ดู” กู้หนานเยียนตอบกลับ“......” คนอื่น ๆ ต่างอึ้งไปกู้หนานเยียนพูดไปตามน้ำ ส่วนโจวเป่ยก็พาเด็กผู้ชายอีกคนออกไปเช่นกันในห้อง ลู่เป่ยเฉิงก็เก็บสีหน้าไม่อยู่อีกต่อไป เขาใช้เท้าถีบโต๊ะอย่างแรงโต๊ะที่ใช้เล่นไพ่นกกระจอกปลิวกระเด็นออกไป ทำให้ไพ่บนโต๊ะกระจัดกระจายออกไปคนละทิศละทางเย่ฉู่หน้าซีดด้วยค
ลู่เป่ยเฉิงกำลังอยู่ในชุดนอนสีเทาอ่อน เขายกมือขึ้น เพื่อเช็ดผมที่กำลังเปียกหมาด ๆ คอเสื้อกว้างเผยให้เห็นกล้ามอกทั้งสองข้างลู่เป่ยเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ในขณะที่กำลังเช็ดผม “ไม่ต้องยั่ว ต่อให้ถอดหมดก็ไม่มีประโยชน์”คำพูดสั้น ๆ ของลู่เป่ยเฉิง ทำให้กู้หนานเยียนหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเธอดึงชุดคลุมบาง ๆ ขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ลู่เป่ยเฉิง คุณก็ให้ความร่วมมือทำให้มันเสร็จ ๆ ไปสักทีสิ จากนี้ไปคุณจะออกไปหาใคร ฉันจะไม่ยุ่ง จะไม่เข้าไปรบกวนชีวิตของคุณอีกเลย”จากนั้น เธอก็เปลี่ยนเรื่องไป “ถ้าคุณไม่เต็มใจจริง ๆ ก็นอนเป็นดิลโด้ให้ฉันก็ได้”เมื่อกู้หนานเฉิงพูดจบ ลู่เป่ยเฉิงก็เขวี้ยงผ้าเช็ดตัวลงพื้น ก่อนจะบีบคางของเธอ “กู้หนานเยียน เธอจะใช้ผมเป็นตุ๊กตายางงั้นเหรอ?”ตุ๊กตายางเหรอ?เมื่อถูกลู่เป่ยเฉิงจ้องหน้า กู้หนานเยียนก็เถียงอะไรไม่ออกเมื่อดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน ลู่เป่ยเฉิงมองเห็นตัวเองสะท้อนออกมาจากดวงตาของเธอ เขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวต่ำลง ระยะห่างของพวกเขาใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ มันใกล้จนราวกับจะจูบเธอเมื่อลู่เป่ยเฉิงก้มลงมาประชิดตัวกู้หนานเยียน ทำให้เธอขัดขืนทันทีใน