“ครับ?” ลู่เป่ยเฉิงขานรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นความร่วมมือกันของทั้งสอง ทำให้สวี่หมิงจูยืนอึ้งไปทันทีกู้หนานเยียนจงใจทำแบบนี้ เธอจะต้องจงใจทำแบบนี้แน่ ๆ แต่ทำไมลู่เป่ยเฉิงถึงขานรับเธอ ขานรับยังไม่พอ แถมน้ำเสียงของเขายังฟังดูอบอุ่นมาก“พี่เป่ยเฉิง” สวี่หมิงจูมองลู่เป่ยเฉิงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ราวกับลู่เป่ยเฉิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ลู่เป่ยเฉิงที่เธอรู้จักเมื่อได้สติกลับมา เธอจึงหันไปมองกู้หนานเยียน “กู้หนานเยียน เธอจะต้องวางยาพี่เป่ยเฉิงแน่ ๆ ความจริงวันนี้ฉันอยากจะไว้หน้าเธอ ไม่อยากแฉเรื่องเน่าเฟะที่เธอทำ แต่เธออวดดีขนาดนี้ แทบจะไม่ไว้หน้าพี่เป่ยเฉิงเลย”พูดจบ สวี่หมิงจูก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เธอเปิดคลังรูปภาพและยื่นไปให้ลู่เป่ยเฉิงดู “พี่เป่ยเฉิง พี่อย่าคิดว่ากู้หนานเยียนเป็นคนดี ที่จริงเธอนอกใจพี่ตั้งนานแล้ว”“ฉันมีหลักฐาน ถ้าไม่เชื่อก็ดูนี่สิ”เสียงของสวี่หมิงจู ดึงดูดความสนใจจากแขกรอบข้างไม่น้อยลู่เป่ยเฉิงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะมองรูปในโทรศัพท์ของสวี่หมิงจูรูปภาพในโทรศัพท์ เป็นรูปของกู้หนานเยียนและผู้ชายอีกคนหนึ่ง พวกเขาดูรักใคร่กันเป็นอย่างมากใน
หนานเยียนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เธอก็เห็นรถหงฉีคันดำขับมาจอดตรงหน้า จากนั้นกระจกรถก็ถูกเลื่อนลง ชายหนุ่มที่อยู่ในรถคือ เสิ่นเหลียงโจวกู้หนานเยียนยิ้มทักทายเขา “อ่าว คุณเองเหรอ!”“อืม!” เสิ่นเหลียงโจว “ให้ผมไปส่งคุณนะ”เมื่อเสิ่นเหลียงโจวบอกว่าจะไปส่ง เธอก็นั่งนิ่งไปเมื่อเห็นว่ากู้หนานเยียนไม่ขึ้นรถ เสิ่นเหลียงโจวจึงรีบอธิบาย “ผมผ่านอวี้หลินวานพอดี”เห็นได้ชัดว่าเขารู้สถานภาพในตอนนี้ของกู้หนานเยียนดีเมื่อเสิ่นเหลียงโจวพูดมาขนาดนี้ และเลขาของเขายังลงรถมาช่วยเปิดประตูให้เธออีก กู้หนานเยียนจึงต้องขึ้นรถไปอย่างจำใจหลังจากที่กู้หนานเยียนขึ้นมาบนรถแล้ว เสิ่นเหลียงโจวก็พูดขึ้น “ไม่เจอกันนานเลย”กู้หนานเยียนยิ้มตอบ “ไม่เจอกันนานเลยนะ”สองปีก่อน ตอนที่เธอกับลู่เป่ยเฉิงยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เสิ่นเหลียงโจวเคยมาขอเธอที่ตระกูลกู้ แต่เธอก็ปฎิเสธไปตอนที่เสิ่นเหลียงโจวถูกย้ายออกจากเมือง A เขาเคยนัดเจอกับเธอครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเธอไปซานย่ากับโจวเป่ยเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงห่างกันไปโดยปริยาย จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสองปีกว่าแล้วในขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไป กู้หนานเยียนก็เปลี่ยนไปถามเรื่องของ
เมื่อลู่เป่ยเฉิงถามอย่างนี้ กู้หนานเยียนก็เข้าใจในทันทีเขารู้ว่าเฉิ่นเหลียงโจวกลับมาแล้ว และรู้ด้วยว่าเฉิ่นเหลียงโจวเป็นคนส่งเธอกลับมา เขาจึงหาเรื่องทะเลาะ!กู้หนานเยียนพูดอย่างเปิดใจ โดยไม่มีข้อแก้ตัว หรือหลีกเลี่ยงความผิดแต่อย่างใด “เหลียงโจวกลับมาแล้ว เลยถือโอกาสแวะส่งฉันแค่นั้น”คำว่า ‘เหลียงโจว’ ของกู้หนานเยียนทำเอาลู่เป่ยเฉิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เหลียงโจว? เธอเรียกซะดูสนิทสนมเลยนะ”ก่อนจะเอ่ยต่อ “เฉิ่นเหลียงโจวนั่นพักอยู่ที่ไหนล่ะ? เขาถึงแวะมาส่งเธอได้”กู้หนานเยียนแค่กลับดึกนิดหน่อย ลู่เป่ยเฉิงก็โกรธขนาดนี้แล้ว ถ้าคืนนี้เธอไม่กลับมาเลยเขาก็คงโมโหจนแทบจะพลิกเมือง A ได้หลังจากเหตุการณ์สำคัญใน ‘ครั้งนั้น’ กู้หนานเยียนก็ไม่เรียกเขาว่าเป่ยเฉิงอีก แต่เรียกชื่อเต็มแทนความแตกต่างตรงนี้ทำให้ลู่เป่ยเฉิงยิ่งคิดไม่ดีมากขึ้นไปอีกแต่ถึงแม้ลู่เป่ยเฉิงจะมีความคิดลบ ๆ แต่กู้หนานเยียนก็ยังคงเอ่ยอย่างมั่นคง “ตอนนั้นฉันรอรถอยู่ เขาก็จะกลับพอดี”ลู่เป่ยเฉิงกลับเอ่ย “มู่ไป๋กับเฉิ่นหลีไม่อยู่เหรอ? โจวเป่ยก็ไม่มีเวลามาอยู่กับเธอเหรอ? เธอนั่งรถใครไม่รู้ แถมยังปล่อยให้เขาไปส่งเธออีก ผมไม่ได้บอ
เธอนึกว่าตัวเองจะมีภูมิต้านทานกับคำพูดเหล่านี้แล้วเชียว แต่คำพูดจิกกัดของลู่เป่ยเฉิงคืนนี้ทำเอากู้หนานเยียนโมโหถึงขีดสุดต่อให้เป็นคนอารมณ์ดีแค่ไหนก็มีขีดจำกัดเหมือนกันดังนั้นเธอจึงไม่ได้ง้อเขาตามปกติอย่างที่เคยเป็น แต่กลับทะเลาะกับเขาต่อไปอีกเรื่อย ๆ สิ่งที่กู้หนานเยียนได้เอ่ยออกมา ทำเอาสีหน้าของลู่เป่ยเฉิงดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อที่เอาไว้ผัดอาหารเสียอีกเส้นเลือดบนหลังมือทั้งสองข้างที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงนั้น แทบจะแตกออกมาแล้วเขาก้มลงไปมองกู้หนานเยียนก่อนจะยิ้มเยาะ “ผมทำให้เธอเสียเวลาไปหาความสุขงั้นเหรอ? ได้สิ กู้หนานเยียน ผมจะคอยดูว่าเธอจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าไม่มีผม”เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันหลังเดินออกไปพร้อมกับกระแทกประตูเสียงดังโครมหากลู่เป่ยเฉิงยังไม่ออกไปอีกละก็ ตัวเขาเองก็ไม่กล้ารับประกันเหมือนกันว่า สุดท้ายสถานการณ์จะเป็นยังไง ถ้าหากทั้งสองคนยังดึงดันที่จะทะเลาะกันอย่างนี้ต่อไปจะเกิดเรื่องเลวร้ายที่เกินจะแก้ไขเหมือนใน ‘ครั้งนั้น’ หรือเปล่าดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะฝืนระงับอารมณ์ตัวเองและเดินออกไปก่อนภายในห้อง หลังจากที่กู้หนานเยียนได้ยินเสียงกระแทกประตูปิดอย่างแรงแล้
แววตาที่ลู่เป่ยเฉิงมองเขาในตอนนี้ เยือกเย็นจนแทบจะปล่อยใบมีดน้ำแข็งออกมาได้“เอ่อ พอดีเมื่อกี้ผมปากไวไปหน่อย พี่อย่าย้ายผมไปที่ไกล ๆ แบบนั้นอีกเลยนะ ไม่งั้นหลังจากนี้ผมคงใช้หน้านี้ทำมาหากินอีกไม่ได้แน่ ๆ”ลู่เป่ยเฉิงหัวเราะหึ ๆ ตอนนั้นเองลู่จิ่งหยางชักจะเริ่มหวั่นใจขึ้นมาแล้วรอยยิ้มที่ซ่อนความเหี้ยมโหดแบบนี้ ลู่จิ่งหยางเห็นแบบนั้นจึงรีบเอ่ย “พี่ครับ พี่อย่าย้ายผมไปเลยนะ เดี๋ยวผมไปเป็นสายลับสืบหามาให้ว่าตอนนี้พี่เยียนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”ทันทีที่ลู่จิ่งหยางบอกว่าจะเป็นสายลับให้ สีหน้าของลู่เป่ยเฉิงจึงผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อเอ่ยปากพูดออกมาแล้วว่า จะเป็นสายลับให้กับลู่เป่ยเฉิง ลู่จิ่งหยางจึงต้องไปหากู้หนานเยียนในวันถัดมาภายในสำนักงานกฎหมาย กู้หนานเยียนทำงานล่วงเวลาจัดเก็บเอกสารข้อมูลอยู่เพียงลำพัง ลู่จิ่งหยางได้ดึงเก้าอี้เข้ามานั่งข้าง ๆ เธอกู้หนานเยียนที่เห็นว่าเขาตามเธอมาตั้งแต่เช้าแล้ว จึงเอ่ยด้วยความรังเกียจ “เธอมีอะไรจะพูดก็พูดสิ เลิกเกาะติดฉันเป็นเทปกาวได้แล้ว ฉันยังมีงานที่ต้องทำอยู่นะ”ลู่จิ่งหยางดึงเก้าอี้เข้าไปใกล้เธอมากขึ้นอีก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ขั้นสุด “หนา
ลู่จิ่งหยางเห็นแบบนั้น จึงกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “พี่เยียนยังบอกอีกว่า ตัวพี่เองก็ไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้ และพี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมาแล้วสองรอบ เพราะฉะนั้นพี่ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับเธอด้วย”“ถ้าพี่จ่ายเต็มจำนวน เธอจะไม่เข้าใกล้พี่อีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าเจอพี่ระหว่างทางเธอก็จะเดินอ้อมไปไกล ๆ และจะไม่พูดถึงพี่เลยแม้แต่ประโยคเดียว จะไม่ทำให้พี่ต้องลำบากใจเลยครับ”ยิ่งลู่จิ่งหยางสาธยายมากเท่าไร ใจของลู่เป่ยเฉิงก็ยิ่งจมดิ่งลงมากขึ้นเท่านั้นที่ลู่จิ่งหยางพูดมา มันคล้ายกับคำพูดตอนที่สองคนนี้ด่าเขาเลยแฮะแต่ในความเป็นจริง กู้หนานเยียนพูดออกมาแค่สามประโยคแค่นั้น แต่ลู่จิ่งหยางคิดว่าตัวเองสามารถช่วยเธอได้มากกว่านั้น จึงพยายามปั้นน้ำเป็นตัวอย่างสุดความสามารถเมื่อเห็นว่าลู่เป่ยเฉิงนั่งฟังเขากุเรื่องจนนิ่งเงียบไป ลู่จิ่งหยางจึงเอ่ยต่ออีก “นี่พี่เยียนเขาก็อุตส่าห์ผ่อนปรนให้แล้วนะ ยังไงพี่ก็รวยมากอยู่แล้วแถมยังหาเงินเก่งอีก หย่ารอบนี้ พี่ก็ใจป้ำหน่อยสิ!”“วันหลังพอมีคนอื่นพูดถึงพี่ อย่างน้อยเขาก็ยังชมพี่ได้อยู่ว่าพี่เป็นคนใ
ตอนนี้ลู่เป่ยเฉิงได้ลุกขึ้นยืน และเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของลู่จิ่งหยาง ก่อนจะเอื้อมมือไปตบบ่าเขา “พี่เชื่อใจนายมากนะ ไอน้องชาย”ลู่จิ่งหยางเอ่ย “พี่เยียนทำให้พี่วุ่นวายกับร่างสัญญาหรือเปล่า งั้นเดี๋ยวผมไปบอกพี่เยียนว่าให้เธอร่างสัญญาเองก็ได้ครับ! เธอเองก็เป็นทนายพอดี ยังไงก็คุ้นเคยกับการเขียนอะไรพวกนี้อยู่แล้ว”ลู่เป่ยเฉิงกดน้ำหนักมือตัวเองลงไปบนบ่าของเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง “เรื่องนี้นายทำได้ดีมาก แต่รอบหน้าไม่ต้องแล้ว”ใครบอกว่าจะหย่ากับกู้หนานเยียนกัน?สองปีแล้ว ต่อให้ลู่เป่ยเฉิงจะบอกว่าเกลียดมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยเอาเรื่องหย่าขึ้นมาพูดเลยสักครั้งแต่ลู่จิ่งหยางที่บอกว่าจะไปเป็นสายลับสืบหาความคิดของกู้หนานเยียนมาให้เขา สุดท้ายก็ไปราดน้ำมันเข้ากองไฟ และกลับมาพร้อมกับคำพูดไร้สาระหาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย——เมื่อกู้หนานเยียนได้รับสายจากลู่จิ่งหยาง ก็เป็นจังหวะที่ลู่จิ่งหยาง โดนเซี่ยเฉิงเร่งให้ขึ้นรถไฟไปนั่งกับทีมอยู่ลู่จิ่งหยางร้องไห้งอแงอย่างหนักผ่านสายโทรศัพท์ ขอให้กู้หนานเยียนช่วยเขาทีกู้หนานเยียนทำได้เพียงแค่เอ่ยด้วยความเห็นใจ “จิ่งหยาง ดูแลตัวเองด้วย
“หนานเยียน สามีเธอนอนอยู่ข้างหมอนคนอื่นนะ เธอยังนอนหลับได้อีกเหรอ? ไม่กลัวตำแหน่งคุณนายลู่สั่นคลอนเหรอ?”ในห้องนอนของคฤหาสน์ฉินไห่อวิ๋นพูดอย่างเข้มงวด กู้หนานเยียนจึงถามขึ้นอย่างงัวเงีย “แม่ คืนนี้ผีตนไหนมาเข้าสิงอีกเนี่ย?”แต่งงานมาสองปี มีผู้หญิงต่อแถวรอให้เธอสละตำแหน่งตลอด แม่สามีเธอก็คอยบอกให้เธอออกไปจับชู้บ่อย ๆ กู้หนานเยียนรู้สึกชินตั้งนานแล้วแต่ทุกครั้งก็ต้องคว้าน้ำเหลว ไม่เคยจับลู่เป่ยเฉิงได้คาหนังคาเขาสักที“ฉันส่งเลขห้องของโรงแรมให้แล้ว เธอไปลากคอมันกลับมา” ฉินไห่อวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “ยายเด็กคนนี้นี่ ถ้าเธอยังไม่ใส่ใจเป่ยเฉิงอย่างนี้อีก ฉันก็ไม่รู้จะช่วยเธออย่างไรแล้วนะ” ไม่ใส่ใจเหรอ?งั้นก็ต้องให้ลู่เป่ยเฉิงก็ให้โอกาสเธอได้ใส่ใจเขาบ้างสิ!สองปีมานี้เขากลับบ้านนับครั้งได้เลย ทั้งสองคนเจอหน้ากันทีไรก็ต้องทะเลาะกันจนจบไม่สวยทุกทีเขาหลบหน้าเธอยิ่งกว่าหลบผีเสียอีก เธอจะไปใส่ใจเขาได้อย่างไรล่ะ?แต่เมื่อก่อนเธอกับลู่เป่ยเฉิงไม่ได้เป็นแบบนี้ เขาดีต่อเธอมาก เขาเป็นฝ่ายยอมเธอแต่โดยดี แต่หลังจากครั้งนั้นพวกเขาก็กลายเป็นอย่างนี้เลยเธอหลับตาและเงียบไปสักพ