ชายทั้งสองมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสงสัย ซึ่งอายุน้อยกว่าตัวเองอย่างเห็นได้ชัด และทั้งสองคนทำหน้าอย่างไม่เชื่อด้วยความเคารพต่ออาจารย์ พวกเขาจึงเรียกเขาว่า "ผู้อาวุโส" อย่างไม่เต็มใจฉู่เฉินไม่ได้สนใจและเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแต่การพยักหน้านี้จุดประกายไฟของความโกรธในใจพวกเขาผู้ชายคนนี้กำลังแสดงท่าทีเป็นผู้อาวุโสจริงๆบนเวที ชายทั้งสองสบตากันและทันใดนั้นก็เกิดฝุดความคิดขึ้นหนึ่งในนั้นพูดขึ้น“ในเมื่ออาจารย์เฉินเรียกคุณว่าผู้อาวุโส วรยุทธของคุณจึงต้องล้ำลึกแน่นอน คุณยินดีที่จะให้ชี้แนะแก่ข้าหรือไม่!”ก่อนที่ฉู่เฉินจะสามารถตอบได้ เฉินเฟยอวิ๋นก็แสร้งทำเป็นโกรธและพูด: "พวกนายสองคนหยาบคายนัก! พวกนายจะตั้งคำถามถึงระดับวรยุทธของผู้อาวุโสได้ยังไง? รีบขอโทษเดี๋ยวนี้!"“อาจารย์ ผู้อาวุโสจะไม่รังเกียจที่จะฝึกซ้อมกับพวกเราใช่ไหม ผู้อาวุโส?” หนึ่งในนั้นถามฉู่เฉินมองความคิดของพวกเขาออก พวกเขาเพียงต้องการทดสอบวรยุทธของตัวเขา“วิชาที่นักสู้ฝึกฝนนั้นอันตรายถึงขั้นเอาชีวิตได้ ดังนั้นอย่าเลย” ฉู่เฉินรู้ว่าแค่ความคิดของคนไม่กี่คนเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่อยากลงมือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่คาดคิ
หลังจากพูดแล้ว เฉินเฟยอวิ๋นก็จากไปฉู่เฉินมองไปที่คนหมดสติสองคนในยิม โบกมือแล้วโยนพวกเขาลงบนโซฟาด้านข้าง ลงไปจากชั้นสองโดยตั้งใจจะสำรวจชั้นหนึ่งขณะที่เขาเดินลงบันได พนักงานต้อนรับสาวสวยก็ทักทายเขาอย่างอบอุ่น“สวัสดีค่ะปรมาจารย์ฉู่!”เห็นได้ชัดว่าเฉินเฟยอวิ๋นได้แจ้งให้พวกเขาทราบแล้ว ก่อนที่จะออกไปฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกไปด้วยตัวเอง“วีวี่ ผู้ชายคนนั้นคือใคร? กล้าดียังไงมาเมินเธอ!”ฉู่เฉินกำลังเดินจากไป ชายร่างกำยำก็ปรากฏตัวที่แผนกต้อนรับ และถามพนักงานต้อนรับ“เขาเป็นเพื่อนที่อาจารย์พากลับมาน่ะ ค่อนข้างลึกลับ อาจารย์บอกให้เรียกเขาว่าปรมาจารย์ฉู่ และให้ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพมากกว่าตัวอาจารย์เสียอีก” พนักงานต้อนรับบ่นกับชายร่างล่ำซึ่งเห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกันชายร่างกำยำไม่พอใจทันทีเมื่อได้ยินเข้า"อะไรนะ? อาจารย์เฉินออกจะเป็นคนดี เขาจะบอกเธอให้ทำแบบนั้นได้ยังไง? วีวี่ เธออยากให้ฉันสอนบทเรียนให้เขาไหม? แค่ไปกินข้าวเย็นกับฉันเป็นการตอบแทนก็พอ”“การทานอาหารเย็นกับคุณก็ได้นะ แต่อย่าทำเลย อาจารย์เฉินเน้นย้ำเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นเขาอาจจะเป็นเพื่อนคนสำคัญของอาจารย
ทันทีที่ชายร่างกำยำ อาเชียงได้ประกาศออกไป ทำให้ผู้เห็นเหตุการณ์เริ่มกระซิบกระซาบกัน“อาเชียงเริ่มรังแกคนอีกแล้ว ทุกคนรู้ดีว่าเขาเป็นเจ้าของสถิติการยกน้ำหนักที่ยิมนี้”“ใช่ ฉันได้ยินมาว่าอาเชียงได้รับเชิญเป็นพิเศษให้เข้าร่วมทีมจากทีมยกน้ำหนัก”“เจ้าเด็กคนนี้มีแต่กระดูก จะต้องไม่กล้ารับคำท้าแน่อน”อาเชียงฟังเสียงซุบซิบรอบตัวเขาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ไอ้หนังหุ้มกระดูกที่อยู่ตรงหน้าเขา คงจะถอนตัวจากคำท้ายและจ่ายค่าเสียหายให้อย่างแน่นอนการยกน้ำหนัก?ฉู่เฉินยิ้มและมองชายร่างกำยำตรงหน้า ด้วยท่าทางราวกับว่ากำลังมองคนโง่“ไอ้หนู แกกล้าแข่งขันกับฉันไหม? จากคำพูดตรงๆ ของลูกผู้ชาย หากแกไม่กล้า ฉันจะไม่เรียกร้องอะไรมาก แค่จ่ายให้ฉัน 50,000 บาท” ชายร่างกำยำพูด“จะแข่งกันก็ได้ แต่มาเปลี่ยนวิธีการเดิมพันกันเถอะ หากนายชนะ ฉันจะให้นาย 50,000 บาท ถ้านายแพ้ฉันจะไม่เอาเงินของนาย นายแค่ต้องขอโทษฉันต่อสาธารณชนก็พอ” ฉู่เฉินยิ้มอ่อนฉู่เฉินตอบตกลงทันที ชายร่างกำยำไม่เพียงรู้สึกประหลาดใจ แต่ทุกคนในที่นี้ก็ประหลาดใจมากเช่นกันบางคนถึงกับเอ้ยปากเตือนด้วยซ้ำ“น้องชาย นายไม่เห็นกล้ามเนื้อของเขาเหรอ? พวกม
มีคนตบหน้าตัวเองด้วยฝามือชายร่างกำยำไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า และตบหน้าตัวเองให้ตื่นความเจ็บปวดบนใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่า ไม่ได้กำลังฝันไปขณะที่ฉู่เฉินวางบาร์เบลลงแล้วเดินไป ชายร่างกำยำก็ถอยหลังกลับไป“นายต้องขอโทษเดี๋ยวนี้!” ฉู่เฉินพูดเบา ๆ“ขะ... ขอโทษ ฉันเข้าใจนายผิดไป” ชายร่างกำยำรู้ดีว่า ถ้าไม่ขอโทษ คนที่แข็งแกร่งคนนั้น แค่ปล่อยหมัดออกมาส่งๆ เขาอาจจะตายหรือได้รับบาดเจ็บสาหัดก็ได้ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับคนคนนี้ แต่ตอนนี้รู้ว่าความคิดนั้นโง่เขลาเพียงใดฉู่เฉินเห็นว่าชายร่างกำยำได้ขอโทษแล้ว ก็เลยไม่ได้บีบคั้นไปกว่านี้ ยังไงซะที่นี่ยังคงเป็นร้านเฉินเฟยอวิ๋น ฉู่เฉินเดินจากทุกคนไปและเดินออกไปจากที่นี่เมื่อเดินไปตามถนน บางครั้งมีคนมองมาที่เขา และฉู่เฉินก็ตระหนักว่านี่ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว และเขาก็สวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นมาตลอด ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสื้อผ้าที่เก็บไว้ในจี้มังกรหยกด้วยคงถึงเวลาไปห้างสรรพสินค้าเพื่อช็อปปิ้งแล้วสินะโบกแท็กซี่มาหนึ่งคัน หลังจากนั้นไม่นาน แท็กซี่ก็พาฉู่เฉินไปยังห้างสรรพสินค้า
ทันทีที่พนักงานขายได้ยิน ดวงตาก็เป็นประกายวิบวับขึ้น ตราบใดที่เธอดูแลคนนี้อย่างดี ค่าคอมมิชชันจากการขายเธอในวันนี้ก็จะมากมายมหาศาลดังนั้นจึงเริ่มเคลียร์ร้านทันทีการเคลียร์ร้านหมายความว่านอกจากพวกเขาทั้งคู่แล้ว ก็มีคือฉู่เฉินอีกคนพนักงานขายที่ดูแลคุณหนูฉีเดินตรงไปหาฉู่เฉิน “คุณคะ ร้านถูกจองแล้ว กรุณาออกไปก่อนค่ะ”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูดได้เสี่ยวเหวินซึ่งอยู่ข้างๆ เขาเอ่ยขึ้น “พี่ซ่ง สุภาพบุรุษท่านนี้ได้เลือกชุดนี้แล้ว ให้เขาขอลองก่อนออกไปได้ไหม?” เสี่ยวเหวินอ้อนวอนพี่ซ่งเหลือบมองชุดในมือของเสี่ยวเหวิน แล้วมองฉู่เฉินหัวจรดเท้า จากนั้นก็พูดอย่างเหยียดหยาม: “ไม่ต้องลองใส่หรอก ชุดนี้ราคาหกหมื่นบาท ยาจกคนนี้ไม่มีเงินจ่ายหรอก เสี่ยวเหวิน ฉันช่วยเธอไว้และให้เธอฝึกงานที่นี่ด้วย ดังนั้นรีบพาเขาออกไปเลย หรือถ้าคุณหนูฉีโกรธ ฉันคงปกป้องเธอไม่ได้”เมื่อได้ยินชื่อของคุณหนูฉี เสี่ยวเหวินก็เริ่มสับสนแต่ยังคงรวบรวมความกล้าที่จะขอร้อง “พี่ซ่ง ก็แค่ลองชุดเดียว ใช้เวลาไม่นานหรอก”หากขายชุดนี้ไป เธอก็สามารถได้รับค่าคอมมิชชันเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เธอได้แจ้งราคาให้ลูกค้าทราบแล้ว และเขาย
แม้แต่พนักงานขายทั้งสองคนก็ยังอิจฉาอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้แค่พาไปงานวันเกิดด้วย ก็ได้สามารถรับของได้ขนาดนั้น ใครบ้างล่ะที่จะไม่อิจฉา?เรื่องสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนฉู่เฉินพูดอย่างเย็นชา"ไปให้พ้น"ทันทีที่คำพูดพูดออกไป ฉีอันน่าก็ช็อคทันทีพนักงานขายสองคนก็ตกใจเช่นกันผลประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเลือกที่จะปัดมันทิ้งผู้ชายที่อยู่ข้างๆ คุณหนูฉีตะโกนด้วยเสียงที่แหบเหมือนเป็ด: "เจ้าหนู แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกกำลังคุยกับใครอยู่ ท่านนี้คือลูกสาวที่สามของตระกูลฉีแห่งเมืองหลวง และมีฐานะไม่เหมือนคนธรรมดา ซึ่งด้วยฐานนะนี้คนธรรมดายังไม่กล้าสบตาด้วยเลย กล้าดียังไงมาดูหมิ่นเธอขนาดนี้ แกยังอยากมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลวงอยู่หรือเปล่า?”ชายคนนั้นดูโกรธมากกว่าฉีอันน่า“นี่มันไร้สาระ หากนายต้องการลดตัวลงมา นั่นก็เป็นเรื่องของนาย อย่าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนนาย” ฉู่เฉินพูด โดยไม่ให้โอกาสทั้งสองคนโต้ตอบ แค่เดินผ่านพวกเขาและไปหาพนักงานขายเสี่ยวเหวิน“เอาแค่เสื้อผ้าแบบนี้ ใส่ถุงมาสิบชุด”"ฮะ!"เสี่ยวเหวินรู้สึกสับสน“มีไม่พอเหรอ?” ฉู่เฉินถามด้วยความงุนงง“มีค่ะ… ฉันจะเตรียมให้คุณ
เมื่อกลับมาที่โรงฝึก เฉินเฟยอวิ๋นก็กลับมาแล้ว ตอนที่เห็นฉู่เฉินก็รีบเชิญเขาขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็วด้วยความเคารพบนชั้นสอง ลูกศิษย์สองคนของเฉินเฟยอวิ๋นก็ได้สติกลับมาแล้ว แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะยังคงฟกช้ำอยู่ แต่กำลังภายในของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแสดงการพัฒนาขึ้น ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อฉู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นเขา ไม่เพียงแต่เรียกเขาด้วยความเคารพว่า ปรมาจารย์เท่านั้น แต่ยังเสิร์ฟชาให้เขาอย่างไม่เขินอาย“พูดมา นายเป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่เฉินไล่ศิษย์ทั้งสองคนออกไป แล้วถามเฉินเฟยอวิ๋นเฉินเฟยอวิ๋นดูละอายใจและลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดตามความจริง“ปรมาจารย์ฉู่ วันนี้ฉันได้ไปที่ตระกูลเหยียน แต่ก่อนที่ฉันจะเข้าไปได้ ตระกูลเหยียนก็ขังฉันไว้ข้างนอก หลังจากนั้นก็ถูกตระกูลเหยียนขับไล่ออกมา”เมื่อมาถึงจุดนี้ เมื่อเห็นใบหน้าของฉู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชา เฉินเฟยอวิ๋นก็รีบพูดเพิ่มเติมเข้ามาว่า“แม้ว่าวันนี้ฉันจะเข้าประตูตระกูลเหยียนไม่ได้ แต่ฉันก็ได้รับคำเชิญไปงานเลี้ยงของตระกูลฉีในวันพรุ่งนี้”เฉินเฟยอวิ๋นมีท่าทางภาคภูมิใจ หยิบการ์ดเชิญที่มีลายนูนสีทองออกมา"ฉั
การมาถึงของฉู่เฉินไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนในงาน เขาหยิบแก้วไวน์ถาดของพนักงานเสิร์ฟ แล้วเดินไปที่มุมหนึ่งเพื่อรอการมาถึงของพระเอกในงานเลี้ยงอย่างเงียบ ๆขณะที่ฉู่เฉินต้องการเก็บตัวเงียบๆ แต่คนอื่นไม่คิดเช่นนั้น“ไม่คาดคิดว่าแกจะแอบเข้ามาด้วย เมื่อวานแกดูถูกเหยียดหยามไว้มากไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมวันนี้แกถึงเสนอหน้ามาอยู่ที่นี่อย่างหน้าด้านๆ ได้ล่ะ?”กลุ่มชายสามคน คนหนึ่งสังเกตเห็นฉู่เฉินและพูดจาถากถางเขาเสียงดังฉู่เฉินหันกลับไปและเห็นว่าเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่เจอในห้างสรรพสินค้าเมื่อวานนี้ฉู่เฉินไม่อยากสนใจ และเตรียมที่จะเดินจากไป“พี่หมิง เขาคือใครกัน ถึงจู่ๆ ต้องไปสนใจเขาด้วย?”“ใช่แล้ว พี่หมิง ตอนนี้พี่รับการไว้วางใจคุณหนูฉีและอนาคตของพี่ก็โรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว หากพี่ได้ดิบได้ดีแล้ว อย่าลืมพวกน้องๆ นะ”เมื่อเห็นเช่นนี้ พรรคพวกสองคนก็ก้าวไปข้างหน้า เพื่อขวางทางฉู่เฉินทันที“ไอ้หนู พี่หมิงกำลังคุยกับแกอยู่ รีบตอบเร็วเข้า”ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุด คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม : "นายไม่ได้บอกพวกลูกกระจ๊อกของนายเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้? ฉันอยู่ที่นี่นายก็ยังไม่