เมื่องานเลี้ยงเลิกลาแล้ว ขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้จิ่นอวี้ไปรายงานฮ่องเต้ต้าฉู่ที่ห้องทรงอักษร พระองค์ยังคงนั่งอยู่เพียงลำพังเมื่อจิ่นอวี้กลับมารายงานที่ตำหนังชิงอวิ๋น ลู่ซิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ[จริง ๆ แล้ว แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดไปเล็กน้อย แต่ทิศทางความเป็นไปจะไม่เปลี่ยนแปลง][คืนนี้เสด็จพ่อยังยุ่งอยู่ในห้องทรงอักษร ส่วนหนิงอ๋องก็ไปยุ่งอยู่ในตำหนักสนมลี่ผินแล้ว][ถุย ๆ ๆ ข้าเป็นแค่เด็กอายุสามเดือน จะพูดอะไรสกปรกเช่นนี้ได้ยังไง! ข้าต้องตบตัวเองสักฉาดแล้วมั้งเนี่ย]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็รีบก้มลงมาดู พบว่าหวานหว่านนอนกระดิกเท้าเล็ก ๆ อยู่อย่างสบายใจ ๆ ที่แท้ก็แค่ล้อเล่นนางต่างหากที่กังวลเกินไปหลายวันมานี้พระสนมเฉินกุ้ยเฟยให้หวานหว่านมานอนในห้องตัวเองตลอดอาจเป็นเพราะนางเป็นเซียนกลับชาติมาเกิดจริง ๆ หวานหว่านไม่ทำให้ต้องกวนใจเลย ไม่เพียงแต่จะนั่งได้มั่นคงตั้งแต่อายุเพียงสามเดือน แต่ยังไม่ตื่นนอนมางอแงตอนกลางคืนด้วย ดังนั้นจึงสามารถนอนกับพระสนมเฉินกุ้ยเฟยได้ทั้งคืนอย่างไรก็ตาม เรื่องของสนมลี่ผิน ตนยังต้องคิดหาวิธีบอกให้ฮ่องเต้ต้าฉู่รู้ให้ได
ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังคงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “ข้ามันไม่ดูตาม้าตาเรือ มาขัดจังหวะความสุขของเจ้าเสียได้”“เสด็จพี่... เสด็จพี่...” หนิงอ๋องก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พยายามจะคว้าชายเสื้อของฮ่องเต้ต้าฉู่ แต่ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่หลบได้อย่างง่ายดายในขณะนี้สนมลี่ผินที่บนอยู่บนเตียงก็คว้าเอาเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาคลุมตัวแล้วร้องไห้ฟูมฟายคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “ขอให้ฝ่าบาทเป็นพยานให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หนิงอ๋องแห่งแคว้นต้าฉู่ข่มเหงหม่อมฉัน...”พูดทันไม่จบก็ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่ขัดจังหวะเสียก่อน “หุบปาก”พระองค์หันกลับมามองจูกู่ซานอีกครั้ง “จงคุมตัวสองคนนี้แยกกัน แล้วส่งคนไปจับตาดูคนของคณะทูตไว้ให้ดี"สนมลี่ผินได้ยินดังนั้นก็ลนลาน รีบเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะหนิงอ๋อง...”แต่พอเจอเข้ากับสายตาฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก“แคว้นเยว่เฟิงแกล้งทำทีส่งองค์หญิงมาให้เป็นสนมข้า แต่จริง ๆ แล้วเป็นสายลับที่แคว้นเยว่เฟิงส่งมาสอดแนม แถมยังมาล่อลวงน้องชายแท้ ๆ ของข้าอีก ในเมื่อแคว้นเยว่เฟิงไม่มีความจริงใจ ไม่สู้เราจึงเปลี่ยนวิธีคุยกันจะดีกว่า”พูดจบก็หันหลังออกจากตำหนักจีชางโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อเหอเหลียนเหรินซินได้ยินจูกู่ซานพูดเช่นนี้ ใบหน้าของหรงอ๋องก็ลอยมาทันที หรือว่าฮ่องเต้ต้าฉู่จะรู้เรื่องเข้าแล้ว?เขาร้อนตัวเล็กน้อย ตอนนี้ตนอยู่ในแผ่นดินของเขาแบบนี้ ถ้าแผนการของตนถูกจับได้ เกรงว่า...หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้วว่าทหารรักษาพระองค์ของแคว้นต้าฉู่จะกักบริเวณตัวเองอย่างไร แต่รีบขึ้นรถม้าที่จูกู่ซานนํามาและติดตามพวกเขาเข้าวังไปหลังจากทั้งสองจากไป เสียงสนทนาบนถนนก็ดังขึ้นมา“องค์รัชทายาทเหอเหลียนยังคิดจะมาใส่ร้ายแคว้นต้าฉู่ของเราอีกเหรอ? องค์หญิงของแคว้นตัวเองก็ดูแลให้ดีไม่ได้ ส่งมาให้ขายหน้าเขาเปล่า ๆ...”“อยู่ในแผ่นดินต้าฉู่ของเราแท้ ๆ ยังกล้าหยิ่งผยองขนาดนี้อีก นี่ถ้าเป็นที่แคว้นเยว่เฟิงไม่รู้จะพูดไร้สาระอะไรบ้าง?”“อันกั๋วกงก็ตายในน้ำมือของคนแคว้นเยว่เฟิงไม่ใช่หรือ?”“ฝ่าบาทควรส่งทหารไปจัดการแคว้นเยว่เฟิงเสีย ดูสิว่าพวกเขาจะยังกล้าอาละวาดอยู่ไหม"......ราษฎรที่เดิมที่โหยหาสันติภาพ กลับรู้สึกอยากให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ส่งทหารไปรบกับแคว้นเยว่เฟิงสักทีเมื่อเหอเหลียนเหรินซินมาถึงห้องทรงอักษร พบว่าขุนนางสำคัญของแคว้นต้าฉู่ยืนอยู่ในห้องทรงอักษรเต็มไปหมดแม้ว่านี่จะเ
หนิงอ๋องกลับคิดกบฏเสียได้“เสด็จพี่ ๆ โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่มา หนิงอ๋องที่ถูกทรมานก็รีบพุ่งเข้าไปหา แต่ถูกเมิ่งฉวนเต๋อขวางไว้“เสด็จพี่ หรงอ๋องต่างหากที่คิดก่อกบฏ เป็นฝีมือหรงอ๋อง เขาบอกว่า... บอกว่าฝ่าบาทให้อำนาจแก่กระหม่อมทั้งสองคนน้อยเกินไป ถ้าโค่นล้มฝ่าบาทได้ แล้วเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน เขาจะยกสถานะของกระหม่อมให้สูงขึ้นอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“เสด็จพี่ กระหม่อมหลงผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”ฮ่องเต้ต้าฉู่พูดช้า ๆ ว่า “เจ้าโลภในอำนาจขนาดนี้เลยหรือ?”หนิงอ๋องเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่สีหน้าเย็นชา วันนี้เขาถูกทรมานมากมายในตอนเช้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ต้าฉู่ดีกับตัวเองมาก จนทำให้เขาลืมไปว่าเดิมทีพระองค์ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยนเลย“เสด็จพี่ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพี่ทรงได้โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้มหน้ามองหนิงอ๋องที่อยู่แทบเท้าแล้วเอ่ยปากสั่ง เมิ่งฉวนเต๋อให้ประกาศพระราชโองการว่าหนิงอ๋องก่อกบฏ แต่ด้วยเป็นพี่น้องกับข้า ให้ถอนฐานันดรอ๋อง ยึดดินแดนคืน และกักบริเวณให้จวนหนิงอ
เผยฉู่เยี่ยนรู้สึกว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ปล่อยให้ลู่ซิงหว่านตัวน้อยต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ เขาเฝ้าอยู่ข้างเตียงลู่ซิงหว่านทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมพักผ่อนผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วแต่ลู่ซิงหว่านก็ยังไข้สูงไม่ลดวันรุ่งขึ้นพอฟ้าสว่างสนมหนิงผินก็มาเพราะว่าสนมหนิงผินเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังไม่ค่อยรู้จักนางเท่าไหร่ จึงเกิดความระแวงเล็กน้อย เลยทำตัวให้สดชื่นไปต้อนรับนาง“พระสนมกุ้ยเฟย" สนมหนิงผินกล่าวหลังจากคุกเข่าลงทำความเคารพพระสนมเฉินกุ้ยเฟย “หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์หญิงหย่งอันเป็นผื่นและเป็นไข้อยู่”พูดจบก็มองไปที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเหมือนจะดูท่าทีจากนั้นก็พูดด้วยความจริงใจว่า “หม่อมฉันเคยเรียนวิชาแพทย์มาบ้าง ลองให้หม่อมฉันช่วยดูอาการองค์หญิงให้ดีไหมเพคะ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเพิ่มทางรักษา”แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับลังเลสนมหนิงผินดูเหมือนเล็งเห็นความกังวลของพระสนมกุ้ยเฉินจึงเอ่ยปากว่า “อย่างนั้นพระสนมเชิญหมอหลวงจ้าวมาก็ได้นะเพคะ ถ้าหม่อมฉันขาดตกบกพร่องตรงไหนจะได้ให้หมอหลวงจ้าวช่วยชี้แนะให้ได้ทันเวลา”เมื่อเห็นสนมหนิงผินพูดดังนี้ พระสนมเฉิ
เมื่อลู่ซิงหว่านตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยของเหลวอุ่น ๆ บางอย่าง และมีพลังบางอย่างกําลังผลักนางอยู่ในเวลาเดียวกันด้วยนางมุดออกไปตามแรงนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่กลับพบว่าที่หัวของนางนั้นมีมือข้างหนึ่งคอยผลักนางเข้าไปข้างใน“โอ๊ย! เจ็บเหลือเกิน!”ขณะเดียวกัน เสียงร้องด้วยเจ็บปวดที่อ่อนเพลียก็ดังขึ้นจากนั้นก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท "พระสนม! ออกแรงเร็วเพคะ”“ข้าเหนื่อยมาก ข้าไม่มีแรงแล้วจริงๆ...”"พระสนม ห้ามท้อใจเด็ดขาดนะเพคะ พระสนม รีบออกแรงสิเพคะ!”ลู่ซิงหว่านถึงตระหนักถึงว่าตัวเองกลายเป็นทารกในครรภ์ไปแล้วเกิดอะไรขึ้น?นางกําลังข้ามทัณฑ์สายฟ้าฟาดอยู่ไม่ใช่หรือ?หรือนี่จะเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากทัณฑ์ด้านจิตใจของนาง?แต่ว่า...นางลองแกว่งกําปั้นเล็ก ๆ ทั้งสองข้างไปมา อีกทั้งความเจ็บปวดจากการถูกบีบศีรษะก็ล้วนบอกนางว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นางกลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังถูกคลอดออกมาจริง ๆเพราะฉะนั้น นางล้มเหลวในการข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าฟาดแล้วว่างั้นเถอะแต่นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ตัวเองถึงได้กลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังจะเกิดแบบนี้
[ท่านแม่โปรดวางใจเถิด เดิมข้าควรจะถือกำเนิดนานแล้ว แต่เพราะแม่นมทำคลอดนั้นพยายามจะดันตัวข้าเข้าไปข้างในอยู่ตลอด ข้าจึงยังไม่ได้เกิดเสียที][แต่ตอนนี้แม่นมคนนั้นถูกจับไปแล้ว ไม่มีคนชั่วมาขัดขวาง ข้าคงจะได้เกิดซักที!]ในสมองของพระสนมเฉินได้ยินเสียงพูดอ้อแอ้อย่างมีความสุข ก็ถอนหายใจยาว พร้อมกล่าวกับจิ่นซินว่า “ไม่เป็นไร ลูกใกล้จะคลอดออกมาแล้ว เจ้ารีบไปเตรียมผ้าห่อตัว แล้วมาช่วยทำคลอดก็พอ”ลู่ซิงหว่านส่งกระแสจิตไปด้านนอก พบว่าจิ่นซินได้เตรียมการพร้อมแล้ว จึงตะโกนในใจด้วยความยินดี [ท่านแม่ เตรียมตัวอีกประเดี๋ยว เราใกล้จะได้พบกันแล้ว]......ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้ต้าฉู่กำลังรับฟังรายงานจากขุนนางเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยแล้ง สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักแคว้นต้าฉู่ไม่มีฝนตกมาเกือบปีแล้ว ทุกหนแห่งล้วนแต่แห้งผากไปหมดต่อให้เป็นดินแดนทางใต้ที่ได้ชื่อว่าล่ำซำ พืชผลทางการเกษตรก็เผชิญกับภาวะน่าเศร้าที่ไร้ผลเก็บเกี่ยวถ้ายังไม่มีฝนตกอีก คาดว่าปีหน้าแคว้นต้าฉู่ คงต้องเผชิญกับความอดอยากหิวโหยที่น่ากลัวยิ่งแต่สวรรค์จะประทานฝนหรือไม่ ก็ใช่ว่าฮ่องเต้อย่างเขาจะกำหนดได้นี่นาฮ่องเต้ต้าฉ
หืม?ขณะที่พบว่าเสียงดังกล่าวนี้ดังขึ้นในสมองของตน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตกตะลึงพร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อย[ว้าว! ไอ้ท่ายักคิ้วนี่ ช่างดูเท่ห์ยิ่งนัก อะไรคือความเท่ห์เหลือใจ ก็คือประมาณนี้แหละ! สมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงเสน่ห์ในนิทานเรื่องนี้!][เพียงแต่ไม่รู้ว่า ฮ่องเต้แบบนี้ จะหลงลูกสาวตัวเองจนเป็นทาสลูกสาวหรือเปล่า?]นิทาน? ทาสลูกสาว?ฮ่องเต้ต้าฉู่มีสีหน้านิ่งเฉย ก้มหน้าลงไปดูทารกในอ้อมแขนดังนั้น เสียงที่อยู่ในสมองนี้ ก็คือเสียงของลูกสาวเขาหรือ?ฮ่องเต้ต้าฉู่เหลียวมองพระสนมเฉินเฟย เห็นนางมีสีหน้าปกติ ไม่มีอาการอื่นใด ก็แสดงว่าเสียงพูดในใจขององค์หญิงน้อยมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยินว่าแล้วเชียว การที่ตนสามารถเจอสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นพวกนี้ได้ คงเพราะตนเป็นโอรสแห่งสวรรค์แน่นอนจากนั้นจึงได้เบิ่งตาพิจารณามองดูทารกน้อยที่ยกสองมือขึ้น ยังพยายามที่จะสัมผัสใบหน้าของตนอย่างไม่ยอมแพ้ฮ่องเต้ต้าฉู่เหยียดริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย พลางยกตัวนางขึ้นสูง และปล่อยให้นางสัมผัสใบหน้าตนตามอำเภอใจไม่ผิดจากที่คิด ใบหน้ากลมแป้นเล็ก ๆ เหยียดปาก พร้อมผุดรอยยิ้มที่ไร้ฟันออกมา[อุ๊ยตาย! ลูบได้แล้ว! ลูบได้แ