Share

บทที่ 0003

หืม?

ขณะที่พบว่าเสียงดังกล่าวนี้ดังขึ้นในสมองของตน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตกตะลึงพร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อย

[ว้าว! ไอ้ท่ายักคิ้วนี่ ช่างดูเท่ห์ยิ่งนัก อะไรคือความเท่ห์เหลือใจ ก็คือประมาณนี้แหละ! สมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงเสน่ห์ในนิทานเรื่องนี้!]

[เพียงแต่ไม่รู้ว่า ฮ่องเต้แบบนี้ จะหลงลูกสาวตัวเองจนเป็นทาสลูกสาวหรือเปล่า?]

นิทาน?

ทาสลูกสาว?

ฮ่องเต้ต้าฉู่มีสีหน้านิ่งเฉย ก้มหน้าลงไปดูทารกในอ้อมแขน

ดังนั้น เสียงที่อยู่ในสมองนี้ ก็คือเสียงของลูกสาวเขาหรือ?

ฮ่องเต้ต้าฉู่เหลียวมองพระสนมเฉินเฟย เห็นนางมีสีหน้าปกติ ไม่มีอาการอื่นใด ก็แสดงว่าเสียงพูดในใจขององค์หญิงน้อยมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยิน

ว่าแล้วเชียว การที่ตนสามารถเจอสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นพวกนี้ได้ คงเพราะตนเป็นโอรสแห่งสวรรค์แน่นอน

จากนั้นจึงได้เบิ่งตาพิจารณามองดูทารกน้อยที่ยกสองมือขึ้น ยังพยายามที่จะสัมผัสใบหน้าของตนอย่างไม่ยอมแพ้

ฮ่องเต้ต้าฉู่เหยียดริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย พลางยกตัวนางขึ้นสูง และปล่อยให้นางสัมผัสใบหน้าตนตามอำเภอใจ

ไม่ผิดจากที่คิด ใบหน้ากลมแป้นเล็ก ๆ เหยียดปาก พร้อมผุดรอยยิ้มที่ไร้ฟันออกมา

[อุ๊ยตาย! ลูบได้แล้ว! ลูบได้แล้วจริง ๆ ด้วย! ในแคว้นต้าฉู่นี้ คนที่สามารถลูบหน้าเสด็จพ่อของเราแบบนี้ได้ ก็คงมีแต่เราคนเดียวล่ะมั้ง!]

[ยิ่งหน้าตาของเสด็จพ่อด้วยแล้ว ช่างสมกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่นักประพันธ์บรรยายซะยืดยาวจริง ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา บุคลิก ไหนจะรูปร่างอันผึ่งผาย ล้วนแต่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติทั้งนั้น!]

[มิน่าวังหลังถึงมีผู้หญิงหลายคนชิงดีชิงเด่นเพื่อจะเอาใจเขา จนแม้แต่เรา ยังเกือบตกเป็นเหยื่อการแก่งแย่งของพวกนางเลย!]

[ว่าแต่ว่า คนที่ติดสินบนแม่นมทำคลอดเพื่อจะให้เราตายในท้อง ก็คือสนมโหรวกุ้ยเหรินที่เพิ่งได้ถวายตัวให้เสด็จพ่อไม่นานมานี้นี่นา]

[ใครเลยจะไปนึกว่าสนมโหรวกุ้ยเหรินอายุเพียงสิบกว่าปี จะมีน้ำมือเหี้ยมโหดถึงปานนี้ ขนาดเด็กทารกที่ไร้เดียงสา ยังเข่นฆ่าได้ลงคอ!]

พระสนมเฉินเฟยที่แอบฟังเสียงพูดในใจของลู่ซิงหว่าน เดิมทียังอกสั่นขวัญที่ได้ยินนางกล่าวชมหน้าตาของฮ่องเต้ต้าฉู่อย่างเปิดเผย

ในขณะที่รู้สึกโล่งอก ที่มีนางเพียงผู้เดียวที่ได้ยินเสียงนี้ มิฉะนั้นความผิดฐานพูดเท็จต่อเบื้องสูงคงหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน

แต่ทันใดนั้น เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของนาง สีหน้าของพระสนมก็เปลี่ยนไป ที่แท้คนที่ติดสินบนแม่นมหลี่ก็คือสนมโหรวกุ้ยเหรินนั่นเอง

แถมสนมโหรวกุ้ยเหรินผู้นี้ได้เข้าวังมาก็ด้วยเส้นสายตระกูลซ่งของนาง

ปกติพบเจอกันทุกครั้ง ยังเรียกพี่เรียกน้องอย่างสนิทสนม ที่ไหนได้ คนที่คิดปองร้ายนางกับลูก ก็คือนังแพศยาคนนี้นี่เอง

พระสนมเฉินเฟยรู้สึกโกรธยิ่งนัก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากบอกเรื่องแม่นมหลี่ให้ฮ่องเต้ได้รับรู้

ก็ได้ยินฮ่องเต้ต้าฉู่พูดขึ้นมาก่อนว่า “เฉินเฟย เมื่อครู่ตอนเข้าตำหนักมา เห็นข้างนอกจับแม่นมไว้คนหนึ่ง มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไม่รอให้พระสนมเฉินเฟยได้เอ่ยปาก จิ่นซินก็รีบคุกเข่าลงพื้นเสียงดัง ร่ำไห้พูดตอบฮ่องเต้

“ขอฝ่าบาททรงให้ความเป็นธรรมแก่พระสนมด้วยเพคะ หากไม่เพราะพระสนมดวงแข็ง ป่านนี้คงถูกแม่นมหลี่ปองร้ายจนเสียชีวิต พร้อมกับองค์หญิงเก้าไปแล้วเพคะ”

[ใช่ ๆ ถ้าไม่เพราะในครรภ์ของท่านแม่มีเซียนอย่างข้ามาเกิด ป่านนี้คงถูกแม่นมอะไรนั่นเล่นงานจนตายไปแล้ว]

[ถึงตอนนั้น ท่านแม่ก็มีแต่จะตรอมใจจนไปโดดบ่อน้ำตาย มีจุดจบอย่างน่าอนาถ!]

ฮ่องเต้ต้าฉู่จับใจความคำพูดของลู่ซิงหว่านได้เพียงว่า “เซียนอย่างข้า” ได้ก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ

เห็นไหมล่ะ องค์หญิงเก้าของเขา ก็คือเซียนบนสวรรค์มาจุติจริง ๆ ด้วย

พระสนมเฉินเฟยก็เช่นกัน แทบไม่อาจหักห้ามความตื่นเต้นดีใจได้ ลูกสาวของนางคือเซียนมาจุติ ช่างวิเศษเหลือเกิน!

เคราะห์ยังดี!

ที่ลูกรักเป็นเซียนมาจุติ มิฉะนั้นนางคงเป็นอย่างที่ลูกพูด

ลูกสาวถูกแม่นมหลี่ปองร้ายจนตาย นางก็ตรอมใจจนคิดสั้น

ทั้งคู่ล้วนเป็นผู้มีเหลี่ยมคูในใจ จึงต่างระงับความรู้สึกของตนไว้ เพื่อจะฟังว่าลู่ซิงหว่านจะพูดอะไรออกมาอีก

เห็นเพียงนางอ้าปากอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็หาวออกมา พร้อมกับนอนหลับสนิทไป

ฮ่องเต้ต้าฉู่โมโหมากกับเหตุการณ์ที่องค์หญิงน้อยถูกปองร้าย แต่เพื่อเห็นแก่ทารกที่หลับปุ๋ยในอ้อมแขน จึงได้แต่ระงับอารมณ์ไว้ก่อน

แม้ว่าไม่อยากปล่อยมือ แต่ก็ต้องมอบให้จิ่นซินอย่างระมัดระวัง และหันไปพูดกับพระสนมเฉินเฟยว่า “เฉินเฟย ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องนี้ ข้าจะให้คำตอบที่เจ้าพอใจแน่นอน”

พระสนมเฉินเฟยต้องคลอดก่อนกำหนดเนื่องจากหกล้ม หากไม่เพราะได้รับพลังจิตจากลู่ซิงหว่านช่วยพยุงไว้ ป่านนี้คงทรุดไปนานแล้ว

เมื่อได้ยินฮ่องเต้พูดเช่นนี้ จึงได้วางใจปล่อยเรื่องนี้ให้เขาไปจัดการ

“พาคนเข้ามาเดี๋ยวนี้”

อิ่งเหมยรับคำสั่งพร้อมนำตัวแม่นมหลี่เข้ามา

แม่นมหลี่รู้ว่าเรื่องถูกเปิดโปง ก็ได้หวาดกลัวจนตัวสั่นนานแล้ว ยิ่งมาเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่มาไต่สวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ก็ยิ่งอ่อนแรงจนกองไปกับพื้นทันที

เพียงคำพูดสั้น ๆ ก็สารภาพความจริงออกมาจนหมดสิ้น

“ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วยเพคะ พระสนมเฉินเฟยโปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเพคะ เพราะโหรวกุ้ยเหรินเพคะ นางสั่งให้ข้าน้อยทำเช่นนี้”

“สนมโหรวกุ้ยเหรินให้ข้าน้อยโรยหินกลมในที่ที่พระสนมเฉินเฟยมักไปเดินเล่นบ่อย ๆ เพื่อให้พระสนมลื่นล้มเพคะ”

“รอจนพระสนมมีอาการคลอดก่อนกำหนด ค่อยทำให้เด็กเสียชีวิตในครรภ์ จากนั้นก็อ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีร่องรอยให้สืบสวนเพคะ”

“ครอบครัวของข้าน้อยอยู่ในมือโหรวกุ้ยเหรินทั้งสิ้น ข้าน้อยจึงไม่กล้าขัดคำสั่งของนางเพคะ!”

หลังจากฟังคำให้การของแม่นมหลี่ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็สีหน้าบึ้งตึง

“ใครก็ได้ ไปพาตัวโหรวกุ้ยเหรินมา!”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เมิ่งฉวนเต๋อรีบรับบัญชา พาคนไปจับโหรวกุ้ยเหรินด้วยตัวเอง

เห็นได้ชัดว่าสนมโหรวกุ้ยเหรินคาดคิดไม่ถึงว่า แผนการที่แนบเนียนยิ่งแบบนี้ เหตุใดจึงได้ล้มเหลวไปได้

พอถูกนำตัวมายังตำหนักชิงอวิ๋น ก็ร้องห่มร้องไห้ ดิ้นรนขัดขืนเป็นการใหญ่

ทำเอาลู่ซิงหว่านที่เพิ่งนอนหลับไป ถูกกวนจนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

พอลืมตาขึ้น ก็คิดเอ่ยปากด่าว่าสักหน่อย

แต่พอออกเสียง ก็กลายเป็นเสียงร้องไห้ของทารกน้อยซะงั้น

ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของนาง พระสนมเฉินเฟยกับฮ่องเต้ก็ลนลานเป็นอย่างมาก รีบมาอุ้มพร้อมกับขับกล่อม

จิ่นซินเห็นทั้งสองคนมีอาการลนลานคล้ายทำอะไรไม่ถูก จึงได้กล่าวอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทเพคะ พระสนม องค์หญิงเก้าจะหิวนมหรือเปล่าเพคะ?”

“ใช่ๆ ๆ ลูกคงหิวแล้ว รีบให้แม่นมมาเร็ว ๆ เข้า” ฮ่องเต้รีบกวักมือ

เพียงไม่นาน แม่นมที่ได้เตรียมไว้ก็มาเข้าเฝ้า พร้อมรับตัวลู่ซิงหว่านไปป้อนนม

ลู่ซิงหว่านเห็นหน้าตา ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ [หา? ไม่นะ ไม่ ข้าไม่ต้องการแม่นมคนนี้ป้อนนมนะ]

ทั้งฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมต่างก็ตกใจ หรือว่าแม่นมคนนี้ก็มีปัญหาด้วยเหมือนกัน?

[แม่นมคนนี้มีกลิ่นตัวแรง ข้าต้องการท่านแม่ที่ตัวหอม...]

ได้ยินดังนี้ ทั้งคู่ก็ค่อยถอนหายใจ พลางยิ้มด้วยความเหนื่อยใจ

พระสนมเฉินเฟยยื่นมือออกไปพร้อมกล่าวต่อ “ฝ่าบาทเพคะ ลูกร้องไห้งอแง คงไม่อยากให้แม่นมป้อน ถ้ายังไงให้หม่อมฉันป้อนเองจะดีกว่านะเพคะ!”

สีหน้าฮ่องเต้ค่อยหายตึงเครียด แอบคิดในใจว่าเฉินเฟยช่างรู้ใจนัก ไม่ต้องให้เขาเอ่ยปากด้วยความลำบากใจ

“ถ้าเช่นนั้น คงต้องลำบากเจ้าหน่อยแล้วล่ะ!”

“หม่อมฉันป้อนนมให้แก่ลูกของหม่อมฉันกับฝ่าบาท มีแต่ความอิ่มเอิบใจ ไม่ลำบากหรอกเพคะ”

พระสนมเฉินเฟยยิ้มอ่อนโยน พลางรับตัวลู่ซิงหว่านมา อุ้มนางไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง และเริ่มป้อนนมให้

[อุ๊ย! น่าอายจัง! แต่ว่า อึ้ม...ช่างหอมหวานเหลือเกิน]

ลู่ซิงหว่านแม้จะขัดขืนอยู่ในใจ แต่ด้วยสัญชาติญาณของทารก เมื่อได้กลิ่นหอมของน้ำนม ก็รีบดูดเอา ๆ โดยไม่รีรอ

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status